เหตุการณ์แปรเปลี่ยนน่าตกใจฉับพลัน หยวนเทียนอารมณ์ไม่ผันแปรนัก เพียงส่งเสียงตะโกนทุ้มต่ำที่ทั้งขุ่นเคืองทั้งตื่นตกใจออกมา
หากแต่เงาร่างของเขาและเยี่ยนตี๋ กลับเปลี่ยนเป็นขมุกขมัวอยู่กลางอากาศ จนเลือนหายไปพร้อมกันบนท้องฟ้าในที่สุด
พยับเมฆที่ปกคลุมฟ้าดินก็สลายหายไปด้วยเช่นกัน
แสงตะวันและท้องฟ้าปลอดโปร่ง ปรากฏเหนือศีรษะมวลชนอีกครั้ง
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเงาร่างของเยี่ยนตี๋และหยวนเทียนเลือนหาย พ่นลมหายใจลากยาวออกมาคำหนึ่ง “ไม่ง่าย สำเร็จแล้ว”
อาหู่ เยี่ยนเหวินเจิน และคนอื่นๆ ต่างมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างฉงนสนเท่ห์ ไม่รู้ด้วยเหตุอะไรอยู่บ้าง “จ้าวเกอ ท่านประมุขกับจอมมารศักดิ์สิทธิ์เล่า?”
เส้นสายตาเยี่ยนจ้าวเกอพาดผ่านทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “ถูกส่งไปถึงเขากว่างเฉิงแล้ว”
กลุ่มของอาหู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พวกเยี่ยนเหวินเจินอึกอักไม่รู้ควรจะรับคำอย่างไรอยู่บ้าง ไตร่ตรองสำนวนพูดตลอดเวลา
อาหู่กลับเอ่ยถามตรงๆ “คุณชาย ท่านพยายามเลี่ยงศัตรูเข้ารุกรานหรอกไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดเช่นจอมมารหยวนเทียนผู้นี้ หากเขาเข้าไปถึงใจกลางเขากว่างเฉิง นั่นไม่เท่ากับชักศึกเข้าบ้านหรือขอรับ? ถึงเวลาถูกศัตรูอื่นตีจะขนาบทั้งนอกและใน…”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “วางใจ แม้ว่าจะส่งกลับเขากว่างเฉิงพร้อมกัน หากแต่มหาค่ายกลคุ้มกันเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านพ่อ ก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ อยู่ก่อนแล้ว”
“ฟ้าเหนือเขากว่างเฉิง บัดนี้ถูกสร้างมิติต่างแดนแห่งหนึ่งไว้แล้ว ท่านพ่อกับหยวนเทียนจะถูกส่งไปที่นั่น”
“ที่นั่น ท่านพ่อยังคงสามารถดึงพลังมหาค่ายกลคุ้มกันเขา หยิบยืมชัยภูมิ ทำเช่นนี้แล้วเขาจะกุมความได้เปรียบในการประมือกับหยวนเทียนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถดูแลสำนักทางนั้นได้เช่นกัน”
ชายหนุ่มพูดต่ออีกว่า “แม้ว่ายอดฝีมือสำนักคนอื่นๆ ต่างต้องวุ่นกับหน้าที่ตน เตรียมป้องกันศัตรู ไม่อาจปลีกตัว แต่ท่านพ่อมีเสื้อคลุมนภาเสริมกาย แล้วยังมีมหาค่ายกลคุ้มกันเขาช่วยเหลือ หากเพียงต่อสู้กับหยวนเทียนลำพัง หยวนเทียนจะสามารถมีชีวิตออกจากเขากว่างเฉิงไปได้หรือไม่ล้วนเป็นข้อสงสัย”
“เปรียบกับศัตรูคนอื่นๆ หยวนเทียนเป็นภัยคุกคามที่สังเกตได้โดยตรงมากที่สุดตลอด สามารถจัดการเขาได้ก่อน จะประหยัดเวลาอย่างมากในภายภาคหน้า”
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งทำอะไรอย่างอิสระ ไม่มีพลังในระดับเดียวกันมาควบคุม กำลังก่อตัวเป็นพลังทำลายล้างที่ไม่อาจต้านทาน
อาหู่และกลุ่มของเยี่ยนเหวินเจินต่างมองไปทางเสาทางเดินวังเทพที่อยู่ในศาลบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยน
เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับตนเองแผ่วเบา แผนการนี้ เขาเพียงปรึกษากับเยี่ยนตี๋มาก่อน
บรรดาผู้ทรงอำนาจระดับสูงของทางสำนักนั้น ก็รับรู้เพียงว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะปรับมหาค่ายกลคุ้มกันเขา สร้างมิติต่างแดนแห่งหนึ่งขึ้นอย่างกะทันหัน ทำหน้าที่เป็นสนามรบ ป้องกันสำนักตนเองไม่ให้ได้รับการโจมตีเช่นกัน
กระนั้นกลับไม่รู้ว่า นั่นคือที่คุมขังที่เตรียมไว้ให้หยวนเทียน หรือมาตรสุริยันวัดสวรรค์โดยเฉพาะ
อย่างไรเสียต้องการเคลื่อนย้ายยอดฝีมือระดับชั้นนี้ส่งไปที่นั่น เป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง
