เยี่ยนจ้าวเกอมองฉางเจิ้น สายตาที่ทั้งสงบนิ่งทั้งเย็นยะเยือกทำให้ฉางเจิ้นอดใจเต้นระส่ำไม่ได้
“ท่านต้องการตามหาบางสิ่งบางอย่างใช่หรือไม่? และท่านคิดว่าอยู่ที่อวิ๋นเซิง” เยี่ยนจ้าวเกอถามเฟิงอวิ๋นเซิงว่า “เจ้าได้รับอะไรมาจากทะเลตะวันออกหรือไม่ อืม ต่อมาน่าจะถูกทำลายทิ้งแล้ว”
เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยิน ดวงตาพลันเป็นประกาย “ไข่มุกเม็ดหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร จึงเอากลับสำนัก”
“หลังจากกลับมาสำนักก็ไม่ได้สนใจมันอีก ในคืนก่อนที่หงฉีเจียจะมา ไข่มุกเม็ดนั้นพลันแตกสลายเอง”
ฉางเจิ้นได้ยินคำกล่าวของเฟิงอวิ๋นเซิง ม่านตาพลันหดตัวลง ร่ายกายเหมือนกับสั่นไหว แต่ฝืนสะกดไว้
“นั่นคือไข่มุกมองฟ้า เป็นของวิเศษชนิดหนึ่ง สามารถใช้จับตาดูจากระยะไกล และบันทึกภาพในตอนนั้นได้” เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างเชื่องช้า
“ไข่มุกแบ่งเป็นแม่ลูก ไข่มุกลูกได้แต่ใช้จับตาดู แต่ทุกสิ่งที่ไข่มุกลูกเห็น เจ้าของจะสามารถมองเห็นผ่านไข่มุกมองฟ้าในสถานที่อื่นได้ อีกทั้งไข่มุกมองฟ้ายังทำการบันทึกได้”
ชายหนุ่มมองฉางเจิ้นอย่างล้ำลึก “ภาพที่ไข่มุกมองฟ้าบันทึกไว้สามารถถูกทำลายได้ แต่ว่ายากจะปรับเปลี่ยน เป็นหลักฐานที่หนักแน่นดั่งขุนเขาจริงๆ”
ขณะที่พูด กลางฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎไข่มุกเม็ดหนึ่ง
ครั้นฉางเจิ้นเห็นไข่มุกเม็ดนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง
เฟิงอวิ๋นเซิงมองไข่มุกเม็ดนั้น “เหมือนกับของข้า แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย”
เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วเคาะไข่มุกมองฟ้าเบาๆ ตัวไข่มุกพลันยิงภาพหนึ่งออกมา เป็นภาพที่ฉางเจิ้นแอบฆ่าหลี่จิ่ง ผู้อาวุโสเขาไร้พรมแดนหลี่จิ่งถูทิ้งที่ทะเลตะวันออก เพราะคิดแย่งชิงขวานจามสวรรค์
เฟิงอวิ๋นเซิง ฟู่เอินซู และผู้อาวุโสฉินต่างตื่นตระหนก
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่เป็นของที่ฉางเจิ้นคิดซ่อน”
“ข้าสังหารหวงเจี๋ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ได้ของวิเศษชิ้นนี้มา เพราะได้เห็นภาพนี้ จึงรีบกลับสำนักทันที”
“ตอนนั้นข้ายังไม่ทราบถึงสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมของทางอวิ๋นเซิง ดังนั้นจึงเป็นห่วงว่าฉางเจิ้นก่อนหน้านี้ได้รับการกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อาจจะวางแผนร้ายต่อสำนัก”
“หลังจากกลับสำนัก ทำความเข้าใจเรื่องราว ข้าถึงได้รู้ว่าฉางเจิ้นไม่รู้ว่าไข่มุกมองฟ้าเม็ดนี้อยู่ในมือใคร”
