วังฝูงมังกรหดเล็กลง เยี่ยนจ้าวเกออยู่ด้านใน มองด้านในตัววังอย่างเงียบๆ ปราณมังกรหลายสายหมุนวน กลายเป็นมังกรแสงมากมาย
มังกรแสงพันอยู่บนด้ามหอกสีดำขลับเล่มหนึ่ง กรงเล็บมังกรสองข้างรวมพลังกันจับคมหอกไว้
อาวุธวิญญาณชั้นต่ำหอกขนอีกาสังหารสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ด้ามหอกสีดำขลับเปล่งประกายแสงสีทองตลอดเวลา
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมืออกมาจับปลายหอก หอกขนอีกาสังหารพลันคลุ้มคลั่งกว่าเดิม
พลังชีวิตของอาวุธศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งกว่าอาวุธวิญญาณมาก คิดจะทำให้มันยอมศิโรราบ เยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นต้องใช้ความพยายามส่วนหนึ่ง
แต่เมื่อมีวังฝูงมังกรสะกดมันไว้ หอกวิเศษเล่มนี้ก็ไม่อาจเป็นอิสระได้
ในช่วงเวลาที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็สยบมันได้เหมือนกับมงกุฎตะวันฟ้าสางที่ได้มาจากหยางจ่านหวา ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักแสงสว่าง
มงกุฎตะวันฟ้าสางถูกเยี่ยนจ้าวเกอดัดนิสัย บัดนี้อยู่ที่เขากว่างเฉิงอย่างว่านอนสอนง่าย
ตอนนี้ถึงจะไม่มีร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกคอยช่วยเหลือ แต่เยี่ยนจ้าวเกอที่ถือหอกขนอีกาสังหาร กลางฝ่ามือมีลวดลายอักขระของรอยตราอาคมสว่างขึ้น ทาบกับตัวหอก
ลายอักขระของรอยตราอาคมที่สลักลงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเหมือนกับสลักร่องรอยไปบนตัวหอกจริงๆ
หลังจากเวลาผ่านไป ความคลุ้มคลั่งของหอกขนอีกาสังหารก็คล้ายกับอ่อนแอลงหลายส่วน
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย ชักฝ่ามือกลับ
เขาเดินเล่นอยู่ในวังฝูงมังกร ที่นี่มีมิติเวลาเกิดขึ้นมากมาย ไม่ได้มีแค่ตัววังเพียงอย่างเดียว
ในมิติหนึ่ง เฟิงอวิ๋นเซิงนั่งตัวตรง ดาบยาวสีดำออกจากฝัก วาดพาดอยู่บนเข่าของนาง
ปราณมังกรหลายสายเข้าไปในร่างนางตามการหายใจ บนแก้มปรากฏลวดลายมังกรลอยขึ้นเลือนราง
ชายหนุ่มสำรวจดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ครั้นเห็นว่าไม่มีปัญหาใด ก็ถอยออกไป
เมื่อออกจากตำหนักฝูงมังกร ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอขยายใหญ่ขึ้น เปลี่ยนจากขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือเป็นร่างกายขนาดปกติ
ยามนี้ อาหู่เดินเข้ามาจากด้านนอก ทันทีที่เห็นเยี่ยนจ้าวเกอ เขาก็อดเกาศีรษะไม่ได้ “คุณชาย ข้าไปสืบมาแล้ว สถานการณ์ในโลกภายนอกเหมือนจะวุ่นวายยิ่งกว่า”
ถึงแม้ว่าจะถูกทิ้งไว้ที่เกาะเซิ่งเหอชั่วคราว แต่สำนักความมืดก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอขอข่าวสาร
ความจริงแล้ว ต่อให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอจะจากไป คนของสำนักความมืดก็ไม่ขัดขวาง
เมื่อมีคำอนุญาตของอู๋จื่อซิวและเนี่ยเซิ่ง ข่าวสารหอสักการะย่อยของสำนักความมืดในเกาะเซิ่งเหอได้รับ นอกจากสิ่งที่เป็นความลับแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเปิดเผยต่อเยี่ยนจ้าวเกอ
