วันปีเคลื่อนคล้อย เวลาในแดนเซียนผ่านไปเกือบสี่สิบปีอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดจิตวิญญาณของหานเจวี๋ยและมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดก็หลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ เขาใกล้จะทะลวงระดับได้แล้ว
เขาไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป อู้เต้าเจี้ยนออกจากถ้ำเทวาไปด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าข้าเข้าใจดี
หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึก ‘ระดับเทพ! ข้ามาแล้ว!’
เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง จนเกือบจะเทียบเท่าความรู้สึกตอนที่เขาใกล้ทะลวงระดับเซียน
เขาเริ่มเข้าใจมหามรรควัฏจักรอนธการแล้ว วิชายุทธ์นี้เป็นวิชายุทธ์มหามรรค สามารถเข้าถึงระดับที่แตกต่างกันได้ตามการเพิ่มพูนของตบะ
ตอนนี้เขาต้องการหนทางทะลวงระดับ!
วิญญาณของหานเจวี๋ยหลุดออกจากร่างทางศีรษะ ดวงวิญญาณของเขาเป็นสีม่วงสุกใส สะท้อนอยู่ภายในถ้ำ
เริ่มการทะลวงระดับ!
เมื่อหานเจวี๋ยรู้แจ้งในมหามรรควัฏจักรอนธการแล้ว สัจธรรมนานาประการของระดับเทพก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองของเขา
ระดับเทพ! ระดับที่อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ระดับเทพไม่ได้แบ่งออกเป็นเก้าวัฏเช่นเดียวกับระดับจักรพรรดิ แต่แบ่งเป็นหกขั้น
ปฐมเทพขั้นหนึ่ง!
ปฐมเทพขั้นสอง!
ไปจนถึงปฐมเทพขั้นหก
หกขั้นรวมกันกลายเป็นต้าหลัว!
…
วังสวรรค์ พระราชวังเทียมเมฆา เหล่าทวยเทพต่างมาชุมนุม
จักรพรรดิสวรรค์ประทับบนบัลลังก์สูง หลี่เต้าคง หลี่เสวียนเอ้า ยอดแม่ทัพเทพ แม่ทัพเทพยุทธ์ จิ่งเทียนกงจากนิกายเจี๋ย และผู้ทรงพลังจากนิกายฉ่านยืนอยู่แถวหน้าในท้องพระโรง
ยอดแม่ทัพเทพกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฝ่าบาท มีเทพสงครามมาท้าทายแม่ทัพเทพสวรรค์อีกแล้ว ทว่าท่านแม่ทัพเทพสวรรค์นำชัยมาแล้วหลายหมื่นครา คงจะห่างจากตำแหน่งเทพสงครามมรรคาสวรรค์อีกไม่ไกลแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ”
เทพเซียนคนอื่นๆ เผยรอยยิ้มทีละคน
ตั้งแต่ประกาศต่อปวงสวรรค์ว่าจะท้าประลองหน้าประตูสวรรค์ ผ่านมาหลายขวบปี เขาก็ทำสงครามมาโดยตลอด เป็นเพราะเขากิตติศัพท์ของวังสวรรค์จึงรุ่งโรจน์ขึ้นมา และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้สำนักเต๋าให้การสนับสนุนวังสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์หัวเราะและกล่าวว่า “แม่ทัพเทพสวรรค์ลำบากตรากตรำขนาดนี้ พวกเจ้าก็อย่าได้นิ่งนอนใจ ต่อไปถึงเวลาจัดการกับวังปีศาจ หนึ่งวันที่วังปีศาจดำรงอยู่ เป็นหนึ่งวันที่หายนะในวังสวรรค์ต้องคงอยู่ต่อไป ตอนนี้วังสวรรค์เป็นกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเซียนอันแสนโกลาหลแห่งนี้แล้ว จงกวาดล้างวังปีศาจ เพิ่มพูนดวงชะตาให้แก่วังสวรรค์”
เหล่าทวยเทพต่างรับคำ สีหน้าของเทพเซียนทุกองค์ต่างเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
แดนเซียนวังสวรรค์ในทุกวันนี้ช่างแตกต่างจริงๆ หลังจากได้รับแรงหนุนจากสำนักเต๋าแล้ว พวกเขาก็แข็งแกร่งที่สุดในแดนเซียน!
