บทที่ 284 วังกษิติครรภ์ เปลี่ยนเป็นมหาเวท
หานเจวี๋ยเริ่มอ่านจดหมาย อยากดูสถานการณ์ในช่วงนี้ของจักรพรรดิสวรรค์
ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นข้อความหนึ่ง
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลัง ถูกค่ายกลจองจำลึกลับกักขังไว้]
จักรพรรดิสวรรค์ถูกสยบแล้ว?
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ว่ากันอย่างเป็นธรรม จักรพรรดิสวรรค์ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีทั้งส่วนตัวและต่อหน้าธารกำนัล เขาหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้นกับจักรพรรดิสวรรค์
เขาทำได้เพียงสวดภาวนาให้จักรพรรดิสวรรค์เป็นคนดีฟ้าคุ้มครองอยู่เงียบๆ
ด้วยพลังแท้จริงในปัจจุบันของเขาไม่สามารถช่วยจักรพรรดิสวรรค์ได้เลยสักนิด
ผู้ทรงพลังที่ปราบจักรพรรดิสวรรค์ได้ ต้องเป็นการดำรงอยู่ที่น่าพรั่งพรึงยิ่งกว่าจักรพรรดิเซียนอย่างแน่นอน!
หานเจวี๋ยถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มฝึกบำเพ็ญต่อไป
……
ภายในหุบเขาที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง จี้เซียนเสินกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ รอบกายรายล้อมด้วยไอสีแดงแปลกประหลาด เหนือศีรษะของเขามีร่างเงาหนึ่งลอยอยู่ แต่ดุจดั่งภูตผี มีเพียงร่างกายส่วนบนเท่านั้น
ร่างเงาผีตนนี้มองลงไปที่จี้เซียนเสิน พูดด้วยรอยยิ้มพอใจว่า “เจ้าไปจากยมโลกได้แล้ว แม้จะอยู่ที่แดนเซียนเจ้าก็สามารถเป็นใหญ่ในทิศหนึ่งได้”
จี้เซียนเสินไม่แม้แต่จะลืมตา พูดว่า “ยังไม่พอ เจ้าบอกว่ามหาเคราะห์เริ่มขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าข้าออกไปตอนนี้จะอันตรายมาก”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เขาใกล้จะยิ่งใหญ่ เขาจะนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา
เขามักจะรู้สึกว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งกว่าตน
หากไม่อาจเอาชนะหานเจวี๋ยได้ เช่นนั้นจะคว้าที่หนึ่งมาได้อย่างไร
เขาเชื่อมั่นแน่วแน่ว่าหานเจวี๋ยจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดบนเส้นทางไร้เทียมทานที่เขาก้าวเดิน
“อันตรายก็จริง แต่นี่ก็เป็นโอกาสวาสนาเช่นกัน มีผู้ทรงพลังตั้งเท่าไหร่กำลังช่วงชิงดวงชะตาและโดดเด่นเฉิดฉายในมหาเคราะห์” ร่างเงาผีกล่าวอย่างจริงจัง
“ท่ามกลางมหาเคราะห์ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะหลบก็หลบได้ หากรอจนถึงมหาเคราะห์ช่วงสุดท้ายค่อยเข้าไป เจ้าจะไม่มีดวงชะตายิ่งใหญ่ ยากจะแบกรับแรงกรรมมหันต์ได้
ถึงตอนนั้น ลำพังแค่แรงกรรมก็เพียงพอจะทำให้เจ้าธาตุไฟเข้าแทรกได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี้เซียนเสินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและขมวดคิ้วเล็กน้อย
ร่างเงาผีถามต่อ “ในยมโลกมีอาวุธเทพชิ้นหนึ่ง กล้าไปชิงมันมาหรือไม่”
จี้เซียนเสินเอ่ยถาม “แข็งแกร่งมากหรือ”
“สะท้านฟ้าดิน เทพผีหลั่งน้ำตา”
“อยู่ที่ใด”
“วังกษิติครรภ์[1]!”
“อันตรายหรือไม่”
“เจ้ากลัวหรือ”
“เฮอะ!”
จี้เซียนเสินดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที เขาทนแรงยั่วยุไม่ไหวแล้ว
“เจ้านำทาง!”
“ฮิๆ ได้สิ!”
……
ห้าปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญลืมตาขึ้น เขารู้สึกถึงพลานุภาพที่ทรงพลังขุมหนึ่ง อยู่บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนนี่เอง
ถูหลิงเอ๋อร์!
