บทที่ 178 ผมสงสัยว่าคุณสองคนรวมหัวกันหลอกผม
หวังเชียนมองฉินเยว่ราวกับกำลังมองวัวสาว[1] เขาจ้องมองเธอพร้อมกล่าวว่า “ฉินเยว่? แต่ก่อนทำไมคุณไม่เห็นแสดงตัวเลยว่าคุณเก่งขนาดนี้”
คำพูดของหวังเชียนทำให้ฉินเยว่ค่อนข้างเขินอาย “อันที่จริงแล้ว…ฉันไม่ได้ทำอะไรมาก แต่เป็นอาจารย์ของฉันที่แก้ไขต้นฉบับกองโตให้ฉัน บวกกับศาสตราจารย์อู๋ช่วยแปลให้ฉัน แม้แต่วิทยานิพนธ์ที่ได้ตีพิมพ์ก็เป็นเพราะอาจารย์ของฉันเป็นคนติดต่อให้!…”
“…ฉะนั้น! เฉินชาง ถ้าคุณไม่ยอมเลี้ยงข้าวฉัน ฉันขอถามหน่อยว่าคุณยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า”
เฉินชางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเสิร์ชหาวารสาร ‘ปลูกถ่ายตับ’ บนไป่ตู้อยู่นานมากก็ยังหาไม่เจอ บนไป่ตู้มีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับ ปลูกถ่ายตับราคาเท่าไหร่ การปลูกถ่ายตับยากหรือไม่ ตับที่ปลูกถ่ายกินได้หรือเปล่า…
เฉินชางมองฉินเยว่กับหวังเชียนด้วยสีหน้าสงสัย “ผมสงสัยว่าคุณสองคนรวมหัวกันหลอกผม คนไม่ดี”
หวังหย่งพยักหน้า “ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน…”
…
เมื่อเดินออกมาจากร้านไหตี่เลา เฉินชางมองฉินเยว่ด้วยสีหน้าขมขื่นใจ “คุณสั่งอาหารไม่ดูราคาเลยหรือไง”
ฉินเยว่ลูบท้องป่องๆ “ดูสิ แต่คุณในฐานะเจ้ามือไม่ดูเอง”
เฉินชางถอนหายใจออกมา “คุณเปลี่ยนชื่อเถอะ เปลี่ยนจากฉินเยว่เป็นฉินโซ่ว[2] จะเหมาะกว่า!”
หวังเชียนหัวเราะ “ชางเอ๋อร์ ในบรรดาพวกเราสี่คน ตอนนี้คุณเป็นคนที่รวยที่สุด พวกเรายังตรากตรำทำงานแลกเงินอยู่แต่ในโรงพยาบาล เหนื่อยจนเกินทน! ส่วนคุณรับงานนอกด้วย คนรวยแบ่งปันคนจนไงครับ”
หวังหย่งนิ่งเงียบไม่พูดจา ช่วงนี้เขาเล่นเป็นตัวซัพพอร์ตในเกมลีกออฟเลเจ็นดส์กับเฉินชางก็มีความสุขดีอยู่แล้ว เฉินชางพัฒนาสกิลได้ดีมาก ตนร่วมทีมบุกโจมตีกับเฉินชางจนตอนนี้เปลี่ยนจากดาบดอรัน[3] มาเป็นดาบ B.F. Sword[4] แล้ว ส่วนดาบดูดเลือดก็น่าอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว?