ทว่าจู่ๆ จิ่งเทียนกงก็ถามขึ้น “ฝ่าบาท ตอนนี้มีข่าวลือหนาหูว่าจู่ถูแห่งวังเทพคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ท่านคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์ตอบอย่างใจเย็น “เหตุใดจู่ถูจึงต้องฝึกบำเพ็ญเพื่อเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เหตุใดเขาต้องเลือกที่จะเผยตัวออกมาในตอนนี้ด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแต่ต้องการเอาชนะเหล่าผู้ศรัทธาในเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเท่านั้น กลับกันหากเจ้าเป็นจู่ถู เจ้ามีเหตุผลใดที่ต้องสวมบทบาทของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ”
จิ่งเทียนกงพยักหน้า เขาเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
เขาได้พบปะพูดคุยกับจู่ถูมาบ้าง คนคนนี้หยิ่งผยองถึงที่สุด เขาสามารถโจมตีจักรพรรดิปีศาจ และบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ได้อย่างไม่ต้องกังขา มีเหตุผลกลใดถึงต้องทำเช่นนี้กัน
อีกทั้งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจู่ถูใช้คำสาปด้วย! แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือจิ่งเทียนกงไม่ได้ญาติดีกับจู่ถู เมื่อก่อนเขาเกือบจะตายอยู่ในเงื้อมมือของจู่ถู
จู่ถูจะเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการที่เขาเทิดทูนได้อย่างไร ในสายตาของเขา เจ้าแดนต้องห้ามอันธการทั้งลึกลับและยิ่งใหญ่ ทรงปัญญา เป็นเจ้าแห่งกลยุทธ์ ไม่เคยเห็นแก่ชื่อเสียง ขอเพียงสิ่งตอบแทน
นี่สิถึงจะเป็นผู้ทรงพลังที่เขาใฝ่หา!
หลี่เต้าคงกล่าวขึ้นมาฉับพลัน “ฝ่าบาท ข้าต้องการท้าประลองกับจู่ถู”
จักรพรรดิสวรรค์ชำเลืองมองเขา แล้วส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “เจ้ายังเยาว์นัก พลังของจู่ถูไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้”
หลี่เต้าคงหลุดหัวเราะออกมา แล้วกล่าว “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นข้าก็ยิ่งอยากประลองกับเขา!”
หลี่เสวียนเอ้าพูดจาพิลึกพิลั่นชวนสับสน “ศิษย์พี่ของข้าเอ๋ย เจ้าอย่าได้หาที่ตายเลยนะ เดี๋ยวศิษย์น้องอย่างข้าจะติดร่างแหไปด้วย”
“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่”
“หึๆ มั่นใจเสียเหลือเกินนะ”
“ไม่ใช่ความมั่นใจ แต่มันคือความจริง”
“เหอะ”
เหล่าเทพเซียนต่างเคยชินกับการเห็นสองศิษย์พี่ศิษย์น้องเปิดฉากปะทะฝีปากกันเสียแล้ว
ในตอนนี้เอง ทหารสวรรค์นายหนึ่งเหาะเข้ามาในท้องพระโรง
“ทูลรายงาน นอกประตูสวรรค์ทักษิณมีปีศาจปรากฏกายขึ้นเป็นจำนวนมาก หมายโจมตีวังเทพ!”
เหล่าเทพเซียนตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขาเพิ่งจะปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับวังปีศาจอย่างไรดีแท้ๆ คาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะบุกมาโจมตีวังเทพก่อน
สีหน้าของเต้าจื้อจุนดูเป็นกังวล สำหรับวังเทพประมุขเก่าแก่ของเขา เขาทั้งรักทั้งเกลียดในคราวเดียวกัน
หลี่เต้าคงหัวเราะลั่นแล้วกล่าว “มาได้จังหวะพอดี!”
เมื่อพูดจบ เขาก็หายตัวไปเป็นคนแรก
หลี่เสวียนเอ้าเร่งรีบตามไปอีกคน
……
ผ่านไปสิบเจ็ดปีเต็ม ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงระดับสำเร็จลุล่วง
ปฐมเทพขั้นหนึ่ง!
จิตวิญญาณของหานเจวี๋ยถูกยกระดับ จิตนึกคิดถูกกวาดหายไปจนสิ้น โชคดีที่เขาคิดขึ้นมาได้ทันเวลาว่าไท่กู่หยวนเฟิ่งยังอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุม จึงกำจัดจิตนึกคิดออกไปได้
พลังเวทในกายของเขาเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพด้วย
นี่คือพลังเวทในขั้นที่สูงขึ้น หรือจะเรียกว่าเวทปฐมเทพก็ได้
ปฐมธาตุคือต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง เทพคือผู้ส่งสูงที่อยู่เบื้องบน
พลังเวทปฐมเทพ!
