เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการนำฟางจุ่นกับเสื้อคลุมนภาไป สีหน้าของพวกจางคุนและเหอหนิงต่างเกิดการเปลี่ยนแปลง
ต่อให้ไม่นิยมความรุนแรงและมีหัวอนุรักษ์นิยมขนาดไหน ก็ไม่อาจทำตามคำขอนี้ได้ เพราะนี่เท่ากับการวางอาวุธยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
จางคุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่านบังคับกันเกินไปแล้ว…”
บุรุษอาภรณ์ขาวพูดตัดบท “ข้าไม่ได้ปรึกษากับพวกท่าน พวกท่านเพียงยอมก็พอ”
จุดลมปราณทั่วร่างของเขามีเส้นแสงหลายสายสาดออกมา ปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า สั่นสะเทือนให้ค่ายกลนภาสั่นไหวเบาๆ
ผู่เจี๋ยซึ่งเป็นผู้ใช้กระบี่อาภรณ์เขียวไม่ได้ชักกระบี่ เขาเพียงพูดเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น “ก่อนหน้านี้บอกแล้วว่าพวกข้าไม่คิดสอดมือในเรื่องบนโลกของพวกท่าน และไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสำนักของพวกท่านด้วย”
“แต่กลับกัน การทำลายการสืบทอดสำนักของพวกท่านเป็นเรื่องง่ายเหมือนยกมือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกท่าน หรือขึ้นอยู่กับว่าพวกเราคิดทำหรือไม่”
ถึงแม้ว่ายอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองที่เป็นศัตรูผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนจะยืนอยู่เฉยๆ แต่กลับทำให้ค่ายกลนภาสั่นสะเทือน เหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเวลา
ทว่ายามนี้ทุกคนในเขากว่างเฉิงไม่มีแววยอมแพ้ เผชิญหน้ากับคนสองคนที่อยู่ด้านบนอย่างสงบนิ่ง
จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แค่นเสียงกล่าว “พวกเจ้ายังฝากความหวังไว้บนตัวเยี่ยนตี๋ที่ยังอยู่ที่ทะเลตะวันออกอีกหรือ? พวกเจ้าตัดใจเสียเถอะ”
“สถานที่สุดท้ายที่เยี่ยนจ้าวเกอหายไป ก็คือในผนึก ณ ทะเลตะวันออก ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะตายมีมากที่สุด แต่พลังของผนึกนั่นไม่อาจทำลายของวิเศษที่เขาเอาไปได้”
“ยอดฝีมือจากโลกเบื้องบนลงมาที่นี่โดยเฉพาะ จะปล่อยปละละเลยทางด้านทะเลตะวันออกได้อย่างไร?”
“ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ท่านหนึ่ง และจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามสองท่านลงมายังแปดพิภพด้วยกัน หากเยี่ยนตี๋ยังกล้าโอหัง ก็มีเพียงทางตายสถานเดียวเท่านั้น”
พวกจางคุนได้ยินดังนั้น สีหน้าพลันซีดขาว
นี่ได้ยืนยันการคาดการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในใจของพวกเขาแล้ว ความจริงทำให้คนสิ้นหวังอย่างแท้จริง
อีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องโกหก เมื่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อธิบายสถานการณ์ของแปดพิภพอย่างละเอียด คนจากสำนักแสงสว่างลงมาจากโลกซ้อนโลกย่อมมีการเตรียมตัวไว้เสร็จสรรพ
ถึงแม้ว่าพลังของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่จะถูกกดให้อยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม แต่นั่นก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดฝีมือที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามทั่วไปอยู่ดี