ในช่วงบ่าย เฉินชางไม่ได้กลับไปที่โรงพยาบาล แต่กลับไปเตรียมเอกสารสำคัญให้เรียบร้อย แล้วก็ตรงไปที่มหาวิทยาลัยแพทย์แห่งมณฑลตงหยางเลย มหาวิทยาลัยเก่าของเฉินชาง เฉินชางรู้จักคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากที่สุด
เขาไม่ได้กลับมาที่นี่มาสามปีแล้ว ทุกอย่างยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัย เมื่อมองดูนักศึกษาที่เดินผ่านไปมาประปราย ทำให้เฉินชางรู้สึกแก่ขึ้นมาในทันใด ถึงขั้นที่แม้แต่มุมมองความคิดของเขาก็ยังเปลี่ยนไป สายตาที่เขามองนักศึกษาเป็นเหมือนสายตาที่มองเด็ก ถึงอย่างไรเสียเขาก็เรียนจบมาตั้งสามปีแล้ว…
ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
จากเด็กไร้เดียงสาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก้าวเข้าสู่วัยทำงาน สู่โลกกว้างที่กว้างใหญ่เสียจนชวนให้เกิดความสับสนงุนงงยิ่งขึ้น
ในรั้วมหาวิทยาลัย เฉินชางได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทว่าหลังจากที่เรียนจบแล้วกลับพบว่ามีวิชาความรู้หลายอย่างที่เลือนหายไป
เมื่อมองรุ่นน้องในมหาวิทยาลัยที่กำลังเตรียมไปเข้าคลาสเรียน เฉินชางในตอนนี้รู้สึกคิดถึงวันวานมากอย่างคาดไม่ถึง
ที่แห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเก่าของเขา สถานศึกษาที่เขาเคยใช้ชีวิตนักศึกษาอยู่ที่นี่ถึงห้าปี
ถึงแม้มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะไม่ได้จัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร ไม่ได้มีเกียรติยศอะไรมากนัก แต่บุตรย่อมไม่รังเกียจมารดาตนเอง สุนัขย่อมไม่รังเกียจครอบครัวจนที่ให้ข้าว ศิษย์ย่อมไม่รังเกียจสถานศึกษาที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาตนมา
เฉินชางเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่นานเขาก็เดินไปถึงหน้าห้องหัวหน้าสำนักงานบัณฑิตวิทยาลัยในตึกบริหารการศึกษา
หลังจากที่เคาะประตูแล้ว
“เชิญครับ!”
น้ำเสียงที่ทั้งอ่อนเยาว์และคุ้นหูมาก ให้ความรู้สึกว่าอายุไม่ถึงสี่สิบกว่า หลังจากที่เฉินชางผลักประตูเข้าไปแล้ว เขาก็เห็นชายคนหนึ่งที่เข้ารู้จักนั่งอยู่ตรงนั้น
“อาจารย์กวน?” เฉินชางชะงักงันด้วยความประหลาดใจ!
กวนเหว่ยหัวเราะลั่น “เซอร์ไพรส์มากเลยใช่มั้ย”
เฉินชางหัวเราะออกมาทันที “อาจารย์กวน…สุดยอดเลยครับ? ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าสำนักงานบัณฑิตวิทยาลัยแล้ว?”
กวนเหว่ยพยักหน้า เรียกให้เฉินชางนั่งลง “นั่งตามสบาย ฮ่าๆ ตอนนั้นที่ผู้อำนวยการฉินเอาข้อมูลของคุณให้ผมดู ผมถึงกับตกตะลึง คิดว่าชื่อซ้ำกันซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคุณจริงๆ!”
ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินชางกับกวนเหว่ยเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลย กวนเหว่ยเป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งที่ปรึกษาพิเศษของกรมการแพทย์ ส่วนเฉินชางสมัยเรียนปริญญาตรี เขาทั้งเป็นหัวหน้าห้องและหัวหน้ากลุ่ม
ทั้งสองไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อย เวลาที่เฉินชางไปดื่มเหล้า คนที่ชวนเขาก็ไม่พ้นกวนเหว่ย
กวนเหว่ยเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไม่วางมาด มักจะคลุกคลีอยู่กับนักศึกษา และมักจะร่วมกินดื่มพูดคุยกับนักศึกษาเสมอ
เฉินชางคิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันสามปี กวนเหว่ยจะกลายเป็นหัวหน้าสำนักงานบัณฑิตวิทยาลัยไปแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เฉินชางก็หัวเราะพร้อมกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์กวนครับ ยินดีด้วยนะครับที่ได้เลื่อนตำแหน่ง อนาคตผมต้องขอคุกเข่าคารวะอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์อีกครั้ง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
กวนเหว่ยหัวเราะออกมา เขาชี้นิ้วไปที่เฉินชาง หัวเราะและบ่นว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ ตอนนั้นผมจะยื่นเรื่องให้คุณได้เรียนต่อปริญญาโทโดยที่คุณไม่ต้องสอบในฐานะนักศึกษาดีเด่น แต่คุณดันไม่เอา มาตอนนี้เปลี่ยนใจอยากจะเรียนต่อละ”
เฉินชางก็หัวเราะเช่นกัน “สถานการณ์พิเศษช่วงเวลาพิเศษน่ะครับ! ตอนนั้นเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย คุณเองก็รู้สถานการณ์ของครอบครัวผม”
กวนเหว่ยพยักหน้า “เอาละ เรามาจัดการเรื่องสำคัญกันก่อน แล้วเย็นนี้เราค่อยนัดสังสรรค์กันที่เก่า ครั้งนี้คุณต้องเป็นเจ้ามือนะ”
เฉินชางหัวเราะเฮฮา “ไม่มีปัญหาครับ ครั้งนี้เลี้ยงเต็มที่เลยครับ!”