ภายใต้การกระตุ้นของเขา ผิวของไข่มุกมองฟ้าปรากฏรอยบุ๋มสามรอย หนึ่งในนั้นเปล่งประกายแสง อีกสองมืดสนิท
“พูดตามเหตุผล ไข่มุกมองฟ้าแบ่งเป็นหนึ่งลูกหนึ่งแม่ ของหวงเจี๋ยมีความพิเศษ เป็นไข่มุกสามลูกหนึ่งแม่ที่ไม่อาจหามาครอบครองได้ ไข่มุกลูกเม็ดหนึ่งในจำนวนนี้บันทึกเหตุการณ์ในตอนนั้นไว้ ถูกฉางเจิ้นพบและทำลายทิ้ง ไข่มุกเม็ดที่สองยังอยู่ในมือหวงเจี๋ย”
ในเมือของเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎไข่มุกที่ค่อนข้างเล็กอีกเม็ดหนึ่ง
ฉางเจิ้นเงยหน้าขึ้น เขาไม่ได้โง่งม หลังจากเห็นไข่มุกสองเม็ดหนึ่งแม่หนึ่งลูกบนมือของเยี่ยนจ้าวเกอ และได้ฟังชายหนุ่มพูดถึงไข่มุกมองฟ้ามีสามลูกหนึ่งแม่เสร็จ ก็ค่อยๆ เข้าใจ
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวต่อ “ไข่มุกเม็ดที่สามตกมาอยู่ในมือของอวิ๋นเซิง ฉางเจิ้นถูกหวงเจี๋ยชี้นำ คิดว่าไข่มุกลูกบนมืออวิ๋นเซิงเป็นตัวไข่มุกมองฟ้า”
“ที่เขาร่วมมือกับอิ่นหลิวหัวและหงเจียฉีเพื่อปรักปรำอวิ๋นเซิง ก็เพื่อหาไข่มุกมองฟ้าจากตัวอวิ๋นเซิง ไม่ให้ความลับของเขาถูกเปิดเผย
“น่าเสียดายที่ตั้งแต่เริ่มแรก หวงเจี๋ยได้ทำลายไข่มุกเม็ดนั้นผ่านการควบคุมไข่มุกมองฟ้า ฉางเจิ้นจึงไม่มีวันหาเจอตลอดกาล”
ชายหนุ่มมองฉางเจิ้นอย่างสงบนิ่ง “ฉางเจิ้น เจ้าไม่จำเป็นต้องสบถสาบานว่าไม่ได้สมคบกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเป็นแค่ตุ๊กตาชักใย เป็นแค่หุ่นเชิดของหวงเจี๋ย ให้เจ้าเต้น เจ้าก็เต้น ให้เจ้าร้องเพลง เจ้าก็ร้องเพลง”
ในชั่วพริบ ฉางเจิ้นรู้สึกว่าฟ้าดินกลับตาลปัตร หนาวเหน็บไปทั่วร่าง
เขาเป็นคนทะนงตนคนหนึ่งจริงๆ ความจริงของเรื่องราวส่งผลกระทบต่อเขามหาศาล
เบื้องหน้าของฉางเจิ้นคล้ายกับเกิดภาพนับไม่ถ้วน สิ่งที่รอเขาอยู่ไม่เพียงมีแต่ชื่อเสียงย่อยยับเท่านั้น ยังต้องถูกคนจับนวนนับไม่ถ้วนรุมประนามและเยาะเย้ย
เขาหัวหมุน ร่างกายสั่นเทิ้ม
ฉางเจิ้นได้สติ สูดหายใจลึก เงยหน้ากล่าวว่า “ถูกต้อง หลี่จิ่งถูแห่งเขาไร้พรมแดนถูกข้าสังหาร แต่เรื่องไข่มุกมองฟ้าที่เจ้าพูด ข้าไม่รู้เรื่อง”
“ข้าสังหารหลี่จิ่งถู ทำร้ายพันธมิตร ช่วงชิงขวานจามสวรรค์ เป็นเพราะข้าหน้ามืด แต่ข้าก็ทำเพื่อเพิ่มพลังให้กับสำนัก”
“เรื่องของเฟิงอวิ๋นเซิงกับอิ่นหลิวหัว ข้าจัดการไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าไม่รู้ถึงการมีอยู่ของไข่มุกมองฟ้ามาตั้งแต่แรก ยิ่งไม่ได้ตามหาไข่มุกมองฟ้าเพื่อใส่ความเฟิงอวิ๋นเซิง!”
ฉางเจิ้นยื่นมืออกมาชี้เยี่ยนจ้าวเกอ “ทุกสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า เจ้าไม่มีหลักฐานของจริง!”
