เขตยุทธ์เมฆาเป็นดินแดนบรรพชนของตระกูลหวัง นอกจากนั้นแล้วยังควบคุมอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลโดยรอบอีกด้วย
เขตแดนที่ตระกูลหวังและพรรคกระบี่วายุคำรามดูแลอยู่นั้นมีพื้นที่ติดกัน และก็มีเขตแดนติดกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตกด้วยเช่นกัน ค่อนข้างใกล้กับเมืองซู่โจว
สวีเฟยพาเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และอาหู่ส่งไว้ยังประตูทางเข้าเมืองซู่โจว กล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเป็นผู้ดูแลเมืองซู่โจว มีหน้าที่เป็นชนักติดหลัง ครานี้เดินทางไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว พวกเจ้าระมัดระวังให้ดี”
เยี่ยนจ้าวเกอชูกำปั้นขึ้นทุบไหล่สวีเฟยเบาๆ “ศิษย์พี่สวีวางใจ พวกข้าจะระวัง ทางด้านท่านนี้ก็ระวังอีกฝ่ายทำทีจะบุกอีกทางทว่าบุกอีกทางก็แล้วกัน”
พวกเขาออกจากเมืองซู่โจว เร่งรีบไปยังเขตพื้นที่ควบคุมของตระกูลหวัง
หนนี้เฟิงอวิ๋นเซิงเดินทางมาเพื่อลับดาบให้คมโดยเฉพาะ นางนั่งหันข้างอยู่บนตัวพ่านพ่าน พลางเอ่ยถามเยี่ยนจ้าวเกอว่า “ถ้าปรากฏผู้กลายเป็นมาร แน่นอนว่าไม่ต้องเอ่ยมากความ แต่หากว่าเป็นผู้ที่จิตใจมีความคิดชั่วร้าย กลับยังไม่ได้กลายเป็นมารเล่า?”
สายตาอาหู่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอฉับพลันเช่นกัน ร่างของชายหนุ่มโคลงเคลงเล็กน้อยไปตามการวิ่งตะบึงของพ่านพ่าน
เขากล่าวอย่างชืดชา “ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตต้องการก่อเรื่อง เกินกว่าครึ่งเหมือนเช่นทะเลสาบปิดนภาคราวนั้น จุดประสงค์อยู่ที่การสร้างมหาค่ายกลแดนมาร ชักนำนพยมโลกมาเยือน”
“ไม่ว่าจะกลายเป็นมารโดยสิ้นเชิงแล้วหรือไม่ ก็นับเป็นผู้นำทางนพยมโลกทั้งสิ้น สังหารทิ้งได้ทั้งหมด ถ้าหากเพราะพวกเราใจอ่อนจนก่อเกิดประตูนพยมโลกเปิดกว้าง มารร้ายสังหารผู้คนจะไม่ใจอ่อนเป็นแน่”
เส้นสายตาเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองไกลออกไป “ความสามารถในการซึมแทรกกัดกร่อนจิตใจผู้คนของนพยมโลกและภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตแก่กล้าอย่างยิ่ง หากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่กลายเป็นมาร เจนจัดในการซ่อนเก็บความคิดอารมณ์ของตนล่ะก็ เช่นนั้นยากจะเปิดโปงยิ่ง ตรงกับคำโบราณอย่างแท้จริงประโยคหนึ่งที่ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ”
“แม้หลายวันมานี้จะตรวจตรากวาดล้างอย่างต่อเนื่องไม่หยุด และก็เป็นผลประมาณหนึ่งเช่นกัน หากแต่ผู้ใดก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะกวาดล้างได้จนหมดเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดฝีมือระดับสูง”
เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ประกายตามืดครึ้มอยู่บ้าง “ถึงแม้จะทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดียิ่ง แต่ก็จำต้องกล่าวว่ายิ่งจอมยุทธ์ที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงแกร่งเท่าใด เมื่อก่อเกิดความคิดชั่วร้ายในใจ ก็ยิ่งถูกโลกภายนอกสัมผัสสังเกตได้ยากขึ้นเท่านั้น เพราะโดยส่วนมากพวกเขาล้วนมีพลังควบคุมตนเองที่ค่อนข้างแกร่ง คนรอบข้างยากจะมองทะลุเห็นความเป็นจริงภายในของพวกเขา”
