บทที่ 489 อริยะคลั่ง เผ่ามนุษย์ปรากฏตัว
‘หืม? อริยะมิ่งจีขอความช่วยเหลือจากอริยะผู้อื่นหรือ’
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขาไม่ได้หยุดยั้ง แต่กลับสาปแช่งต่อ
อายุขัยลดลงอย่างรวดเร็ว!
ยี่สิบห้าล้านล้านปี!
สามสิบล้านล้านปี!
สี่สิบล้านล้านปี!
หานเจวี๋ยแทบจะทนไม่ไหวกับอายุขัยที่ลดลงอย่างรวดเร็วนี้
การรวมตัวของสองอริยะช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ราวกับกำแพงเหล็กหนาที่คอยป้องกันพลังคำสาปแช่ง!
ขณะนั้นเอง!
[อริยะมิ่งจีศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ธาตุไฟเข้าแทรก กลายร่างเป็นอริยะคลั่ง เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]
อริยะคลั่ง!
หานเจวี๋ยหยุดสาปแช่งทันที
เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ร่างกายเขาเบาสบาย รู้สึกถึงความสุขหลังจากผ่านความทุกข์ยากมา
ผลลัพธ์ของการสาปแช่งนับว่าไม่เลว หานเจวี๋ยไม่คิดว่าตนเองจะสามารถสาปแช่งอริยะจนถึงแก่ความตายได้ภายในครั้งเดียว แต่การที่อริยะมิ่งจีกลายเป็นบ้าไปได้ แสดงว่าคราวตายของเขาก็อยู่ไม่ไกลแล้ว!
หานเจวี๋ยเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย ลุกขึ้นยืนเตรียมออกไปแสดงธรรมให้แก่สำนักซ่อนเร้น
…
ชั้นฟ้าที่สิบสาม พระราชวังเผ่าสวรรค์
ฟางเหลียงมาคารวะจี้เซียนเสิน
จี้เซียนเสินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ชั้นฟ้าที่สามสิบสามเกิดเรื่องวุ่นวายแล้ว”
ฟางเหลียงผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “หมายความว่าอย่างไร”
“เห็นว่ามีอริยะคลั่งกระมัง”
“หา?”
“เห็นลือกันว่าถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งจนเป็นบ้า”
ดวงตาของฟางเหลียงเบิกกว้างขึ้น เขาไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
แต่ไม่คิดว่าหลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะยังมีชีวิตอยู่!
ไม่เพียงแค่นั้นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังสาปแช่งอริยะอีกด้วย!
มันชักจะโอหังเกินไปแล้ว!
ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทำสำเร็จ!
ฟางเหลียงขมวดคิ้วและถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรือขอรับ”
จี้เซียนเสินกล่าว “อริยะจิตฟุ้งซ่าน ความสนใจย่อมถูกเบี่ยงเบน นอกจากนี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ว่ากันว่าในระหว่างมหาเคราะห์ครั้งก่อน เจ้าแดนต้องห้ามอันธการให้การช่วยเหลือวังสวรรค์”
ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แค่ข่าวลือเท่านั้น สุดท้ายแล้ววังสวรรค์มีจุดจบเช่นไร ท่านก็รู้ดีไม่ใช่หรือขอรับ”
จี้เซียนเสินขมวดคิ้ว การปรากฏตัวของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา กลุ่มอิทธิพลฝ่ายใดที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็มักจะพุ่งเป้าไปยังฝ่ายนั้น บัดนี้เผ่าสวรรค์เป็นเผ่าที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในแดนเซียนแล้วไม่ใช่หรือ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกขอรับ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคงไม่ปรากฏตัวออกมาอีกแล้ว ต่อให้เขาจะหมายหัวพวกเราจริงๆ ขนาดอริยะยังทำอะไรไม่ได้ พวกเราไม่ต้องรอความตายกันเลยหรือ” ฟางเหลียงกล่าวพร้อมกับแบมือออก
เขาเพิ่งได้เป็นชาวพุทธเมื่อไม่นานมานี้ จึงไม่ต่อสู้ ไม่ดิ้นรน อยู่ไปอย่างสบายใจ
ปัจจุบันเทพเซียนในวังสวรรค์ต่างเป็นเพียงของประดับตกแต่ง ทว่าเทพเซียนของเผ่าสวรรค์กลับเที่ยวแสดงธรรมไปทั่วทุกที่ เพื่อเผยแพร่คำสอน ด้วยจิตใจทะเยอทะยาน
เมื่อเห็นจี้เซียนเสินหมั่นเพียรถึงเพียงนี้ ก็อดนึกถึงตนเองในอดีตขึ้นมาไม่ได้
ไม่ว่าใครก็หลงอยู่ในวังวนม่านหมอกแห่งเวรกรรม
