เยี่ยนจ้าวเกอมองอิ่นหลิวหัว เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
เสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงดังทะลุเสียงน้ำตกออกมา
“ศิษย์น้องอิ่น ถ้าหากทนได้อีกสักครู่หนึ่ง จะได้ผลดียิ่งกว่านี้”
อิ่นหลิวหัวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกคับข้องใจเล็กน้อย “แต่ข้าทนไม่ไหวจริงๆ ศิษย์พี่เฟิงเคยเรื่องเช่นนี้มาในอดีตจริงๆ หรือ”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวเสียงเรียบ “ตอนที่ข้าเข้าสำนักในตอนนั้น ได้หลอมปราณให้กลายเป็นจิตรรา อยู่ในระดับปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว”
“แต่น้ำหนักและระดับฝึกปรือที่ปรับให้เจ้า เมื่อเทียบกับความแรงของข้า อยู่ในระดับที่จอมยุทธ์ระดับหลอมกายสมควรทนได้”
อิ่นหลิวหัวเบะปากเล็กน้อย “ท่านดูสิ ท่านไม่เคยฝึกสิ่งเหล่านี้ในตอนที่ท่านอยู่ในระดับหลอมกาย ศิษย์พี่เฟิง ไม่มีจอมยุทธ์ระดับหลอมกายคนไหนรับได้หรอก”
เฟิงอวิ๋นเซิงถอนหายใจเสียงหนึ่ง “หากเจ้าทนไม่ได้จริงๆ ข้าก็ไม่บังคับเจ้า”
“แต่เดิมทีเจ้าก็เริ่มต้นค่อนข้างช้าอยู่แล้ว คิดจะไล่ตามให้ทันผู้อื่น จำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามมากว่านี้ แต่ตอนนี้เจ้าชอบพูดว่าตัวเองไม่มีทางทำได้ หากลดระดับความแรงให้เจ้าอีก เมื่อเทียบกับข้าแล้วยังไม่ถึงแม้แต่แปดส่วนด้วยซ้ำ”
ดวงตาของอิ่นหลิวหัวปรากฏความไม่เชื่อ แต่ก็มิได้โต้แย้ง นางเพียงแต่ก้มหน้าลง
“ข้าไม่บังคับเจ้า จะลดระดับมาตรฐานให้ แต่ครั้งนี้อาจารย์กลับสำนักแล้ว นางไม่ใจดีเช่นนี้แน่ ระดับการฝึกปรือของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีก ตัวเจ้าคิดหาวิธีเตรียมตัวเถอะ” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอีก
อิ่นหลิวหัวได้ยินดังนั้น ใบหน้าพลันปรากฏความขื่นขม
นางกอดเข่านั่งริมบึง กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าลำบากกว่าลูกศิษย์คนอื่นมากแล้ว ในหมู่ลูกศิษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ข้าฝึกลมปราณนานที่สุดในทุกวัน เรียนมากกว่าใครเพื่อน มากกว่าคนส่วนใหญ่ตั้งหนึ่งเท่า!”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างเฉยชา “ทรัพยกรของสำนักและอภิสิทธิ์มากมายที่พวกเราได้ก็มีมากกว่าลูกศิษย์คนอื่นเช่นกัน ในพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ พวกเราแกร่งกว่าศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นมากกว่าหนึ่งเท่าใช่หรือไม่ เจ้ากับข้ามิใช่ศิษย์น้องอิงนะ”
อิ่นหลิวหัวชะงักไปเล็กน้อย อ้าปากคิดส่งเสียง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ใต้น้ำตกยืดกายขึ้น “ตอนเพิ่งเข้าสำนักได้สวมชุดขาว เสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบดำก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าอีกไม่นานได้ใส่ อภิสิทธิ์เช่นนี้ ทั่วทั้งสำนักมีกี่คนกัน”
นางพูดพลาง เดินออกมาจากใต้น้ำตกไปพลาง มาถึงข้างกายอิ่นหลิวหัว “สิ่งที่เราได้รับมีมากกว่าคนทั่วไป ย่อมต้องทุ่มเทมากกว่าในด้านใดด้านหนึ่ง พวกเราเป็นสตรีแห่งหยิน สำนักฝากฝังความหวังไว้กับเรามากมายนัก”
