บทที่ 324 จิ่งเทียนกง อายุสี่พันปี
‘ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดกำลังสาปแช่งข้า’
หานเจวี๋ยคิดในใจ ใช้ความสามารถวิวัฒนาการ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
หลังจากนั้น เงาร่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของหานเจวี๋ย
ภายในอารามเต๋ามืดสลัว ชายหนุ่มในชุดนักพรตคนหนึ่งถือเข็มทิศหลัวผาน[1]อันหนึ่งไว้ ปากกำลังสวดพึมพำบางอย่าง
หานเจวี๋ยเคยพบคนผู้นี้ที่ตำหนักเอกอนันต์
ก่อนหน้านี้ที่ตำหนักเอกอนันต์ หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบคัดลอกข้อมูลของทุกคนไว้แล้ว พร้อมจดจำรูปร่างหน้าตาไว้ด้วย
ถึงอย่างไรผู้ที่มาสดับมรรคได้ ต่างต้องเป็นคนใหญ่คนโตของแดนเซียนทั้งสิ้น การจดจำเอาไว้ทั้งหมดก็ถือเป็นเรื่องดี
ดูเหมือนคนผู้นี้จะมาจากนิกายเจี๋ย
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ เมื่อค้นพบคนผู้นี้ก็เริ่มตรวจสอบข้อมูลของเขา
[จิ่งเทียนกง: ไม่ทราบตบะ ผู้อาวุโสนิกายเจี๋ย]
หานเจวี๋ยลองท้าประลองกับเขาหนึ่งรอบก่อน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยเป็นฝ่ายปราชัย
เจ้าหมอนี่ก็มีฝีมืออยู่บ้างนี่
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
จิ่งเทียนกงสาปแช่งเขาด้วยเหตุใดกัน
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าพลังแห่งคำสาปแช่งนั้นได้เลือนหายไปแล้ว ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อเขาอย่างแท้จริง
หรือว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เขา แต่กำลังสาปแช่งคนหมู่มาก?
หานเจวี๋ยคิดไม่ออกเลย
ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายก็สาปแช่งเขา เขาจำเป็นต้องสาปแช่งคืน
แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ หากสาปแช่งตอนนี้จะโจ่งแจ้งเกินไป
รออีกสองสามปีแล้วค่อยว่ากันเถิด
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา สาปแช่งศัตรูของตนก่อน ปฏิบัติภารกิจสิบปีครั้งให้ลุล่วง
….
ภายในอารามเต๋ามืดสลัว
จิ่งเทียนกงค่อยๆ วางเข็มทิศหลัวผานสีม่วงในมือลง เขาพรูลมหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง
‘แม้จะมียอดสมบัติ แต่หากต้องการสาปแช่งผู้สดับมรรคกลุ่มนั้นในตำหนักเอกอนันต์ ยังคงยากเย็นเหลือเกิน’
เขาคิดอย่างเงียบๆ
ผู้ที่เขามุ่งเน้นสาปแช่งคือผู้นำกลุ่มอิทธิพลที่ปลุกปั่นคลื่นลมในมหาเคราะห์ ส่วนจักรพรรดิเซียนที่พ่วงมาด้วย เขาก็เพียงสาปแช่งไปส่งๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดจะเปลืองแรงกับจักรพรรดิเซียนเลย
‘พวกเขาต้องคิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นผู้สาปแช่งพวกเขาแน่นอน ยิ่งวุ่นวายเท่าไรก็ยิ่งดี เช่นนั้นนิกายเจี๋ยของข้าจะได้ฉวยโอกาสผงาดขึ้นในช่วงชุลมุน’
จิ่งเทียนกงเผยสีหน้าคาดหวังตั้งตารอ
‘ท่านเจ้านิกาย ข้าเทียนกงจะสร้างเกียรติยศให้แก่นิกายเจี๋ย พานิกายเจี๋ยหวนกลับสู่จุดสูงสุด!’ จิ่งเทียนกงคิดอย่างมุ่งมั่น
เขาเริ่มเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ การสาปแช่งเดิมทีก็เป็นวิชาศาสตร์มืด ทำร้ายศัตรูนับพัน คืนสนองตนแปดร้อยส่วน
โชคดีที่เขามียอดสมบัติชิ้นนี้ ผลสะท้อนกลับของเขาจึงไม่นับว่ามากมายนัก
‘ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทำได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะสาปแช่งไปทั่วทั้งแดนเซียน อายุขัยของเขายืนยาวมากหรือ ตบะสูงเพียงใดกัน’
จิ่งเทียนกงครุ่นคิดด้วยความสับสน
การสาปแช่งจะผลาญอายุขัยหรือไม่ก็ดวงชะตา แม้อายุขัยเขาจะยืนยาว แต่ก็ไม่กล้านำมาใช้สาปแช่ง เนื่องจากการสาปแช่งสิ้นเปลืองอายุขัยมากเกินไป ใช้ดวงชะตาจะดีกว่า
เมื่อดวงชะตาหมดสิ้น สามารถไปช่วงชิงมาอีกได้
อายุขัยคือชะตาชีวิต ด้วยระดับตบะของเขา ขยายขีดจำกัดเพิ่มได้ยากยิ่ง เว้นแต่จะทะลวงระดับ
การทะลวงระดับยากลำบากเพียงใดเล่า!