จี้เซียนเสินส่ายหน้าและหลุดหัวเราะออกมา “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบเป็นเพราะเรื่องอื่นต่างหาก เผ่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว รีบไปดึงมาเป็นพวกวังสวรรค์เถอะ ภายหน้าจะได้ยืมมือเผ่ามนุษย์มาใช้งาน”
ฟางเหลียงขมวดคิ้วถาม “เผ่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร”
“เป็นฝีมือหลี่เต้าคง ก่อนที่มหาเคราะห์จะสิ้นสุดลง เผ่ามนุษย์ส่วนหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายออกไป ตอนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วสองพันปี จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เผ่าบรรพกาลจะไม่สามารถควบคุมเผ่ามนุษย์ได้อีกต่อไป วังสวรรค์ควรฉวยโอกาสตอนที่เผ่ามนุษย์ยังอ่อนแอ เป็นมังกรไร้หัว เข้ายึดครองอย่างสบายๆ เถิด”
“แล้วหลี่เต้าคงล่ะขอรับ”
“เขาหรือ? เจ้าคิดว่าเขาจะเป็นผู้นำเผ่ามนุษย์จริงๆ น่ะหรือ”
จี้เซียนเสินถามด้วยความสงสัย รู้สึกว่าฟางเหลียงระแวงมากจนเกินไป
ฟางเหลียงพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง อันที่จริงหลี่เต้าคงก็ไม่ใช่คนแบบนั้น เดิมทีหลี่เต้าคงออกจะชิงชังเผ่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ ที่เขาปกป้องเปลวธูปของเผ่ามนุษย์ คาดว่าเป็นเพราะพื้นฐานการอบรมของนิกายเหริน
“ได้ ข้าจะพยายาม”
ฟางเหลียงตอบรับ แต่ในใจกลับรู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก
…
การแสดงธรรมหนึ่งร้อยปีสิ้นสุดลง บรรดาศิษย์สำนักซ่อนเร้นต่างได้ความรู้ติดตัวกลับไปไม่น้อย นอกจากพวกสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า ศิษย์ทั้งหมดของสำนักซ่อนเร้น คนของเผ่าเอกาก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางการบำเพ็ญมหามรรคต้นกำเนิดอย่างงดงาม
การบำเพ็ญมหามรรคดีกว่าการการบำเพ็ญวิชายุทธ์มากนัก ความเร็วในการบำเพ็ญของแต่ละคนต่างก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้ามีรากฐานที่อ่อนแอ พวกเขายังไม่ถึงจุดที่จะบรรลุมหามรรคต้นกำเนิดได้ในขณะนี้
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ หานเจวี๋ยรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่กำลังเรียกเขาจากที่ไกลออกไป ในขณะที่เขาไม่รู้ตัว
มหามรรคต้นกำเนิด!
หรือว่าในขณะที่เขาสร้างมหามรรคต้นกำเนิด ในมิติลึกลับที่ไหนสักแห่ง มหามรรคต้นกำเนิดก็อวตารถือกำเนิดขึ้นมาด้วย
หานเจวี๋ยถามกับระบบ แต่ระบบไม่สามารถให้คำตอบได้เนื่องจากมหามรรคนั้นอยู่เหนือขีดจำกัดปัจจุบันของระบบ
‘ไอ้ระบบเฮงซวย สร้างมหามรรคขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีปัญญายกระดับไปถึงขีดกำจัดของมหามรรคหรือ’
หานเจวี๋ยอับจนหนทาง ทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน
เมื่อกลับเข้ามาในอารามเต๋า หานเจวี๋ยก็มุ่งความสนใจไปยังโลกดารา
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งหมื่นปี โลกเขย่าพิภพเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จำนวนจักรพรรดิเซียนเพิ่มขึ้นเกินสิบคนแล้ว แต่ละคนเข้าครอบครองพื้นที่ต่างๆ ภายในโลกเขย่าพิภพ
โลกเขย่าพิภพถูกโอบล้อมด้วยปราณอนธการ จักรพรรดิเซียนที่คิดจะบินออกมา ต่างก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ ทำให้โลกเขย่าพิภพอยู่ในสภาพถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์
พุทธะอาภรณ์ขาวยังคงเป็นใหญ่ที่สุดในโลกเขย่าพิภพ เช่นเดียวกับอริยะแห่งแดนเซียน
นอกจากนี้ดาวที่อยู่ไม่ไกลจากโลกเขย่าพิภพ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง มีภูเขา ลำธาร ลมและไฟเกิดขึ้น จนถึงขั้นสามารถสร้างพลังวิญญาณได้ด้วยตนเอง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ดาวดวงนี้ก็จะมีสภาพเหมาะสมเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตได้
ไม่เลว ไม่เลว!
