เยี่ยนตี๋ได้ยินคำกล่าวของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว บนใบหน้าก็ปรากฏแววใคร่ครวญ “…เมื่อครู่เจ้าบอกว่า รองรอยจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง เป็นเพียงแค่การถือโอกาส ถึงขั้นปิดบังเท่านั้น”
“ความหมายคือ เป้าหมายที่แท้จริงของเจ้า อยู่ที่แถบเหนือเช่นกันหรือ? หรือเจ้าจะวางอุบายที่แถบเหนือหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ไม่ผิดขอรับ”
เส้นสายตาของเขามองไปยังทิศเหนือ จากนั้นก็ย้ายยังทิศใต้ แล้วค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “เป้าหมายของข้า คือวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!”
ผู้เป็นบิดาได้ยินดังนั้น แววตาพลันชะงักนิ่งไปเล็กน้อย
วังสุสานทุ่งร้างแดนใต้ตั้งอยู่ที่แนวเทือกเขาทางตอนใต้ของอัคคีพิภพ ในนั้นมีภูเขาไฟจำนวนมาก
ใต้พื้นดินเป็นทะเลเพลิงหินหนืดขนาดมหึมา ไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้ตื้นลึก
ที่นั่นก็ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่อันเลวร้ายที่ลือชื่อนับแต่อดีตกาลมา เคียงกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตกของวายุพิภพ
ทว่าก็เป็นสถานที่หนึ่งในรากฐานสำคัญของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ในการครอบครองอัคคีพิภพเช่นกัน
สำคัญถึงระดับไหนน่ะหรือ?
มีบทบาทต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มากมายยิ่ง กระนั้นขอเพียงหยิบยกหนึ่งในนั้น ก็เพียงพอให้อธิบายคำถามได้แล้ว
คิดอยากจะฝึกฝนวิชาหมัดถึงตะวัน สุดยอดวิชาวรยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เหนือยิ่งกว่าเจ็ดวิชาสุริยันให้สำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยชัยภูมิของวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมที่นั่นเลวร้ายอย่างแท้จริง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่เลือกยอดเขาเรืองรองเช่นกัน
กล่าวในอีกแง่หนึ่ง ที่นั่นถึงจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนยอดเขาเรืองรอง กลับเป็นเหมือนเช่นสถานที่ตั้งมั่นยามปกติเสียมากกว่า
เยี่ยนตี๋กล่าว “วังสุสานทุ่งร้างแดนใต้เป็นพื้นที่เฉกเช่นมหาทะเลทรายแดนตะวันตด ถึงแม้จะรู้ดีว่าสำคัญกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก กระนั้นกลับยากจะทำลาย ต่อให้อยากจะโจมตียึดให้จงได้ ก็ไม่อาจกลายเป็นจริงได้เช่นกัน”
ถ้าหากสามารถทำลายวังสุสานทุ่งร้างแดนใต้ได้ล่ะก็ ในสงครามถังตะวันออก ตอนที่จู่โจมจนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตรึงยอดเขาเรืองรองไว้ตลอดทั้งแนว เขากว่างเฉิงกับเมืองทะเลมรกตก็คงลงมือกับวังสุสานนี้ไปแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ย “ไม่ผิด ฟ้าดินสรรค์สร้าง ช่างทรงพลังล้นเหลือ หาใช่กำลังคนจะสามารถสั่นคลอนได้ง่ายดายไม่ อย่างน้อยข้าในตอนนี้ก็ทำไม่ได้อย่างแน่นอน”
“แต่ว่า ข้าเองก็ไม่ใช่คิดจะดั้นด้นทำลายที่นั่นแต่อย่างใด”
สายตาเยี่ยนจ้าวเกอทอดยังทิศเหนืออีกหน “ตอนนี้ยังพูดลำบาก จำเป็นต้องหลังจากให้ข้าถึงยังพื้นที่สุดแดนเหนือ สำรวจสักหนึ่งรอบก่อน จึงจะสามารถมีบทสรุปได้ บัดนี้ก็เพียงมีแนวคิดเล็กน้อยไม่แจ่มชัดเช่นกัน”
เยี่ยนตี๋เอ่ยถาม “ต้นตอของแนวคิดเจ้ามาจากไหนรึ? ถึงแม้เจ้ามักจะมีความคิดมหัศจรรย์อยู่บ้าง แต่ทว่าครานี้อะไรดลใจเจ้าให้บังเกิดความคิดเพ้อฝันเช่นนี้?”