อิ่นหลิวหัวก้มศีรษะ ตอบ “อืม” เบาๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก
เฟิงอวิ๋นเซิงมองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่านางเข้าใจจริงๆ หรือไม่ แต่เห็นดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไรอีกเช่นกัน
ดาบยาวสีดำเล่มออกจากฝัก วาดเป็นวงโค้งกลางอากาศอย่างงดงามงาม จากนั้นก็ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าเฟิงอวิ๋นเซิง
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่เคลื่อนไหวอันใด เพียงยกดาบให้ขนานแขน รักษาท่วงท่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง นิ่งสงบราวกับรูปสลักก็ไม่ปาน
เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นแต่ไกล การเคลื่อนไหวของเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ในสายตาของเขา ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เจตจำนงดาบอันสั่นสะท้านแฝงอยู่ด้านใน คล้ายซ่อนอยู่ในฝัก แต่ล้ำเลิศยิ่ง
ในตัวดาบเหมือนกับมีความรุนแรงจากดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม มหาสุริยันคล้อยต่ำทางประจิม และตะวันเผาทุ่งของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานจากดาบเทพปราณผสาน และความดุดันจากท่าบดขยี้ความว่างเปล่าของเขากว่างเฉิง
สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ ดาบของเฟิงอวิ๋นเซิง ขณะที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ก็มีรูปแบบที่เป็นของตัวเองด้วย
เจตจำนงดาบของนางคล้ายกับมังกรทะยานสวรรค์ กลืนฟ้ากลืนอาทิตย์ และยังมีความเป็นอิสระอยู่ด้วย
สำหรับจอมยุทธ์ผู้หนึ่งแล้ว นี่เป็นส่วนที่ทำให้คนต้องให้ความสนใจจริงๆ
ดาบนภาไร้จำกัดเมื่ออยู่ในมือเยี่ยนตี๋ ก็ไม่เหมือนกับอยู่ในมือผู้อื่น วิชากายเพชรเมื่อสือเถี่ยใช้ ก็ไม่มีใครสู้เขาได้ หยวนเจิ้งเฟิง รวมถึงผู้อาวุโสเหอและผู้อาวุโสจางซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดสองคน ล้วนใช้ฝ่ามือนภากว่างเฉิงได้ แต่ว่าหยวนเจิ้งเฟิงสามารถใช้ฝ่ามือเดียวบดขยี้พวกเขาสองฝ่ามือได้
เมื่อจอมยุทธ์กลายเป็นมหาปรมาจารย์ ฝึกญาณวรยุทธ์เป็นของตัวเองสำเร็จ ต่อให้เป็นวรยุทธ์เดียวกัน จะมากจะน้อยก็แตกต่างกับคนอื่น เนื่องจากมีความเข้าใจต่อความรู้ในด้านวรยุทธ์เป็นของตนเอง
เฟิงอวิ๋นเซิงยังอยู่ในระดับปรมาจารย์ แต่ก็มีแนวทางเป็นของตัวเองแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอมองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ปรากฏตัวขึ้น
เฟิงอวิ๋นเซิงเห็นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้เก็บดาบ ยังคงรักษาท่วงท่าเดิมต่อไป
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้น
หลงเอ๋อร์ที่อยู่ใต้น้ำตกส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ รีบพุ่งลงมาจากในน้ำตกคล้ายกับมังกรออกจากน้ำ มาถึงด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ
“พัฒนาเร็วยิ่ง ดูท่าจะไม่ได้เสียเวลาเปล่า” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางตบไหล่อิงหลงถู
เด็กหนุ่มได้รับคำชมจากเยี่ยนจ้าวเกอ พลันดีใจจนหุบปากไม่ลง