หานเจวี๋ยพึงพอใจกับความก้าวหน้าของโลกดาราเป็นอย่างมาก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะกลายเป็นมรรคาสวรรค์
เขาเคลื่อนสายตาไปมองปราณเทพมาร ในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีแห่งการแสดงธรรม เขาได้หลอมรวมปราณเทพมารออกมาได้อีกสิบสองตน
ปราณเทพมารพวกนี้ยังอยู่ในระหว่างการหลอมรวม ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหลอมรวมกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้
หานเจวี๋ยรู้สึกคล้ายกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป
หรือต้องรอให้เขาพิสูจน์มรรคเป็นอริยะให้ได้เสียก่อน ปราณเทพมารถึงจะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติได้อย่างแท้จริง
หลังจากสำรวจตนเองแล้วหานเจวี๋ยก็เริ่มฝึกบำเพ็ญ
ดวงจิตประหลาดกลับมาที่อารามเต๋า และเข้ามาคลอเคลียหานเจวี๋ย
แม้ว่าสติปัญญาของมันจะหยุดพัฒนาไปแล้ว แต่พละกำลังของมันยังคงก้าวกระโดด ดูเหมือนว่ามันไม่ต้องพึ่งพาการฝึกบำเพ็ญ ก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
หานเจวี๋ยเดาว่าคงเป็นเพราะเขารวมร่างกับดวงจิตประหลาด จึงส่งผลกระทบต่อดวงจิตประหลาดด้วย
นี่นับเป็นสิ่งที่ดี
ดวงจิตประหลาดเป็นหนึ่งในมือสังหารของหานเจวี๋ย ต่อไปจะสามารถฆ่าศัตรูโดยที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นได้
ผ่านไปไม่นาน
มีคนมาขอพบหานเจวี๋ย
ศิษย์คนอื่นๆ ยังตกอยู่ในภาวะตระหนักรู้มรรค ยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมา ทว่าคนผู้นี้กลับฟื้นคืนสติได้เร็วกว่าใคร คงตั้งใจจะมาคารวะหานเจวี๋ย
“เข้ามาสิ”
ประตูอารามเต๋าเปิดออก โจวฝานเดินเข้ามา
เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของหานเจวี๋ย กล่าวพร้อมกับประสานหมัด “อาจารย์ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”
หานเจวี๋ยถาม “เรื่องอะไร”
โจวฝานอธิบายความตั้งใจของเขา
สองพันปีที่ผ่านมาเขารู้สึกได้ว่าเผ่ามนุษย์ลงมาเกิดอีกครั้ง ตอนแรกเขาก็ไม่สนใจ แต่ช่วงหลังมานี้เผ่ามนุษย์ดูเหมือนจะเผชิญภัยพิบัติ กำลังเรียกร้องหาเขาอยู่
เขาต้องการช่วยเผ่ามนุษย์
เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
หานเจวี๋ยนับนิ้วคำนวณโดยอาศัยผลกรรม ทำให้เขาคำนวณพบว่าในแดนเซียนมีเผ่ามนุษย์อยู่จริง แต่จำนวนเกินสองล้านคน ไม่ใช่กลุ่มก้อนเล็กๆ
เผ่ามนุษย์อยู่ห่างออกไปจากเขตเซียนร้อยคีรีไกลลิบ
หานเจวี๋ยคำนวณต่อไป
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
เผ่ามนุษย์กำลังถูกเผ่าบรรพกาลข่มเหง เผ่าบรรพกาลจับเผ่ามนุษย์กินเป็นอาหาร หมายจะกลืนกินดวงชะตามรรคาสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ ทำให้เผ่ามนุษย์รู้สึกสิ้นหวัง จำต้องพึ่งพาวิชาลับอัญเชิญผู้แข็งแกร่งที่มีสายเลือดเผ่ามนุษย์มาช่วยเหลือ
หานเจวี๋ยเองก็เป็นเผ่ามนุษย์ เพราะกู่จั๋วอิน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับเผ่าบรรพกาลยิ่งนัก
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้
“เจ้าไปเถิด” หานเจวี๋ยกล่าวด้วยท่าทีสงบ
โจวฝานดีใจมาก รีบคำนับขอบคุณและจากไปทันที
หลังจากที่โจวฝานจากไปแล้ว หานเจวี๋ยก็นำดวงจิตประหลาดไปซ่อนไว้ในบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร จากนั้นหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เตรียมตัวสาปแช่งกู่จั๋วอิน
ได้เวลาคิดบัญชีแล้ว!
………………………………………………..