“คนที่มีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้ โดยปกติยากยิ่งจะกลายเป็นมาร แต่ถ้าหากบังเกิดความคิดชั่วร้ายในใจ รากฐานก็ยิ่งมั่นคงทวีคูณ ยิ่งหัวแข็งทวีคูณเช่นกัน”
อาหู่และเฟิงอวิ๋นเซิงต่างก็ผงกศีรษะ ฝ่ายหญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ดังเช่นเมื่อครั้งทะเลสาบปิดนภาคราวก่อนอีก การจัดการและเตรียมการของพวกเรา ศัตรูได้รับข่าวสารไปทั้งหมดแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตระกูลหวังบัดนี้ คือถอยเตรียมบุก หรือไม่ก็วางหลุมพราง”
“ไม่ผิดหรอก ฉะนั้นต้องยกระดับการระแวดระวัง หากค้นพบเรื่องไม่ถูกต้อง ก็ต้องพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เองแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว
อาหู่ส่ายศีรษะใหญ่ “นพยมโลกกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตช่างน่ารำคาญเหลือ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องที่หมดหนทาง ก็ไม่อาจกระทำการโดยไม่คำนึงถึงลำดับความสำคัญ ควบคุมและสงสัยคอยสังเกตทุกๆ คน เช่นนั้นไม่เพียงทุกคนจะรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัย ทั้งอาจจะปรากฏเหตุให้ร้าย แยกแยะผิด หรือผิดตัว ปรักปรำใส่ความนับไม่ถ้วน ถึงเวลาภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคงจะดีใจแย่”
“ได้แต่เพียงตั้งหลักมั่นคง ค่อยๆ วางแผนอย่างช้าๆ อย่างไรเสียคนส่วนมากต่างก็ขับไล่มารร้ายนพยมโลก ในที่สุดแล้วผู้ที่ก่อเกิดความคิดชั่วร้ายในใจ ชักจูงตกเป็นมาร ยังคงเป็นจำนวนน้อย”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอีก “หัวใจสำคัญอยู่ที่ต้องปักหลักให้มั่น และให้ยอดฝีมือที่เชื่อถือได้ควบคุมสถานการณ์”
ชายร่างใหญ่ยกโค้งมุมปาก “ผู้อาวุโสสือก็คือคนเช่นนั้น”
ความปั่นป่วนของวายุพิภพครานี้ สำนักเขากว่างเฉิงจัดวางผู้มีอำนาจสิทธิ์เสียงเร่งรีบเดินทางมารักษาการณ์และจัดการยังวายุพิภพล่วงหน้า ซึ่งก็คืออาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอ สือเถี่ย ‘ราชสีห์โลหะ’
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ถอนใจครั้งหนึ่ง “ถูกต้อง”
มุ่งหน้าตลอดทาง ไม่นานนักก็เข้าใกล้เขตยุทธ์เมฆา
ชายหนุ่มเดินทางตามคำชี้บอก จนมาถึงสถานที่หนึ่งบนภูเขาอันแห้งแล้ง
บนยอดเขายืนไว้ด้วยร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง ตัวตรงผึ่งผายราวกับขุนเขาก็ไม่ปาน นั่นก็คือสือเถี่ยนั่นเอง
“จ้าวเกอมาแล้วรึ?” สือเถี่ยไม่ได้หันกลับมา สายตาจดจ้องไกลออกไป ที่นั่นคือพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งหนึ่ง อันเป็นดินแดนบรรพชนของตระกูลหวังนั่นเอง
ตระกูลหวังมีกิจการพื้นฐานอยู่ที่กำแพงเขตยุทธ์เมฆา ทว่าพื้นที่ที่เป็นรากเหง้าที่สุด ยังคงอยู่ที่พื้นที่ลุ่มน้ำแห่งนั้น
ยามนี้ทอดสายตามองไป เห็นได้ว่ามีควันดำแต่ละสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ค่อยๆ ย้อมฟากฟ้าด้านบนพื้นที่ลุ่มน้ำนั้นให้กลายเป็นสีดำ
ท่ามกลางเมฆหมอกสีดำโหมกระหน่ำไล่หลัง มีแสงสายฟ้าสีโลหิตปรากฏวาบวับ เฉียบคมน่ารันทด ทั้งยังน่าหวาดหวั่นพรั่นใจอยู่ในที
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมองเมฆดำที่ค่อยๆ ยื่นขยายมาถึงเหนือศีรษะตน รวมถึงสายฟ้าแลบสีโลหิตในชั้นเมฆ ประหนึ่งย้อนได้กลับไปยังทะเลสาบปิดนภาในเวลานั้นอีกครั้ง