ยอดฝีมือเช่นนี้ลงมายังแปดพิภพพร้อมกันสามคน ย่อมสยบใต้หล้าได้อย่างไร้ข้อกังขา
หวงซวี่กวาดสายตามองจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งพูดเมื่อครู่แวบหนึ่ง
อีกฝ่ายเข้าใจว่าไม่ควรบอกรายละเอียดของสถานการณ์ให้เขากว่างเฉิงทราบ
เขากว่างเฉิงไม่รู้ความจริง ในใจยังมีความหวังที่จะขัดขืน ต่อต้านพวกผู่เจี๋ยสองคนที่นี่ หากเป็นเช่นนี้ ก็มีโอกาสบดขยี้เขากว่างเฉิงได้อย่างราบรื่น
ตอนนี้ความหวังสุดท้ายของพวกจางคุนถูกทำลาย อาจจะยอมแพ้เพียงเท่านี้ พวกผู่เจี๋ยจึงไม่จำเป็นต้องลงมือ
“ในโลกทางด้านนี้มีคนที่เพิ่งเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต่อสู้กับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามได้หรือ? ข้ากลับไม่เชื่อ” บุรุษในอาภรณ์สีขาวพูดเรียบๆ “น่าเสียดายอาจารย์อาส่งข้ามาทางนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคิดจะไปที่ทะเลตะวันออก”
ผู่เจี๋ยเอ่ย “ได้ยินมาว่าคนที่พวกเราต้องการตามหา ชายหนุ่มที่ชื่อเยี่ยนจ้าวเกอเป็นบุตรชายของเขา พลังเหนือกว่าจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นความจริงก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความพิเศษด้านคุณสมบัติร่างกายของพ่อลูกคู่นี้ เป็นเพราะมีโชควาสนาอย่างเต็มเปี่ยม หรือว่าการถ่ายทอดของเขากว่างเฉิงนี้มีความน่าอัศจรรย์?”
บุรุษอาภรณ์ขาวนามหยางจ่านหัวกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เอาคัมภีร์ในห้องเก็บหนังสือของสำนักนี้ไปด้วย ข้าอยากเห็นว่ามีความพิเศษอะไรกันแน่”
พวกจางคุนและเหอหนิงได้ยินดังนั้นต่างสูดลมหายใจลึก ถลึงตามองคนทั้งสอง
หยางจ่านหัวกวาดสายตามองคนในเขากว่างเฉิงอย่างไม่สะทกสะท้าน “ดูเหมือนไม่คิดจะฟังกันดีๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำลายเลยแล้วกัน ไม่ต้องมาเสียเวลาเจรจากันอีก”
ขณะพูด เขายกฝ่ามือขึ้น แสงสว่างเจิดจ้ารวมตัวกันที่ใจกลางฝ่ามือ จากนั้นก็พุ่งลงไปที่บนเขากว่างเฉิง
จางคุนมีสีหน้าขื่นขม “หรือว่ารากฐานของบรรพบุรุษจะต้องขาดลงเพราะพวกเราในวันนี้?”
เหอหนิงถอนใจ “เรื่องมาถึงตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว”
พูดจบ ทั้งสองมือก็ใช้กระบวนท่า เสื้อคลุมนภาที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขากว่างเฉิงคลุมลงบนร่างของชายชราผมขาว
ครั้งนี้ไม่อาจนึกถึงการคุ้มครองฟางจุ่นอีกแล้ว
มอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มอบผู้อาวุโสในสำนัก มอบคัมภีร์ในสำนัก ปล่อยให้อีกฝ่ายค้นสำนัก…
หากตอบรับเรื่องเช่นนี้ สำนักหนึ่งก็ไม่มีทางแยกออกจากความพินาศได้
เมื่อมีเสื้อคลุมนภา ร่างเล็กของเหอหนิงก็พลันขยายใหญ่ขึ้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์หยางจ่านหัวที่มาจากสำนักแสงสว่าง กลับยังคงดูอ่อนแอเช่นเดิม
ดีที่แสงสว่างหลายสายของค่ายกลนภาพุ่งลงมา ทำให้นางตัวสูงขึ้นอีก
หยางจ่านหัวไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงผลักฝ่ามือลงอย่างเรียบง่าย ฟ้าดินพลันกลายเป็นมืดมิด ประกายแสงถูกรวมไว้กลางฝ่ามือของเขา
ลวดลายค่ายกลของค่ายกลนภาพังทลายอย่างต่อเนื่อง แทบจะเป็นในชั่วพริบตา เหอหนิงก็กระอักเลือดออกมา กระดูกทั่วร่างดังกรอบแกรบ
