หานเจวี๋ยตกอยู่ในความลังเล ‘เขาต้องไปหรือเปล่านะ’
คนที่ใช้วิชาอัญเชิญเทพได้มีเพียงศิษย์และคู่บำเพ็ญเพียรของเขา นานทีปีหนจึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง และคาดเดาได้เลยว่าต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปทันที กระแสน้ำวนสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้า หานเจวี๋ยนั่งบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรและเหาะเข้าไปในกระแสน้ำวน หากไร้ซึ่งยอดสมบัติ ใจของเขาคงอยู่ไม่เป็นสุข ถึงแม้ว่าเขาจะบรรลุระดับเทพแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังตัวอยู่ดี
…
ในโลกอันมืดมิด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เหนือพื้นดินเต็มไปด้วยโครงกระดูกกลาดเกลื่อน
ฟางเหลียง จี้เซียนเสิน และหานมิ่งอยู่ด้วยกัน
ทั้งสามติดอยู่ภายในค่ายกลสีทอง ด้านนอกมีปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานมาจากด้านหน้าและด้านหลัง โจมตีค่ายกลสีทองอย่างบ้าคลั่ง หมายจะทะลวงเข้ามา
เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เสียงดังอึกทึก
จี้เซียนเสินกัดฟันกรอด “ไอ้เด็กเหลือขอ ตกลงเจ้าเรียกอาจารย์ปู่ของเจ้าได้หรือเปล่า! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะใช้วิชาต้องห้ามแล้วนะ!”
ฟางเหลียงกัดฟัน “หากเจ้าใช้วิชาต้องห้ามอีกครั้ง ดวงวิญญาณของเจ้าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง อีกทั้งยังเป็นไปไม่ได้สำหรับระดับจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ใช้วิชาต้องห้ามก็ใช่ว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้”
เขามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หานมิ่งยืนอยู่ด้านหลังของทั้งสองคน สีหน้าสลด
ในตอนนี้เอง
กระแสน้ำวนสีดำปรากฏเหนือศีรษะของทั้งสาม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยแสงสีม่วงที่สาดส่องลงมา ทั้งสามเผยสีหน้าตกตะลึง
หานเจวี๋ยมาจริงๆ ด้วย! เห็นเพียงร่างร่างหนึ่งใจกลางแสงสีม่วง เขานั่งอยู่บนดอกบัว เครื่องหน้า และบัลลังก์ดอกบัวนั้นกลับดูเลือนราง
จี้เซียนเสินตะโกนลั่น “สหายกวนในที่สุดเจ้าก็มาจนได้!”
หานเจวี๋ยชะงักงัน เขาเกือบลืมชื่อของตนเองไปแล้ว
เขาสำรวจยอดฝีมือที่รายล้อมอยู่ทันที คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงระดับจักรพรรดิที่มาจากเผ่ามาร หานเจวี๋ยคร้านจะจดจำชื่อของอีกฝ่าย
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ฟางเหลียงกล่าวอย่างลำบากใจ “ที่นี่คือหุบเหวมาร พวกเราถูกวังปีศาจตามล่าจนหลงทางมาถึงที่นี่ อาจารย์ปู่ ขออภัยจริงๆ ทีแรกข้าก็ไม่อยากจะรบกวนท่าน…แต่ว่า…ที่นี่มีเพียงท่านที่เป็นญาติทางสายเลือดเพียงคนเดียว…”
หานเจวี๋ยทอดสายตามองหานมิ่ง เขารู้สึกได้ว่ากลิ่นอายสายเลือดของหานมิ่งใกล้ชิดกับเขา แต่เขาไม่สนใจ
หานเจวี๋ยจ้องเขม็ง เหล่าปีศาจด้านนอกของค่ายกลสีทองสลายหายไปจนเกือบหมดราวกับควัน
ทั้งจี้เซียนเสิน ฟางเหลียง และหานมิ่งต่างตกตะลึง
หานมิ่งถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “พวกมันถอยไปหมดแล้วหรือ”
ฟางเหลียงหันขวับไปมองหานเจวี๋ย และกล่าว “ไม่ใช่ เป็นฝีมืออาจารย์ปู่ของเจ้า เป็นจิตนึกคิด!”