เขาทะลวงระดับไม่ได้มาหลายพันปีแล้ว
เขาจวนจะลืมเลือนรสชาติของการทะลวงระดับไปแล้ว
….
สิบปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาโพลง ดวงตาส่องประกายระยับ
ถึงเวลาแล้ว!
อู้เต้าเจี้ยนไม่อยู่ในถ้ำ หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาทันที เริ่มสาปแช่งจิ่งเทียนกงแห่งนิกายเจี๋ย
“เอาอายุมาเล่นกับเขาสักร้อยล้านปีก่อนดีกว่า”
หานเจวี๋ยพึมพำ
อย่างไรจิ่งเทียนกงก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
ห้าวันผ่านไป อายุขัยของเขาเริ่มลดลง เขาเรียกดูหน้าต่างค่าสถานะ จำกัดเวลาอย่างเคร่งครัด
ภายใต้การทุ่มเทสาปแช่ง อายุขัยหนึ่งร้อยล้านปีลดลงรวดเร็วยิ่งนัก
เมื่อครบจำนวนหนึ่งร้อยล้านปี เขาหยุดมือทันที เช็ดคราบโลหิตที่ไหลออกมาจากสองตา
เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู
ไม่พบความเคลื่อนไหวของจิ่งเทียนกงเลย
ใช่แล้ว
เกือบลืมไปเลย
จิ่งเทียนกงไม่มีความประทับใจหรือความเกลียดชังต่อเขา หานเจวี๋ยจึงไม่อาจรับรู้สถานการณ์ของเขาได้
จะทำต่อดีหรือไม่
ช่างเถิด ปล่อยไปตามนี้แล้วกน จิ่งเทียนกงก็สาปแช่งเขาครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้สาปแช่งอีก หานเจวี๋ยแค่สนองคืนตามมารยาท เป็นการตักเตือนเล็กน้อยก็พอ
หากจิ่งเทียนกงยังสาปแช่งเขาอีก เช่นนั้นหานเจวี๋ยจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันสาปแช่งเขาให้ตาย!
หานเจวี๋ยปรับสภาวะ หลังจากฟื้นฟูเสร็จก็ทำภารกิจประจำวันต่อไป
….
ภายในอารามเต๋ามืดสลัว
“พรืด…”
จิ่งเทียนกงกระอักเลือดออกมาเป็นฝอย เขารีบเดินลมปราณรักษา สะกดพลังสาปแช่งอันน่าพรั่นพรึงนั้นไว้
‘สมควรตาย! ผู้ใดกันที่สาปแช่งข้า คนที่ถูกข้าสาปแช่งจับได้แล้วหรือว่าเป็นข้า’
จิ่งเทียนกงตกใจ หากล่วงเกินผู้ทรงพลังเทียมฟ้าเข้า เช่นนั้นก็แย่แล้ว
ช่วงเวลาต่อมานั้นเอง จิ่งเทียนกงก็หวั่นวิตกยิ่งนัก
คำสาปแช่งของหานเจวี๋ย เป็นเหตุให้พลังเวทของเขาปั่นป่วน ไม่อาจยับยั้งได้ในระยะเวลาสั้นๆ
หากมีผู้ทรงพลังเข้ามาโจมตีในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะม้วยมรณา
สถานการณ์นี้ดำเนินไปถึงห้าปี
ไม่มีผู้ทรงพลังมาโจมตี และพลังคำสาปแช่งนั้นก็ไม่มีมาอีกเช่นกัน
ดูเหมือนผู้ที่สาปแช่งเขาจะไม่ใช่ผู้สดับมรรคจากตำหนักเอกอนันต์กลุ่มนั้น
จิ่งเทียนกงนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
หรือว่าจะเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
ยิ่งคิดจิ่งเทียนกงยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเชี่ยวชาญในการสาปแช่ง เขาคิดจะป้ายความผิดให้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ มีความเป็นไปได้มากว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะรับรู้ได้
‘เจ้าแดนต้องห้ามอันธการกำลังเตือนข้าอยู่หรือ’
จิ่งเทียนกงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในใจเปี่ยมไปด้วยความเคารพยำเกรง
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นการดำรงอยู่แบบใดกันแน่
จิ่งเทียนกงมองเข็มทิศหลัวผาน พลันรู้สึกว่าตนช่างน่าขันอยู่บ้าง
ช้าก่อน!