“ตอนนี้เจ้าแตกต่างกับในอดีตจริงๆ แต่ตอนนี้เจ้าแค่ระบายความแค้นให้กับเฟิงอวิ๋นเซิงเท่านั้น ข้าไม่ยอมรับ…”
พูดยังไม่ทันจับ ด้านหน้าพลันพร่าเลือน
เยี่ยนจ้าวเกอมองฉางเจิ้นที่สูญเสียการควบคุมอารมณ์ และกำลังยื่นมืออกมาชี้ตนอย่างเย็นชา
เขาจับมือของฉางเจิ้งไว้ จากนั้นก็บีบนิ้วมือ กระดูกมือ และข้อมือของเขาพร้อมกัน!
ฉางเจิ้นได้สติเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส รอจะพูดอะไรบางอย่าง ทง่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับหัวเราะเหอะๆ “ข้าทำความเข้าใจกับต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ายอมรับ”
เขาอกแรงที่ฝ่ามือ ร่างกายและนิ้วมือของฉางเจิ้นเริ่มแหลกเหลว แล้วขยายผ่านแขนไปยังไหล่
ผิวบนแขนของเขาเปิดออก เลือดไหลริน กระดูกสีขาวแตกร้าว บิดเบี้ยวและแทงออกมาด้านนอกเลือดเนื้อ
ฉางเจิ้นรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานกำลังบดขยี้ร่างกายของตัวเขาโดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่นิ้วมือ
ทุกอย่างแหลกสลาย เหมือนกับกำลังถูกจานบดบีบขยี้!
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าไม่ยอมแล้วจะทำอย่าง?”
การแตกสลายของเลือดเนื้อหยุดลงที่บริเวณหัวไหล่ของฉางเจิ้น ก่อนที่เยี่ยนจ้าวเกอคลายมือออก
ทว่าไม่รอให้ฉางเจิ้นได้ถอนใจ สองขาและมืออีกข้างที่ไม่ถูกเยี่ยนจ้าวเกอจับก็เริ่มแตกร้าวออกโดยไร้จุดเริ่ม เลือดเนื้อกลายเป็นเลอะเลือน แผ่ขยายขึ้นด้านบน
ฉางเจิ้นดิ้นรนพร้อมกับคำราม “เจ้าไม่มีสิทธิ์ฆ่าข้า! ต่อให้ข้าถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารอาญา ก็มีแต่เจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารอาญาที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ที่สามารถกำหนดโทษและลงโทษข้าได้!”
“ในเมื่อเจ้าสำนักไม่อยู่ จึงต้องได้รับความยินยอมร่วมกันจากผู้อาวุโสระดับสูงทุกคนในสำนัก ถึงจะตัดสินได้ว่าจะจัดการข้าอย่างไร ก่อนหน้านั้นเจ้าได้แต่คุมขังข้า แต่ไม่อาจฆ่าข้า!”
“เจ้าทำไม่ได้!”
เขาคิดดิ้นรน แต่กลับพบว่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยืนอยู่ด้านหลัง ใช้ฝ่ามือทาบติดหลังเขา ทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอมองฉางเจิ้นอย่างเรียบเฉย “คำพูดของเจ้านับว่าไม่ผิด ตอนนี้ข้าโมโหมากจริงๆ โมโหยิ่งกว่าตอนที่ฆ่าคนของสำนักแสงว่างและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
“ในตอนที่ข้าพยายามจัดการศัตรูภายนอกคนแล้วคนเล่าอย่างยากลำบากอยู่ด้านนอก กลับมีคนแทงข้างหลังข้า ข้าไม่ฆ่าเจ้าแล้วจะให้ฆ่าใคร?”
ชายหนุ่มก้มหน้ามองฉางเจิ้น ค่อยๆ กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องพูดดังนักหรอก ต่อให้วันนี้เจ้าตะโกนจนโลกปีศาจอัคคีได้ยิน ก็ไม่มีใครคุ้มครองเจ้าได้”
ฉางเจิ้นตะเบ็งเสียง พูดไม่เป็นภาษา
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกใช้พลังอย่างต่อเนื่อง แขนขาของฉางเจิ้นแตกสลาย จากนั้นก็หดเข้าไปกลางร่าง สุดท้ายคนถูกบดขยี้เป็นก้อนเลือดเนื้อ!”