ชายหนุ่มระบายยิ้ม “ท่านพ่อ ตำราโบราณบันทึกเอาไว้ ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เคยมีเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง เกี่ยวข้องกับตำหนักเซียนหิมะกลุ่มอิทธิพลวิถีวรยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งในเวลานั้น ไม่ทราบท่านเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
“ที่เจ้าเอ่ยถึงคือเรื่องที่บ่อน้ำพุเกล็ดน้ำแข็งในตำหนักเซียนหิมะเหือดแห้งอย่างนั้นหรือ?” หลังจากเยี่ยนตี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวถาม
วิกฤตการณ์ใหญ่ครั้งหนึ่ง ทำให้สรรพสิ่งมากมายสูญสิ้น ทำให้เรื่องราวมากมายกลายเป็นตำนาน เปลี่ยนเป็นเรื่องเล่าที่มีเพียงเศษเล็กเศษน้อย
สรรพสิ่งจำนวนมากสูญสิ้นไปแล้ว ทว่ามีสิ่งของบางส่วนที่แตกกระจัดกระจายกลับสืบทอดต่อกันมา เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วโลกแปดพิภพในปัจจุบันเช่นกัน
หากแต่สิ่งของจำนวนมาก ต่างล้วนคล้ายกับจะใช่ ทว่าไม่ใช่อยู่มากมายช่นกัน
เยี่ยนตี๋มองเยี่ยนจ้าวเกอ “ในคำเล่าลือ ตำหนักเซียนหิมะคล้ายกับว่าไม่ได้ผ่านวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แต่อย่างใด หากแต่ขาดการสืบทอดไปก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่แล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “รายละเอียดสถานการณ์ ข้าเองก็ไม่กระจ่างชัดเช่นกัน แต่เรื่องบ่อน้ำพุเกล็ดน้ำแข็ง ข้าค้นหาตำราโบราณทั่วทั้งหมด มีความคิดเห็นและการคาดคะเนของตัวเองอยู่บ้าง แต่ยังจำต้องตรวจสอบยืนยันกับสถานที่จริงสักหน่อย”
“ไม่ใช่ซากตำหนักเซียนหิมะแต่อย่างใด นั่นไม่มีอยู่นานแล้ว ข้าอยากสำรวจพื้นที่จริงสุดแดนเหนือที่สภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกับพื้นที่ที่ตำหนักเซียนหิมะถือครองในตอนแรกสักหน่อย”
ที่เยี่ยนตี๋ล่วงรู้คือคำเล่าลือ แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับรู้ว่าแท้จริงแล้วตำหนักเซียนหิมะล่มสลายก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่ไปแล้ว
ทว่ารายละเอียดสถานการณ์ เขาเองก็ไม่เข้าใจจริงๆ เช่นกัน
สาเหตุแท้จริงที่บ่อน้ำพุเกล็ดน้ำแข็งแห้งเหือด เยี่ยนจ้าวเกอไม่เคยสำรวจศึกษาสถานที่จริงมาก่อน บัดนี้ไม่อาจยืนยันได้เช่นกัน หากแต่เขามีการคาดเดาเป็นของตนเองอย่างแท้จริง เชื่อมโยงทั้งหมดที่รู้ในด้านอื่นๆ คิดทบทวนหลักการในนั้นออกมา
กระนั้นสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ ยังคงต้องทดสอบดูสักหน่อย
เยี่ยนตี๋กล่าว “เจ้าต้องการรุดหน้าไปยังพื้นที่สุดแดนเหนือ เช่นนั้นย่อมได้ แต่ยังต้องระมัดระวังความปลอดภัย ถึงอย่างไรที่นั่นก็ห่างจากตำหนักอัสนีสวรรค์ไม่มากนัก”
“ท่านอาจารย์ผ่านจะขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ข้าเองก็เหยียบย่างขั้นบรรลุธรรมเช่นกัน พลังความสามารถสำนักพัฒนาขึ้น สามารถหลุดพ้นสถานการณ์ตั้งรับก่อนหน้านี้ไปได้แล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์เองก็จะลดความทะเยอทะยานลงอยู่บ้างเช่นกัน แต่ถ้าหากเจ้ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่สุดแดนเหนือและทะเลเหนือ ยังคงจำเป็นต้องระวัง”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ขอรับ ข้าเข้าใจ”
หลังจากเยี่ยนตี๋หยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อว่า “เรื่องของแม่ลูกจวินเอ๋อร์ เจ้าต้องพึงระลึกอยู่แก่ใจให้มากๆ”
สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอแสดงความเคารพอย่างสูง “ขอท่านโปรดวางใจ นี่เป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ข้าจะต้องรักษาเอาไว้อย่างแน่นอน”
เยี่ยนตี๋ไม่เอ่ยอะไรต่อไปอีก เพียงกอดอกเดินมายังข้างหน้าต่าง สายตาทอดมองไกลออกไป
ภาพเต็มไปด้วยฝุ่นจับจำนวนมากในความทรงจำ ผุดขึ้นในสมองของเยี่ยนตี๋
…
“ข้าแซ่สือ นามว่าสือเถี่ย เป็นศิษย์ใหญ่ของท่านอาจารย์”
….
“ศิษย์น้องเยี่ยน เจ้ามีความสามารถล้ำเลิศ เหนือกว่าข้าเป็นร้อยเท่า ภายภาคหน้าจักต้องกลายเป็นบุคคลในตำนานเฉกเช่นท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ผู้นั้นเป็นแน่”
…
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะออกจากการแข่งขันตำแหน่งเจ้าสำนักจริงๆ หรือ?”