คนในเขากว่างเฉิงตื่นตระหนก อีกฝ่ายใช้แค่ฝ่ามือเท่านั้น พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานแล้ว
เมื่อมองดูหยางจ่านหัวที่ลงมือ และมองผู่เจี๋ยที่ไม่คิดจะลงมือโดยสิ้นเชิง สีหน้าของคนในเขากว่างเฉิงก็ซีดขาวราวกระดาษ ไม่เห็นสีเลือดแม้แต่น้อย
คนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เห็นยอดฝีมือสำนักแสงสว่างที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จิตใจซับซ้อนเช่นกัน
ทว่าเมื่อเห็นศัตรูคู่อาฆาตที่อยู่ตรงหน้ากำลังเดินสู่ความตาย จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างรู้สึกลิงโลด
ความคับข้องที่ได้มาจากเขากว่างเฉิงในหลายปีมานี้ถูกระบายทิ้งในคราวเดียว
มุมปากของหวงซวี่ปรากฏรอยยิ้มเรียบเฉย ‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โลกใบนี้จะไม่มีเขากว่างเฉิงอีกแล้ว’
ผู่เจี๋ยมองคนในเขากว่างเฉินที่ใกล้จะพังทลายลง พลางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “สุราคาระวะไม่ชอบ ชอบสุราจับกรอก จะโทษใครได้?”
หยางจ่านหัวไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก “ท่าฝ่ามือไม่เลว วรยุทธ์เองก็ไม่เลว รากฐานค่อนข้างดี แต่ไม่ควรค่าให้ท่านกับข้ามาที่นี่ด้วยกัน รู้เช่นนี้ข้าไปหาเยี่ยนตี๋ที่ทะเละตะวันออกดีกว่า”
ขณะที่พูดอยู่ สีหน้าของหยางจ่านหัวพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
รอยยิ้มของผู่เจี๋ยที่อยู่ด้านข้างสลายไป
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ขอบฟ้าไกลอย่างฉับพลัน “จะสู้กับบิดาข้า ท่านยังไม่มีคุณสมบัติพอ”
ค่ายกลนภาที่สั่นไหวในตอนนี้เหมือนมีแกนหลักคอยค้ำยัน ลวดลายแสงหลายสายรวมตัวกันกลายเป็นเส้นทางแสงสว่างสายหนึ่ง ยืดเหยียดออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่ปลายเส้นทางแสงสว่างปรากฏเงาร่างคนสามคน คนที่อยู่ด้านหน้าก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกับฟู่เอินซูอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบนิ่ง
“ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามถึงสามคน คิดจะเปิดผนึกทะเลตะวันออก จำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อย ข้าจัดการพวกท่านก่อนยังได้”
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังหยางจ่านหัวกับผู่เจี๋ย แต่จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รวมถึงหวงซวี่ต่างรู้สึกเย็นเยียบในจิตใจ
ชายหนุ่มมองผ่านพวกเขาไป สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดลงบนร่างของผู่เจี๋ยและหยางจ่านหัว
“เด็กน้อยไม่รู้จักที่ตาย” ผู่เจี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย แค่นเสียงกล่าว “เจ้าคือเยี่ยนจ้าวเกอหรือ?”
หยางจ่านหัวเอ่ยเรียบๆ “เจ้าว่าใครไม่มีคุณสมบัติ?”
เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาเขาขึ้นลง แบมือยิ้ม “ขออภัย ข้าพูดผิดไปจริงๆ ข้าขอพูดแก้….”
ไม่รอให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลง รอยยิ้มของเยี่ยนจ้าวเกอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “น่าจะเป็นจะสู้กับข้า ท่านยังไม่มีคุณสมบัติพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบิดาข้าเลย”