หานเจวี๋ยรีบหายวับออกมาที่ใต้ต้นฝูซังทันที
ในเวลานี้ถูหลิงเอ๋อร์ถูกไข่ยักษ์สีแดงห่อหุ้ม ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
หานเจวี๋ยเดินมาเบื้องหน้าไข่ยักษ์สีแดง พลังจิตแทรกซึมเข้าไปข้างใน เขาสัมผัสได้ถึงผนึกที่แข็งแกร่งกำลังปิดกั้นพลังจิตของเขาอยู่
ต่อให้เป็นพลังจิตของจักรพรรดิเซียนก็เจาะทะลุเข้าไปไม่ได้
หานอีที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงเพิ่งทะลวงถึงระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ จากนั้นก็เป็นเช่นนี้”
คนอื่นก็พากันเอ่ยตาม
“หลิงเอ๋อร์ก็มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ในอดีตชาติใช่หรือไม่”
“กลิ่นอายช่างน่ากลัวเหลือเกิน นางเป็นใครมาจากไหนกันแน่”
“นางมีสายเลือดสัตว์ปีศาจหรือ”
“ไม่หรอก สายเลือดของนางน่ากลัวกว่าสัตว์ปีศาจด้วยซ้ำ ถึงขั้นเหมือนเผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์มาก”
“เผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์คือสิ่งใด”
“เผ่าพันธุ์ที่สืบทอดมาจากสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกตอนเบิกฟ้า”
ขณะได้ยินเสียงซุบซิบของทุกคน หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยปาก แต่จ้องถูหลิงเอ๋อร์ไม่วางตา
จอมปีศาจคุกรัตติกาลเดินมาข้างกายหานเจวี๋ย ถามเสียงต่ำว่า “ท่านรู้ที่มาของนางหรือไม่ นี่ืคือกรรมอันยิ่งใหญ่ทีเดียว!”
เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจคุกรัตติกาลเดาภูมิหลังที่มาของถูหลิงเอ๋อร์ได้แล้ว
หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ไม่เป็นไร ข้าจะยับยั้งนางไว้ตลอดเอง ไม่ให้นางออกไปจากเกาะนี้”
จอมปีศาจคุกรัตติกาลเดาะลิ้นด้วยความแปลกใจ “หากนางรอดจากมหาเคราะห์นี้ได้จริง นางจะกลายเป็นผู้ทรงพลังแดนเซียน เป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครอง”
ทันทีที่กล่าวคำนี้ คนอื่นที่เหลืออดสะท้านไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่จอมปีศาจคุกรัตติกาลประเมินบุคคลหนึ่งสูงเช่นนี้
“อาจจะกระมัง” หานเจวี๋ยพูดพอเป็นพิธี
ผ่านไปไม่ทันไร ไข่ยักษ์สีแดงก็เริ่มดูดซับไอเซียนของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ความเร็วในการดูดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนก่อตัวเป็นลมหมุนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หานเจวี๋ยโบกมือขวาคราหนึ่ง พาตัวถูหลิงเอ๋อร์เข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
ส่วนคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปฝึกบำเพ็ญต่อ
ในถ้ำเทวา หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิส่งพลังเวทไปให้ถูหลิงเอ๋อร์
เขาจะช่วยถูหลิงเอ๋อร์อีกแรง ช่วยให้ตบะของนางพุ่งทะยานขึ้น
อู้เต้าเจี้ยนมองพินิจถูหลิงเอ๋อร์อย่างสงสัย ก่อนจะถามที่มาของนางอย่างอดไม่ได้
หานเจวี๋ยกลับไม่ได้ปิดบังอู้เต้าเจี้ยนแต่อย่างใด
อู้เต้าเจี้ยนได้ยินแล้วอดตื่นตกใจไม่ได้
มหาเวทกลับชาติมาเกิด!
เกี่ยวข้องกับยายเมิ่งผู้ควบคุมวัฏสงสารด้วย!
‘ตามคาด พื้นฐานของข้าแย่ที่สุด’ อู้เต้าเจี้ยนคิดอย่างขมขื่น
หานเจวี๋ยมองความคิดของนางออก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ข้อเท็จจริงบางประการก็จำต้องยอมรับมัน
ต้องตระหนักถึงความเป็นจริง ถึงจะก้าวต่อไปได้ไกลกว่าเดิม
เวลาดำเนินต่อไป
ผ่านไปหลายวันเต็ม ในที่สุดถูหลิงเอ๋อร์ก็ตื่นขึ้น ไข่ยักษ์สีแดงสลายไป กลายเป็นไอหมอกจางหาย จากนั้นนางก็ล้มลงกับพื้น
ถูหลิงเอ๋อร์ในเวลานี้ไม่ได้งดงามน่าดึงดูดใจเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป บนตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำแปลกประหลาด มือเท้าเหมือนกรงเล็บแหลมคม ร่างกายกำยำแข็งแรง ใบหน้าดุร้ายอัปลักษณ์ บนศีรษะมีเขาแข็งลักษณะเหมือนกิ่งไม้งอกอยู่หลายเขา
อู้เต้าเจี้ยนตกใจ ยังคิดว่าถูหลิงเอ๋อร์ถูกยึดร่างไปแล้ว
แต่หานเจวี๋ยรู้ว่านี่ก็คือร่างที่แท้จริงของมหาเวท
กลิ่นอายของถูหลิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่กลิ่นกายของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นกลิ่นอายโบราณที่ดูอ้างว้างทว่าโหดเหี้ยม
มหาเวท!