สือเถี่ยเพ่งมองพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ไกลออกไป เยี่ยนจ้าวเกอมองดูแผ่นหลังของเขา แววตาซับซ้อนอยู่บ้าง
“จ้าวเกอมีอะไรจะพูดกับข้ารึ?” สือเถี่ยพูดโดยไม่ได้หันกลับมามองชายหนุ่ม
หลังเยี่ยนจ้าวเกอสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น “ตอนนี้ยังเป็นเพียงการคาดเดาของข้าผู้เดียว รอการพิสูจน์ยืนยันเสียก่อนดีกว่า ขณะนี้สงครามใหญ่กำลังมาถึง ข้าไม่อยากเอ่ยออกมา เพราะจะก่อกวนจิตใจของท่านอาจารย์ลุง”
หลังเสียงของสือเถี่ยชะงักไปเล็กน้อย จึงค่อยดังขึ้นอีกครั้ง “เรื่องที่ทำให้จิตใจข้าว้าวุ่นมีไม่มากนัก หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความอันตรายและความปลอดภัยของกว่างเฉิงก็…”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ข้ายังไม่กล้ายืนยัน แต่ศิษย์พี่สือซงเทาอาจจะยังคงมีชีวิตอยู่”
สือเถี่ยหายใจติดขัดเล็กน้อย หลังจากนิ่งเงียบครู่ใหญ่จึงกล่าวถาม “เจ้าพบเห็นเขาที่ใดแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ข้าเคยรายงานว่ามีคนลอบจู่โจมข้ากับศิษย์พี่สวี ในมหาค่ายกลแดนมารใต้ทะเลสาบปิดนภา”
“คราก่อนข้าเข้าไปยังมิติต่างแดนที่ผู้อาวุโสชาวกระเรียนล่องลอยทิ้งเอาไว้ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่นั่น ประสบคนคนหนึ่งจู่โจม ระหว่างประมือนั้น ข้าฟันหน้ากากของเขาออกมุมหนึ่ง เผยใบหน้าครึ่งดวงของเขาออกมา ข้าไม่กล้ายืนยันเต็มร้อย หากแต่…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ทีเดียว สือเถี่ยถึงถามขึ้น “ยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่?”
“วิถีวรยุทธ์ที่คนผู้นั้นฝึก คือวิชาอับแสงสังหาร แต่สามารถมองออกว่า หาใช่วิชาวรยุทธ์ที่คร่ำฝึกตลอดมาไม่ เป็นการร่ำเรียนในภายหลังต่างหาก” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ
“วิชาอับแสงสังหารของเขามีระดับความรู้ซึ้งที่ไม่ตื้นเขินแล้ว แต่อิงจากการคาดเดาของข้า น่าจะฝึกฝนเพียงระยะเวลาไม่กี่ปี…ระยะโดยประมาณสั้นกว่าเวลาที่ศิษย์พี่สือหายตัวไปอยู่บ้าง”
สือเถี่ยถาม “ข้าจำที่เจ้าเคยบอกได้ เขามีพลังฝึกปรือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะต้น?”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ถูกต้อง ตอนที่ศิษย์พี่สือหายตัวไปอยู่ในขั้นฝ่านภา ด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของเขาแล้ว หากไม่ได้กำลังติดอยู่ที่ขั้นฝ่านภานานจนเกินไปล่ะก็ น่าจะมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะกลางแล้ว ฉะนั้นข้าก็เลยยังสงสัยกังวลอยู่เช่นกัน”
“ไม่” สือเถี่ยเอ่ยแช่มช้า “นับเวลาฟื้นฟูการบาดเจ็บ กับการเสียเวลาเริ่มต้นพลิกไปฝึกวิชาวรยุทธ์อื่นไปด้วย ขั้นซ่อนจิตระยะต้นจึงจะค่อนข้างมีความเป็นไปได้”
ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินคำพูดนี้ ก็ได้แต่เงียบไม่พูดจา
หลังจากนั้นเนิ่นนาน เยี่ยนจ้าวเกอจึงกล่าวตอบเสียงเบา “ข้าขอโทษ ท่านอาจารย์ลุง”
สือเถี่ยปิดเปลือกตา กล่าวอย่างเชื่องช้า “ไม่ เจ้าทำถูกต้อง ให้ข้าได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า ค่อยดีขึ้นบ้าง”
“แน่นอนว่าข้ายังหวังให้เจ้าจำคนผิด แต่ถ้าหากเขาคือซงเทาจริง นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องต้องแบกรับเอาไว้เช่นกัน”
“ท้ายที่สุดแล้ว ข้า ก็ไม่ใช่พ่อที่เหมาะสมคนหนึ่ง”
——————————