หานเจวี๋ยกล่าวเป็นนัยล้ำลึก “เจ้าดูจะรู้อะไรอยู่ไม่น้อย ดูท่าทางเมื่อก่อนคงจะมีประสบการณ์มาไม่น้อยสิท่า”
เขาไม่ลืมว่าวิญญาณของฟางเหลียงท่องกาลดึกดำบรรพ์ แต่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเด็กคนนี้อยู่ในกาลดึกดำบรรพ์มานานเพียงไร
จี้เซียนเสินถามด้วยความตกตะลึง “ตายหมดแล้วหรือ เช่นนั้น…”
“พวกเจ้ารีบออกไปจากที่นี่ซะ” หานเจวี๋ยตัดบท เขาแอบรำคาญอยู่เล็กน้อย ทันทีที่พูดจบก็เตรียมตัวกลับเข้าไปในกระแสน้ำวนอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน! ข้า…” จู่ๆ หานมิ่งก็ก้าวตามมา และเอ่ยปากขึ้น
หานเจวี๋ยนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เกือบลืมเจ้าไปเสียแล้ว”
เพียงเขาสะบัดมือขวาครั้งเดียว หานมิ่งก็กลายเป็นหมอกโลหิต สาดกระจายไปทั่ว ดวงวิญญาณสองดวงตกไปอยู่ในมือของเขา
ฟางเหลียงและจี้เซียนเสินไม่ได้โง่ พวกเขาเข้าใจในทันที
“ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงมีสองดวงวิญญาณล่ะ” จี้เซียนเสินขมวดคิ้ว
ฟางเหลียงตระหนักได้ทันที “เด็กเมื่อครู่นี้ไม่ใช่พี่น้องของอาจารย์ปู่จริงๆ…”
หานเจวี๋ยเก็บวิญญาณทั้งสองดวงไว้ในฝ่ามือ เอ่ยคำพูดทิ้งท้ายก่อนจะจากไป “จำไว้ให้ดี ต่อให้เป็นคนที่พวกเจ้ารู้จัก ก็อย่าได้ไว้ใจง่ายๆ”
พูดจบ หานเจวี๋ยก็หันกลับเข้าไปกระแสน้ำวนสีดำและกลับไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทาน
เมื่อกระแสน้ำวนสีดำหายไป จี้เซียนเสินและฟางเหลียงก็เร่งรีบจากไป เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็หายไปในท้องฟ้า
ขณะที่หลบหนีจี้เซียนเสินอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “อาจารย์ปู่ของเจ้าตอนนี้อยู่ระดับใดกัน”
ฟางเหลียงเผยสีหน้าอันซับซ้อน “อย่างต่ำก็ระดับเทพ แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซียนมาก…”
“เป็นไปได้อย่างไร…เขาก็ออกมาจากโลกมนุษย์เหมือนกับพวกเรา และยังไม่เคยสำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์เลยนี่”
“บางทีอาจารย์ปู่ของข้าอาจจะมีตัวตนอื่นที่เราไม่เคยรู้ก็เป็นได้”
“โอ้? ตัวตนอะไรหรือ”
“ข้าก็บอกว่าไม่รู้อย่างไรเล่า นี่เจ้าโง่หรือไร”
“ไอ้เด็กนี่ นับวันยิ่งดื้อด้านนะ ลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนข้าคอยดูแลเจ้าอย่างไร”
“วันนี้แตกต่างไปจากเมื่อครั้งอดีต ไม่แน่ว่าต่อไปเจ้าอาจจะกลายเป็นคู่แข่งของข้าก็ได้”
“น่าขัน เจ้าน่ะนอกจากจะหลบซ่อนตัวแล้ว เอาชนะข้าได้ด้วยหรือ”
…
หลังจากกลับมายังถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็ไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไปข้างนอก เขาแบมือขวาออก และปล่อยดวงวิญญาณสองดวงออกมา หนึ่งในนั้นคือหานมิ่ง ส่วนอีกหนึ่งเป็นใครไม่อาจทราบได้ หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบเพื่อตรวจสอบตัวตนของเขา
[โจวเฉียนจื่อ: จักรพรรดิเซียนหกวัฏ เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่กำเนิด]
หานเจวี๋ยจ้องมองโจวเฉียนจื่อและเอ่ยถาม “เจ้าสับเปลี่ยนวิญญาณของเขาทำไม”
โจวเฉียนจื่อตัวสั่นงันงก เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าก็แค่ได้รับบาดเจ็บจึงคิดอาศัยร่างของเขาชั่วคราว ไม่ได้มีเจตนาร้าย…”
หานมิ่งมองไปยังหานเจวี๋ยด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ในใจรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย ในอดีตตอนที่เขาอยู่ภายใต้อาณัติของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร หานมิ่งมักจะแข็งข้อกับหานเจวี๋ยเสมอ แต่หลังจากที่เขาได้เผชิญกับโลกภายนอกแล้ว เขาก็รู้ซึ้งถึงอันตรายในโลกมนุษย์