“ถูกต้อง”
“ถ้าเป็นท่านรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ข้าเต็มใจพึ่งพาอาศัย หากเป็นศิษย์พี่รอง ข้าจะลองช่วงชิงสักตั้ง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องของครอบครัวซงเทา ขออย่าได้โศกเศร้าไปเลย…”
“…ข้าไม่เป็นไร วางใจเถอะ จริงสิ ศิษย์น้องเยียนเอ๋ย ข้ารู้เจ้ายุ่งมากเหมือนกัน แต่หากมีเวลาล่ะก็ เอาใจใส่จ้าวเกอให้มากกว่านี้สักหน่อยเถอะ”
…
เส้นสายตาเยี่ยนตี๋ที่แต่ไรมาเด็ดขาดเฉียบคม บัดนี้สูญเสียจุดศูนย์รวมไปอย่างพบได้ยาก
เยี่ยนจ้าวเกอสามารถรับรู้ความรู้สึกของเยี่ยนตี๋ได้คร่าวๆ ในใจเขาก็หม่นหมองเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มออกจากประตูไปอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วปิดประตูไว้
นอกจากคนของสำนักเขาไร้พรมแดนแล้ว เมืองทะเลมรกตกับหอคลื่นโหมต่างก็มีคนมาเยี่ยมเยือนเช่นกัน แสดงความยินดีที่หยวนเจิ้งเฟิงผ่านขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังแสดงความยินดีที่เยี่ยนตี๋รับตำแหน่งเจ้าสำนักอย่างเป็นทางการ
ทางฝั่งเมืองทะเลมรกตนี้ คนที่มาเยือนยังคงเป็นคนที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้จัก
ถึงแม้ว่าจะมีพลังฝึกปรือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิต ทว่าการมาเยือนของซ่งเฉา คุณชายเจ็ดทะเล ในฐานะบุตรคนโตของเจ้าเมืองทะเลมรกตซ่งอู๋เลี่ยง ก็เพียงพอแก่การแสดงความจริงใจเช่นกัน
“ศิษย์พี่ซ่งเดินทางมาไกล ทางสำนักยินดีต้อนรับ” เยี่ยนจ้าวเกอต้อนรับคณะของซ่งเฉา “แต่ทางสำนักเพิ่งประสบเคราะห์หนัก แม้จะผ่านไปได้ ทว่าศิษย์ร่วมสำนักกลับถึงแก่กรรมไปไม่น้อย ฉะนั้นทางสำนักจึงไม่คิดจัดพิธีเฉลิมฉลองการรับตำแหน่งเจ้าสำนักของท่านพ่อในครั้งนี้ ยังมีท่านอาจารย์ปู่ข้าย่างสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์”
“ขณะนี้ทั่วทั้งสำนักเสียหายเสื่อมทรุดอย่างยิ่ง รอการฟื้นฟู ส่วนใดที่ต้อนรับบกพร่อง ขอศิษย์พี่ซ่งโปรดอย่าถือโทษ”
ซ่งเฉาเอ่ย “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว พวกข้าขึ้นเขามา ก็หวังว่าจะสามารถปักธูปต่อหน้าดวงวิญญาณผู้อาวุโสสำนักท่านที่ล่วงลับไปเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ข้าขอขอบคุณทุกท่านจากเมืองทะเลมรกต”
สตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างกายซ่งเฉา ในบรรดาศิษย์เมืองทะเลมรกตที่รวมเดินทางผู้หนึ่งเอื้อนเอ่ย “ศิษย์พี่เยี่ยน โปรดอย่าได้เศร้าเสียใจ”
นางคือหลี่จิ้งหว่านที่ได้พบกันในการประชุมฝ่านภาก่อนหน้านี้
“ศิษย์น้องหลี่ช่างมีน้ำใจ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว
เขารุดขึ้นหน้า นำคณะซ่งเฉาและหลี่จิ้งหว่านขึ้นเขาไป
หลังจากปักธูปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงเอ่ย “หลังจากนี้ไม่นาน ทางสำนักจะจัดพิธีฝังศพอย่างยิ่งใหญ่ให้กับศิษย์ร่วมสำนักที่ล่วงลับไปครานี้ หากทุกท่านประสงค์อยู่เข้าร่วมพิธี ก็ตามแต่ประสงค์เช่นกัน”
ซ่งเฉาคล้ายกับจะเอ่ยวาจาอยู่บ้าง กลับชะงักเอาไว้ ทว่าสีหน้าสงบนิ่งดั่งปกติ พยักหน้าพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รบกวนแล้ว”
ถึงแม้จิตใจเยี่ยนจ้าวเกอจะมัวหมองอยู่บ้าง กระนั้นความสงบเย็นอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้หายไป เห็นสภาพการณ์ก็รู้ได้ว่าซ่งเฉามาหนนี้ เกรงว่ายังมีภารกิจอื่นอีก
เพียงแต่เอ่ยขึ้นยามนี้ ยากจะเลี่ยงการเสียมารยาท ดังนั้นดูท่าซ่งเฉาเตรียมที่จะเอ่ยอีกครั้งหลังจากพิธีฝังศพ
เยี่ยนจ้าวเกอเฝ้าจับตาดูในใจ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
…………..