ยามปกติแทบจะไม่อาจจินตนาการได้ ทว่าครานี้ ขณะเดียวกันก็เป็นหลังจากจัดการเงื่อนไขมากมาย ถึงสามารถทำได้สำเร็จในคราวเดียว ทั่วไปแล้วยากยิ่งจะทำซ้ำ
ผู้ที่ล่วงรู้ขั้นตอนและจุดสำคัญของแผนการทั้งหมดล่วงหน้า มีเพียงเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ บุตรบิดาสองคนเท่านั้น
หากบิดาล้วนเป็นคนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต เช่นนั้นหนนี้ก็จัดว่าดวงซวยแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจไปพลาง เก็บเสาทางเดินวังเทพขึ้นมาพลาง
เขาหันศีรษะกลับมองทางเยี่ยนเหวินเจิน พลางกล่าวว่า “ท่านปู่สาม มหาค่ายกลคุ้มกันของเรือนบรรพบุรุษตระกูล บัดนี้แทบจะเสียหายทั้งหมด ต้องการสร้างขึ้นใหม่ เกรงว่าจะต้องสิ้นเปลืองแรงหนหนึ่งแล้ว”
“ไม่เป็นไร นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน” เยี่ยนเหวินเจินฟื้นคืนสติกลับมา เอื้อนเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้าศึกกระหน่ำบุกยากหมดความวุ่นวาย กว่างเฉิงประสบภัย ตระกูลเยี่ยนข้าก็จะถูกลูกหลงเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ของวิเศษที่จำเป็นต่อการตั้งค่ายกล ในตระกูลน่าจะยังมีเหลืออยู่ ทว่าก็เหลือน้อยเต็มที ได้เพียงแต่ใช้ของอื่นแทนก่อนชั่วคราว”
“ข้าช่วยตั้งค่ายกลขึ้นใหม่คร่าวๆ ก่อน ที่เหลือรอหลังจากศึกนี้ผ่านพ้น ท่านพ่อวางมือ ค่อยปรับแต่งอีกครั้ง”
ไม่จำเป็นต้องฟังคำเล่าลือ เพียงที่ได้ยินฟังและแลมองกับหูกับตาเมื่อครู่ เยี่ยนเหวินเจินและคนอื่นๆ ก็สามารถยืนยันได้ว่าระดับความรู้ซึ้งในด้านค่ายกลของเยี่ยนจ้าวเกอ เลิศล้ำเหนือจอมยุทธ์ระดับเดียวกันทั่วไป และยังล้ำเหนือทุกผู้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อักโข
ขณะนี้ เยี่ยนเหวินเจินสั่งการลงไป ฝูงชนช่วยเหนือเยี่ยนจ้าวเกอตั้งค่ายขึ้นใหม่เร็วไว
ถึงแม้จะสู้มหาค่ายกลดินแดนบรรพชนแต่กาลก่อนไม่ได้ แต่ก็ถือว่าทำให้ค่ายกลโคจรได้อีกหน ไม่ถึงกับไม่ขัดไม่ขวาง
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ข้าต้องเร่งรุดไปยังเขตเชื่อมทะเลสาบแล้ว ท่านปู่สามเพิ่มความระมัดระวังที่นี่สักหน่อย”
ครั้นกล่าวลากลุ่มเยี่ยนเหวินเจินแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พาอาหู่และพ่านพ่านออกจากเรือนบรรพบุรุษ แต่หาได้กลับสำนักไม่ เพียงเร่งรุดเขตเชื่อมทะเลสาบ
“คุณชาย ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตกำลังก่อการที่เขตเชื่อมทะเลสาบ ต้องการชักนำเปิดประตูนพยมโลกอีกหน ภายในสำนักก็คงมีผู้ทรงอำนาจระดับสูงรีบไปจัดการเช่นกันกระมัง?” อาหู่เอ่ยถาม
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนหลังพ่านพ่าน สายตามองไกลออกไป “ผู้อาวุโสเหอกับผู้อาวุโสจาง ผู้อาวุโสเก่าแก่สองท่าน ต่างต้องรักษาการณ์สำนัก สลับสับเปลี่ยน คนหนึ่งปกป้องรักษาท่านอาจารย์ปู่ อีกคนหนึ่งก็รักษาการณ์ศูนย์กลาง เตรียมป้องกันเหตุการณ์กะทันหัน”
“ผู้อาวุโสสูงสุดกงแห่งหุบเขาผนึกเวหายิ่งต้องรักษาการณ์หุบเขาทุกขณะ ไม่สามารถปลีกตัวแม้ชั่วประเดี๋ยว”
“ท่านพ่อรับมือกับยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายโดยเฉพาะ หรือกระทั่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากต้องแบ่งคนมาจัดการเหตุที่เขตเชื่อมทะเลสาบ ไม่ใช่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ก็ต้องท่านอาจารย์ลุงสอง มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมกับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณของสำนักตอนนี้ก็มีไม่กี่คนนี้แล้ว”