การปรากฏตัวของหานเจวี๋ยในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งในความเป็นครอบครัวมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเพียงมองปราดเดียวหานเจวี๋ยก็มองการเสแสร้งของโจวเฉียนจื่อออก ทำให้เขาเทิดทูนอีกฝ่ายจนสุดหัวใจ
[ความประทับใจที่หานมิ่งมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]
หานเจวี๋ยเมินข้อความดังกล่าว และจ้องโจวเฉียนจื่อตาเขม็ง “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อจริงๆ หรือ ข้ามีวิธีทำให้เจ้าสารภาพออกมาจนหมดเปลือก”
เขานำตัวโจวเฉียนจื่อหย่อนลงไปในใจกลางของบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร
“อ๊าก บอกแล้ว! ข้าบอกแล้ว! ข้าเป็นศิษย์ของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร!” โจวเฉียนจื่อกล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัว ราวกับเผชิญกับการทรมานที่น่าสยดสยองที่สุดในโลก
หานเจวี๋ยปล่อยเขาลง
หานมิ่งจ้องมองบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรด้วยความสงสัยใคร่รู้ ข้างในดอกบัวสีดำดอกนี้ซ่อนอะไรไว้กันแน่
ดวงวิญญาณของโจวเฉียนจื่อสั่นสะท้านไม่หยุด เขาตะโกนลั่น “จักรพรรดิเซียนวัฏจักรหวังจะใช้น้องชายของเจ้าเพื่อตามหาตัวเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องสับเปลี่ยนวิญญาณกับหานมิ่งและพยายามหาทางเข้าหาเจ้า ข้าเองก็ถูกบังคับ จักรพรรดิเซียนวัฏจักรบังคับให้ข้าทำทั้งนั้น!”
[โจวเฉียนจื่อเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]
หานเจวี๋ยจ้องมองเพียงครั้งเดียว ดวงวิญญาณของโจวเฉียนจื่อก็สลายไป
เขาขี้เกียจซักไซ้ไล่เรียง ขอเพียงแค่รู้ว่าผู้บงการเบื้องหลังเป็นใครก็พอแล้ว
หานเจวี๋ยทอดสายตาไปยังหานมิ่ง
หานมิ่งก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาเขา
ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าบอกเขาว่าพลังของหานเจวี๋ยนั้นไปไกลเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ อาจจะน่ากลัวพอๆ กับจักรพรรดิเซียนวัฏจักรเลยด้วยซ้ำ มิฉะนั้นจักรพรรดิเซียนวัฏจักรจะหมายหัวหานเจวี๋ยทางอ้อมเช่นนี้หรือ
หานเจวี๋ยรู้สึกลังเล
ควรจะทำอย่างไรกับหานมิ่งดี หรือจะฆ่าทิ้งเสียเลย? ทว่าหานมิ่งไม่มีความคิดที่จะทำร้ายเขา อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกับเขาในชาตินี้ด้วย หากฆ่าทิ้งไปดื้อๆ ก็ดูจะไร้มนุษยธรรมเกินไป
หานเจวี๋ยเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ากับข้าที่จริงแล้วต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ต่อให้พูดว่าเป็นญาติพี่น้อง ข้าก็ไม่อาจยอมรับได้ ข้าถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก หากพูดอย่างไม่เกรงใจ ที่เจ้ามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ คุณค่าในตัวเจ้าล้วนมาจากข้าทั้งสิ้น มิฉะนั้นจักรพรรดิเซียนวัฏจักรก็ไม่มีทางเลี้ยงดูเจ้า
ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้าสองทาง หนึ่ง กลับชาติไปเกิดใหม่ซะ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้า มันจะอันตรายต่อเจ้ามากยิ่งขึ้นในอนาคต จักรพรรดิเซียนวัฏจักรอาจหมายหัวเจ้า ข้าช่วยหาวิธีให้เจ้าไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีได้
สอง ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่เกาะแห่งนี้ อย่าเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าอีก เมื่อมหาเคราะห์สิ้นสุดลงก็จงจากไปเสีย นับแต่นี้เป็นไปเจ้ากับข้าไม่มีความข้องเกี่ยวอันใดต่อกันอีก ในภายภาคหน้าข้ากับเจ้ามิใช่พี่น้อง หากเจ้าคิดจะขู่เข็ญข้า ข้าก็จะสังหารเจ้าเสีย”
ได้ยินดังนั้น หานมิ่งก็เงยหน้าขึ้นแล้วกดเสียงต่ำ “เช่นนั้นข้าจะกลับชาติไปเกิดใหม่ ข้าเองก็ไม่อยากประจบสอพลอเจ้านักหรอก!”