เนื้อแท้แล้วเฉินชางเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ไม่มีนิสัยเย่อหยิ่งอวดดี จัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยความสุขุมรอบคอบเสมอ ทำงานด้วยความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง จึงทำให้ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานมากแล้ว แต่ก็ยังค่อนข้างทำให้อีกฝ่ายรู้สึกชื่นชอบในตัวเขาอยู่
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง กวนเหว่ยก็บันทึกข้อมูลของเฉินชางเข้าระบบเรียบร้อย
“ผมบอกแล้วไงเสี่ยวเฉิน คุณต้องตั้งใจทำงาน ไม่คุณอยู่ที่ไหน คุณก็จะส่องแสงเปล่งประกายโดดเด่นเป็นที่จับตา ตอนนี้ดีแค่ไหนที่ผู้อำนวยการฉินเป็นฝ่ายติดต่อหาคนที่จะช่วยคุณเรื่องนี้ได้ แถมยังเป็นคนฝากฝังคุณด้วยตัวเอง เรื่องนี้คนทั่วไปทำไม่ได้นะ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน เรียนต่อปริญญาโทด้วยวิธีแบบคุณเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เดาว่าผู้อำนวยการฉินคงจะออกแรงในการวิ่งเต้นไปไม่น้อย”
เฉินชางพยักหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นฉินเสี้ยวยวนถึงได้เป็นฝ่ายรับปากเขาว่าจะช่วยให้เขาได้เรียนต่อปริญญาโท แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร บุญคุณในครั้งนี้ เฉินชางย่อมจำใส่ใจ
ไม่มีความดีความเลวที่ไร้เหตุผลไร้ที่มา ปฏิสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อกันล้วนเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย
จู่ๆ กวนเหว่ยก็หัวเราะขึ้นมา “คุณกับเกิ่งเหยียน ใกล้จะแต่งงานกันแล้วหรือยัง”
เฉิงชางชะงักงัน เขาหัวเราะแล้วตอบว่า “พอเรียนจบก็เลิกกันแล้วครับ”
กวนเหว่ยถึงกับตกตะลึง “เลิกกัน?…อ๋อ…เลิกกันแล้ว?”
“ก็จริงอยู่ ฤดูกาลเรียนจบคือฤดูกาลเลิกรา เลิกแล้วก็แล้วไป งานของคุณในตอนนี้กำลังไปได้สวย เป็นบุคลากรภายในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับสองอย่างเป็นทางการ ให้ผมหาแฟนให้คุณสักคนมั้ย ปีที่แล้วมหาวิทยาลัยของเรารับนักศึกษาวัยหนุ่มสาวเข้ามาล็อตใหญ่ มีนักศึกษาสาวอยู่สองสามคนที่ดูเข้าตาใช้ได้เลย แถมยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้วยนะ คบหาอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เบาใจได้บ้าง ไม่งั้นถ้าเป็นแพทย์ที่ต้องรักษาผู้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งคู่ ในครอบครัวจะไม่มีใครทำหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว”
ทันทีที่เฉินชางได้ฟังดังนี้ กล่าวตามความจริงว่าเขาค่อนข้างหวั่นไหว
ตามที่กวนเหว่ยบอกก็สมเหตุสมผล ถ้าทั้งคู่เป็นหมอประจำโรงพยาบาล ถ้าอนาคตมีลูกใครจะดูแลลูกล่ะ
สำหรับเด็กๆ แล้วยังค่อนข้างขาดความรับผิดชอบ การที่มีคู่ชีวิตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ในด้านของหน้าที่การงาน มีช่วงปิดเทอมสองช่วง งานไม่เหนื่อย แล้วอีกอย่าง คนที่จะมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ก็ต้องระดับการศึกษาก็ปริญญาเอก? การเรียนของลูกจะต้องไม่มีปัญหาแน่
เมื่อเฉินชางพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ผมแค่วุฒิปริญญาตรี ผู้หญิงเขาจะมองผมเหรอครับ!”