เหตุใดข้าถึงไม่เข้าร่วมกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเล่า
ก่อกวนแดนเซียนไปด้วยกันกับเขา ถือโอกาสสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้กับนิกายเจี๋ย!
จะว่าไปแล้ว ไม่เคยมีข่าวว่านิกายเจี๋ยถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งแพร่ออกมาเลย
ดวงตาของจิ่งเทียนกงเป็นประกายวูบหนึ่ง รู้สึกว่าความคิดนี้ของตนไม่เลวนัก
แต่ว่าจะไปหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้ที่ใดเล่า
….
หลังจากสาปแช่งตักเตือนจิ่งเทียนกงด้วยอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ถูกสาปแช่งอีก
ดูเหมือนคนผู้นี้จะตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว
เช่นนี้ก็ดี ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ฝึกบำเพ็ญด้วยความสบายใจ
ชีวิตของหานเจวี๋ยกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
พุ่งเป้าไปที่ระดับจักรพรรดิเซียนเจ็ดวัฏต่อ!
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสี่พันปี ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง เข้าสู่เคราะห์ทันที แย่งชิงดวงชะตาอันยิ่งใหญ่ สร้างชื่อก้องปวงสวรรค์ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคเก้าชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น โอกาสยกระดับระบบหนึ่งครั้ง]
[สอง ไม่เข้าสู่เคราะห์ชั่วคราว ถ่อมตนฝึกฝน แข่งขันกับวันเวลา จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]
หานเจวี๋ยมองตัวเลือกตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น
เพื่อจะล่อให้ข้าเข้าสู่เคราะห์กรรม เจ้าระบบสุนัขช่างลงทุนโดยแท้!
อยากให้ข้าเข้าสู่เคราะห์กรรมนักหรือ
ไม่มีทาง!
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบๆ
[ยินดีด้วย ท่านได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับพลังวิเศษ–หัตถาสวรรค์มหาวิมุต]
[หัตถาสวรรค์มหาวิมุต: พลังวิเศษไร้เทียมทานที่เกี่ยวข้องกับมรรคแห่งห้วงมิติ หนึ่งหัตถ์สยบฟ้า แข็งแกร่งขึ้นตามตบะที่เพิ่มพูน เมื่อแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดสามารถสยบได้แม้แต่มรรคาสวรรค์]
มหาวิมุต?
ช่างเป็นนามที่ชวนให้คนครุ่นคิดโดยแท้
พลังวิเศษนี้ค่อนข้างน่าพรั่นพรึงทีเดียว!
เมื่อแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดก็สามารถสยบได้แม้แต่มรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยรีบสืบทอดหัตถาสวรรค์มหาวิมุตทันที
พลังวิเศษนี้ไม่ได้ง่ายดายเพียงใช้สยบนภาเท่านั้น ยังสามารถเก็บทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้มรรคาสวรรค์ได้ด้วย โดยนำมากักขังไว้ในห้วงมิติที่ฝ่ามือ กลืนกินพลังเวทและพลังชนิดอื่นๆ ได้
เผด็จการยิ่งนัก!
หลังจากหานเจวี๋ยเรียนรู้เรียบร้อย ก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ยกระดับมรรคกระบี่แต่ละแขนง ใช้เวลาอยู่หนึ่งปีจึงยกระดับพลังวิเศษทั้งหมดของตนให้บรรลุขีดสูงสุดได้
ขณะที่เขาเตรียมจะเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ เพื่อลองฝึกฝนหัตถาสวรรค์มหาวิมุตดูนั้น พลันสัมผัสได้ถึงแรงกระตุ้นบางอย่าง
มาจากอาณาเขตฟ้าบุพกาล!
เต้าจื้อจุนมาหาเขาอีกแล้ว!
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง นำจิตรับรู้เข้าสู่อาณาเขตฟ้าบุพกาล
อาณาเขตฟ้าบุพกาลเปรียบเสมือนกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นโดยหานเจวี๋ยและเต้าจื้อจุน ทั้งสองติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางนี้ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลกันมากแค่ไหน
เต้าจื้อจุนเปิดประเด็นในทันที “เจ้ามาช่วยข้าได้หรือไม่ หลังจากจบเรื่อง จะถือว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง!”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าถูกผู้ใดจับตัวไป”
“จักรพรรดิปีศาจ…”
“ช่วยไม่ได้ ขอแสดงความเสียใจกับเจ้าด้วย”
“…”
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบงัน
………………………………………………………………
[1]เข็มทิศหลัวผาน เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับศาสตร์ฮวงจุ้ย ใช้ในการตรวจับพลังงานที่มองไม่เห็น