“ถ้าท่านอาจารย์ลุงใหญ่กับท่านอาจารย์ลุงสองมาไม่ได้ล่ะก็ ท่านอาจารย์ป้าฟู่ก็อาจต้องออกโรงเช่นกัน”
หลังอาหู่ตรึกตรองในใจ จึงเกาศีรษะดังแกรกๆ “คุณชาย ท่านไม่ใช่ว่านับขาดไปคนหนึ่งหรือ? ผู้อาวุโสซิน ซินตงผิง ผู้อาวุโสสูงสุดหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ นั่นเป็นผู้ที่แก่กล้ายิ่งกว่าผู้อาวุโสเหอแล้วก็ผู้อาวุโสเก่าแก่ทั้งสองท่าน ด้อยกว่าเพียงท่านเจ้าสำนักเท่านั้น”
“แม้ไม่อาจเทียบเขากับท่านประมุขได้ว่าผู้ใดแกร่งผู้ใดอ่อน แต่หากจัดอันดับยอดฝีมือสามอันดับของเขากว่างเฉิง แน่นอนต้องมีสักตำแหน่งเป็นของเขาแน่”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ส่งเสียง แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย หลังจากชั่วครู่จึงเอ่ยถาม “ตอนนี้สามารถยืนยันได้ว่า ในระดับสูงของสำนัก ยังมีคนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต”
“อาหู่ หากให้เจ้าทายว่าหนึ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด? หมายถึงแค่ความรู้สึกกับการคาดเดา”
อาหู่ได้ยินแล้ว อ้าปาก “เอ่อ… หากให้ข้าน้อยพูดล่ะก็ ผู้อาวุโสซินแล้วก็ผู้อาวุโสฟางล้วนเป็นไปได้…”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่ วงโคจรโชคชะตาเดียวกัน คนหนึ่งพ่ายแก่ท่านอาจารย์ปู่ คนหนึ่งพ่ายแก่ท่านพ่อ”
“คนแรกเนื่องด้วยความพ่ายแพ้ในตอนนั้น จึงยังคงฝังอยู่ในใจตลอดเวลา หมดทางตีฝ่าด่านสุดท้ายเพื่อเหยียบย่างขั้นศักดิ์สิทธิ์”
“ส่วนคนที่สองถูกขนานนามว่ามังกรซ่อนเงื่อน ต่อมากลับเป็นได้อย่างมากที่จะต้องซ่อนเร้นชั่วชีวิต”
เขาทอดสายตามองไปไกล “จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ไม่มีทางรู้ได้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ นี่ก็แล้วไป ทั้งสองท่านนั้น กลับเป็นคนที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าพวกเขาไม่เป็นสุขใจ”
อาหู่ยกโค้งมุมปาก “คุณชาย เหมือนว่าท่านระแวงผู้อาวุโสซินมากกว่า?”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ลุงสองจะเป็นคนที่แข่งขันกับท่านพ่อโดยตรง แต่อาจจะเป็นเพราะด้วยสาเหตุที่คุ้นเคยมากกว่า ข้ากลับจะไม่หวังให้เขาเปลี่ยนไปด้วยซ้ำ”
“แน่นอน ข้าไม่ปฏิเสธ ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือ หากผู้อาวุโสซินเปลี่ยนธาตุแท้ไป เป็นไปได้ที่หายนะจะหนักหน่วงกว่าท่านอาจารย์ลุงสอง”
“อย่าได้มองว่าผู้เฒ่าท่านนี้จะเหมือนเช่นผู้วิเศษโลกภายนอก อันที่จริงอิทธิพลของเขาในเขากว่างเฉิงล้วนไม่น้อยเสมอมา เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ท่านอาจารย์ไม่สามารถกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ตลอดมา และก็เป็นผู้อาวุโสซินเองขาดประตูสำคัญนั้นเช่นเดียวกัน หาไม่แล้วหากเขากลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก่อน ที่กระอักกระอ่วนก็คือท่านอาจารย์ปู่แล้ว”
อาหู่เอ่ย “เป็นเพราเหตุนี้ บางทีท่านผู้อาวุโสซินกลับจะมีหวังด้วยซ้ำ มิถึงขั้นความคิดยึดติดกลายเป็นคิดมาร? เว้นแต่ทางผู้อาวุโสฟาง นอกจากท่านประมุขตกต่ำหรือตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับท่านเจ้าสำนัก มิเช่นนั้นเขาก็หมดหวังตลอดกาล แต่ความเป็นไปได้นี้น้อยนักเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ไม่ผิดหรอก ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน”
ชายร่างใหญ่ลังเลชั่วครู่ ค่อยกล่าวถาม “กระนั้นคุณชายขอรับ หากท่านผู้อาวุโสซินและท่านผู้อาวุโสฟางทั้งสองคนล้วน…”
“เช่นนั้นภัยในสำนักวันนี้ ก็คงผ่านพ้นได้ยากแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง
————————–