กวยเหว่ย “ผมก็วุฒิปริญญาตรี ภรรยาผมยังวุฒิปริญญาเอกเลยไม่ใช่หรือไง ผู้ชายไม่เรียนปริญญาเอกไม่เรื่องสำคัญ มีความสามารถก็พอ…”
“…หรือว่าลองมองๆ เพื่อนร่วมคลาสที่เคยเรียนด้วยกัน ตอนนั้นเพื่อนร่วมคลาสของคุณก็มีคนที่เรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยของเราตั้งหลายคน ตอนนี่เรียนจบกันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ทำงานเป็นไงกันบ้าง…”
“…ช่วงนี้งานหายาก คนจบปริญญาโทมีเยอะแยะถมไป เรียนจบแล้วมีแต่ความรู้ แต่ความสามารถไม่ถึงก็เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลดังไม่ได้ แต่ให้ไปทำงานในโรงพยาบาลธรรมดาทั่วไปก็ไม่อยากทำอีก แต่คุณยังดี ช่วงระยะเวลาสามปีถึงจะไม่ได้เรียนปริญญาโท แต่คุณก็ได้เป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ ดูแล้วคุณกลับเป็นบุคคลที่ดูประสบความสำเร็จที่สุดในบรรดาคนพวกนั้น”
เฉินชางทอดถอนหายใจออกมา เรื่องพวกนี้…ก็แค่ความบังเอิญล้วนๆ ที่ทำให้โอกาสดีๆ
ตกเย็นเฉินชางไปดื่มเบียร์กับกวนเหว่ยนิดหน่อย เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว เขาอาบน้ำเสร็จก็ไปนอนบนเตียงแล้วผล็อยหลับไป
เขาฝันถึงอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
ฝันเห็นราจุดเล็กๆ ไร้ค่าที่ฝังตัวอยู่ในหมอนมานานกำลังค่อยๆ ลุกลาม
ฝันถึงใครคนนั้นที่ตอนนั้นตนปรารถนาจะครอบครองแต่กลับไม่สมหวัง
ใครคนนั้นที่ทอดทิ้งตนไปโดยที่ตนไม่อาจรั้งไว้ได้!
ใครคนนั้นที่ทำให้หัวใจของตนว้าวุ่นจนทุกข์ใจมาจนถึงทุกในวันนี้!
แม้ว่าระหว่างทางที่คุณพยายามทำเรื่องเรื่องหนึ่งที่ถึงแม้จะมีความยากลำบากมากมาย แต่วันหนึ่งคุณก็ประสบความสำเร็จได้!
–
[1] วัวสาว คำว่า วัว (牛) ในภาษาจีนกลางนอกจากจะหมายถึงวัวแล้วยังใช้เป็นคำชมด้วย หมายถึง เก่ง เจ๋ง ยอดเยี่ยม ดังนั้นคำว่าแม่วัวสาวในที่นี้จึงมีความหมายว่าหญิงสาวที่เก่ง มีความสามารถ
[2] ฉินโซว่ (禽兽) แปลว่าคนเลวทรามต่ำช้า
[3] Doran’s Blade เป็นไอเท็มเริ่มต้นมาตรฐานสำหรับ ADC ใน Bot Lane ใช้ไอเท็มนี้เพื่อฆ่าแรงกดดันในเลนการรักษาระดับเล็กน้อยและการปรับสเกลสถิติในช่วงกลางเกม
[4] B.F. Sword ดาบที่จะเพิ่มพลังโจมตีให้กับแชมเปี้ยนของคุณ พลังโจมตี เพิ่ม +20 หน่วย