หานเจวี๋ยรู้สึกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ระดับเทพนำมาให้แทรกซึมไปทั่วร่างกาย เขารู้สึกเหมือนตนเองได้เกิดใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต แตกต่างกันราวมนุษย์และเซียน ช่างเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอดจริงๆ!
จิตนึกคิดสามารถสัมผัสได้ถึงพื้นที่และเวลาในสรรพสิ่งทุกหนแห่ง ราวกับจะควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!
หานเจวี๋ยตื่นจากความมหัศจรรย์ดังกล่าว เขาลืมตาขึ้น เปิดหน้าจอแสดงคุณสมบัติ อยากตรวจสอบอายุขัยของตนเอง
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 4703/9,999,999,999,999,999]
[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ]
[ตบะ: ปฐมเทพขั้นหนึ่ง]
[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]
[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด มหามรรคแห่งกรรม]
…
‘อายุขัย 9999 ล้านล้านปี! เกือบจะทะลุเส้นขอบฟ้าไปแล้ว! ไม่เพียงแค่นั้น เผ่าพันธุ์ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย เทพมารอนธการ? น่าสนใจแฮะ!’
หานเจวี๋ยมีความสุขจนล้นอก ชีวิตนี้ช่างมีอายุขัยยืนยาวจริงๆ! ใกล้เคียงกับชีวิตนิรันดร์! หานเจวี๋ยระงับความตื่นเต้นและรวมตบะต่อไป
สองปีต่อมา
ตัวอักษรสามบรรทัดลอยขึ้นมาตรงหน้าของเขา
[ตรวจสอบพบว่าท่านก้าวสู่ระดับเทพสำเร็จ และกลายเป็นเทพมารอนธการ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากการปิดด่าน ต่อสู้เพื่อดวงชะตาอันยิ่งใหญ่แห่งมหาเคราะห์ จะได้รับวิชาสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง และชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]
[สอง ทำตามสิ่งที่ท่านปรารถนา ฝึกบำเพ็ญต่อไป จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น และโอกาสในการยกระดับระบบหนึ่งครั้ง]
‘ระบบเฮงซวยนี่ ในที่สุดก็เลิกขัดใจสักที!’ หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองด้วยความอภิรมย์
[เริ่มต้นการยกระดับระบบ]
‘เจ้าก็ค่อยๆ ยกระดับไปก็แล้วกัน!’ หานเจวี๋ยหลับตาลง เริ่มใช้พลังวิเศษมรรคกระบี่ เตรียมยกระดับพลังของตนเองให้ถึงขีดสุด
ในวันเดียวกัน
เขากระโจนลงไปในแม่น้ำมรรคกระบี่ และเริ่มก้าวไปข้างหน้า
เมื่อจั้งกูซิงผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่เห็นหานเจวี๋ย เขาก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้ามา…”
‘เดี๋ยวก่อน!’ ดวงตาของจั้งกูซิงเบิกกว้าง
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยก่อตัวเป็นร่างแสงสีม่วง แผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้เขารู้สึกหวาดผวา
‘กลิ่นอายเช่นนี้…มีเพียงจักรพรรดิเทพในวังเทพเท่านั้นที่ครอบครองได้! หรือว่าเจ้าเด็กนี่ก้าวเข้าสู่ระดับเทพแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร! นี่มันเพิ่งจะกี่ปีเอง’ จั้งกูซิงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เขาได้เห็นหานเจวี๋ยเติบโตขึ้นกับตาตัวเองก็ว่าได้
‘สี่พันกว่าปี เขาก้าวพ้นจากมนุษย์เข้าสู่ระดับเทพแล้วอย่างนั้นหรือ เด็กคนนี้คือผู้ทรงพลังกลับมาเกิด เพื่อสัมผัสโลกมนุษย์ใช่หรือไม่’
หานเจวี๋ยเมินเฉยต่อจั้งกูซิง และตั้งหน้าตั้งตาทะลวงระดับต่อไป
เขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่งรอบข้างไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่
ในที่สุดเขาก็เห็นร่างลึกลับนั้นอีกครั้ง ราวกับยืนรอคอยเขาอยู่ที่จุดสิ้นสุดของมรรคกระบี่
หานเจวี๋ยคาดเดาตัวตนของเจ้านั่นได้แล้ว
แม้จะดูเหมือนอยู่ใกล้กันอย่างมาก แต่หานเจวี๋ยต้องก้าวเดินไปข้างหน้าหลายหมื่นก้าวกว่าจะมาถึงตัวอีกฝ่าย
ร่างลึกลับหันมามองหานเจวี๋ย พร้อมกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้านี่เอง ข้าไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ ด้วย”
ร่างลึกลับร่างนั้น ที่แท้ก็คือหลี่เต้าคง!