กายเนื้อและสายเลือดของนางเปลี่ยนเป็นมหาเวทอย่างสมบูรณ์ กายเนื้อมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ตาเปล่ามองเห็นได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตบะของถูหลิงเอ๋อร์บรรลุถึงเซียนสวรรค์ไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ในคราวเดียว!
ห่างจากระดับเซียนแท้เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น!
ถูหลิงเอ๋อร์มองสำรวจร่างกายของตนเสร็จ ครั้นร่างวูบไหวก็เปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนงดงามเช่นก่อนหน้านี้
นางคุกเข่าลงตรงหน้าหานเจวี๋ยและพูดอย่างตื่นเต้น “อาจารย์ ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเปลี่ยนสายเลือด นางรู้สึกถึงพลังเวทมหาศาลของหานเจวี๋ย เมื่อลืมตาขึ้นแล้วมองเห็นหานเจวี๋ยก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้ารู้ที่มาของเจ้าหรือไม่”
ถูหลิงเอ๋อร์พยักหน้าบอก “ข้ารับสืบทอดความทรงจำมาแล้ว เผ่าจอมเวทหวังว่าข้าจะสามารถช่วยพวกเขาได้”
หานเจวี๋ยพูดอย่างใจเย็น “อย่าเพิ่งออกไป พักนี้อันตรายมาก”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน อีกอย่างข้าไม่มีความรู้สึกต่อเผ่าจอมเวทสักเท่าใด”
ถูหลิงเอ๋อร์เอ่ยคำเหล่านี้ออกมาตามอารมณ์นัก ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกว่านางจริงจัง
หานเจวี๋ยอดยืนไว้อาลัยให้ยายเมิ่งไม่ได้
แม้ว่าถูหลิงเอ๋อร์อาจจะรู้สึกผิดกับเผ่าจอมเวท แต่หานเจวี๋ยกลับพอใจมาก เขาเองก็ไม่อยากไปเสี่ยงอันตราย
หานเจวี๋ยคุยกับถูหลิงเอ๋อร์อีกเล็กน้อยก็ให้นางออกไป
อู้เต้าเจี้ยนไม่ได้พูดสิ่งใดเช่นกัน เริ่มฝึกบำเพ็ญทันที เห็นได้ชัดว่าถูกถูหลิงเอ๋อร์กระตุ้นจิตใจเข้าให้แล้ว
หลังจากถูหลิงเอ๋อร์กลายเป็นมหาเวท พลังต่อสู้ก็เพิ่มสูงขึ้น แม้แต่หงส์คุกรัตติกาลระดับเซียนแท้ไท่อี่ก็ไม่ใช่คู่มือของนาง
ศิษย์สำนักซ่อนเร้นคนอื่นๆ เริ่มฝึกบำเพ็ญอย่างจริงจังเช่นกัน
รวมถึงมู่หรงฉี่ด้วย
มู่หรงฉี่ปลุกความทรงจำของอดีตชาติขึ้นมาแล้ว เดิมคิดว่าฝึกบำเพ็ญไปตามขั้นตอนก็จะกลับสู่จุดสูงสุดในไม่ช้าก็เร็วได้
แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ลำพังแค่จุดสูงสุดยังไม่เพียงพอ
พรสวรรค์ของศิษย์ร่วมสำนักสูงส่งเกินไป ทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
……
สิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ยามกำลังจะฝึกฝนต่อ จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังจิตที่แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งกวาดไปทั่วเกาะสำนักซ่อนเร้น
หัวใจของเขาเย็นวาบ
พลังจิตนี้มัน…
จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุต!
ไม่นึกว่าเจ้านี่จะหายมโลกพบแล้ว!
…………………………………………
[1]กษิติครรภ์หรือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ นามหมายถึงครรภ์ของแผ่นดิน เป็นหนึ่งในสี่พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นที่นับถือในศาสนาพุทธนิกายมหายานแถบเอเชียตะวันออก มีปณิธานที่จะโปรดเหล่าสัตว์ในนรก