อิ่นหลิวหัวเห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาก็รีบร้อนลุกขึ้นยืน ดวงตาอึดอัดอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่าอีกฝ่ายได้ยินคำสนทนาที่ตนพูดกับเฟิงอวิ๋นเซิงเมื่อครู่หรือไม่
เยี่ยนจ้าวเกอมองอิ่นหลิวหัว ยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์น้องอิ่น อยู่บนเขากว่างเฉิงชินแล้วหรือยัง”
นางพลันสงบจิตใจ แล้วตอบว่า “ทุกอย่างล้วนดียิ่ง พวกท่านอาวุโสกับเหล่าศิษย์ในสำนักล้วนดีกับข้ามาก”
เขาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เรื่องนี้เขาได้ยินมาแล้ว อิ่นหลิวหัวให้ความรู้สึกพึ่งพาได้ อีกทั้งยังมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
“การฝึกฝนวรยุทธ์ต้องให้ความสำคัญกับวิธีการ ไม่จำเป็นต้องรีดเค้นศักยภาพของตนเองนัก เพียงแต่ทุกครั้งที่ฝึกจะต้องถึงขีดจำกัด” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างราบเรียบ “แต่ว่าสตรีแห่งหยินอย่างพวกเจ้าฝึกฝนคัมภีร์หยิน สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษอยู่บ้าง
“การกดดันตัวเองจนถึงขีดจำกัด จะทำให้เส้นลมปราณและพลังแห่งหยินที่แห้งเหือดไปแล้วเกิดขึ้นใหม่ ทำให้พัฒนามากขึ้น”
“ถึงแม้แต่ละครั้งจะน้อยนิด แต่เมื่อวางรากฐานให้ดี ทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่อง คอยเก็บเล็กผสมน้อย ก่อทรายกลายเป็นเจดีย์ ภายใต้การสั่งสมในทุกๆ วัน ผลลัพธ์จะน่าดูชมทีเดียว”
“ตอนที่ถ่ายทอดคัมภีร์หยินให้เจ้า น่าจะมีการพูดถึงหลักการนี้มาก่อนกระมัง”
อิ่นหลิวหัวได้ยินดังนั้นดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย “เคยพูดถึง…”
เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาอิ่นหลิวตั้งแต่หัวจรดลง “ข้าเห็นว่าศิษย์น้องอิ่นเยงมิได้กดดันตัวเองจนถึงขีดจำกัด วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
นางสูดหายใจลึก ตอบว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ การเรียนในวันนี้ของข้ายังไม่ทันจบ อีกเดี๋ยวต้องไปเรียนต่อ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว พวกเจ้าฝึกต่อเถอะ”
“ศิษย์พี่เฟิงกำลังฝึกฝนอยู่” หลังจากอิ่นหลิวหัวมองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่ง ก็ถามเยี่ยนจ้าวเกอว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน มีปัญหาด้านวรยุทธ์ที่ข้าอยากให้ท่านชี้แนะ ไม่ทราบว่าได้หรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ไม่มีปัญหา”
“เช่นนั้นพวกเราอย่ารบกวนศิษย์พี่เฟิงเลยเจ้าค่ะ” อิ่นหลิวหัวพาเยี่ยนจ้าวเกอเดินไปด้านข้าง พลางขอให้อีกฝ่ายชี้แนะปัญหาไปด้วย สิ่งที่นางหนักใจเป็นอุปสรรคในการบรรลุระดับปรมาจารย์จริงๆ
เขาแถลงไขทีละข้อ อิ่นหลิวหัวพยักหน้าติดต่อกัน มีความรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น
ถึงแม้จะเป็นหลักการเดียวกัน แต่เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอเป็นคนอธิบาย กลับทำให้นางเข้าใจมากกว่าพวกผู้อาวุโสในสำนักเสียอีก
อิ่นหลิวหัวหันกลับไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง จากนั้นก็หันกลับมามองเยี่ยนจ้าวเกอ กระซิบว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน ข้าเข้าใจถึงความสำคัญของสตรีแห่งหยินแล้ว แต่ข้าจะมีหวังจริงๆ หรือ”