ร่างกายอันใหญ่โตของพ่านพ่านคลานไปด้านนั้น เกียจคร้านเหมือนกับภูเขาเนื้อลูกเล็ก
เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ไม่เกรงใจ พิงอยู่บนตัวมัน เหมือนกับพิงอยู่บนเก้าอี้เอนขนหนังขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
“วุ่นวายอย่างไร?” เยี่ยนจ้าวเกอถาม อาหู่ตอบว่า “เสวียนมู่อ๋อง ผู้คุมหางเสือในปัจจุบันของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง เสวียนอ๋องที่สาม ผละจากนครต้าเสวียน นำทัพด้วยตัวเองแล้ว”
ชายหนุ่มลูบคาง “ไม่ใช่การกระทำที่ชัดเจน ถึงเสวียนมู่อ๋องจะมีพลังแข็งแกร่ง อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย แต่ก็เทียบกับท่านตากับบิดาของตัวเองไม่ได้ ไม่อาจสยบทะเลหวงเจียด้วยตัวคนเดียว”
“หากอยู่ในรังของตัวเองก็แล้วไป เมื่อออกจากนครหลวง ย่อมสูญเสียชัยภูมิ จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ดุดันปานสัตว์ร้ายอย่างไร?”
“แม้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็ป้องกันกันอยู่ ไม่อาจะร่วมแรงร่วมใจกันได้ ทว่าการกระทำนี้ของเสวียนมู่อ๋องก็ประมาทเกินไป นอกเสียจากว่า…”
เยี่ยนจ้าวเกอหยีตาเล็กน้อย “นอกเสียจากว่าเขาจะมีผู้ช่วยเหลือ”
อาหู่กล่าวต่อ “นั่นเป็นคนแซ่หยางที่คุณชายท่านสังหารทิ้งที่เกาะหลวนเซียง ทำให้ลุงของเขา หรือไห่เฉิงโหวแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องเดือดดาล ไม่นานมานี้ ได้ควานหาท่านที่ทางใต้ของทะเลหวงเจีย ได้ยินว่าเข้าใกล้เกาะเซิ่งเหอแล้ว”
คุณชายเยี่ยนยักไหล่อย่างไม่สนใจ “สองผู้อาวุโสสำนักความมืดอย่างอู๋จื่อซิวกับเนี่ยเซิ่งไม่ใช่ไม้ประดับ”
ชายร่างใหญ่หัวเราะซื่อๆ “เป็นเช่นนั้นขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะผุดกายขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ ออกไปเดินเล่นเสียหน่อย”
อาหู่ติดตามอยู่ด้านหลัง ถามว่า “คุณชาย พวกเราจะเสียเวลาที่สำนักความมืดเช่นนี้ตลอดไปหรือ?”
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น” เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปพลาง พูดไปลาง “ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบ รออีกสักพักก็จะเอ่ยปากได้แล้ว ถ่วงเวลาไปได้เล็กน้อย ยิ่งส่งผลดีต่อเวลาพูด แต่แน่นอนไม่อาจถ่วงเวลานานเกินไป”
ตอนที่เดินอยู่ในหอสักการะย่อยของสำนักความมืด แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะไม่ได้แตะต้องค่ายกลคุ้มกันของที่นี่ ทว่าเวลาเดิน เขาก็ทำความเข้าใจการเคลื่อนที่ของปราณวิญญาณที่อยู่ที่นี่ไปด้วยเงียบๆ
‘แข็งแกร่งตอนกลางวัน อ่อนแอตอนกลางคืนหรือ? ข้าไม่ได้มาผิดที่กระมัง ที่นี่เป็นถิ่นของสำนักความมืด ไม่ใช่ทางสำนักแสงสว่างนี่’ เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตา ‘ค่ายกลพอจะมีสภาวะหมุนกลับอยู่ ใช่มีพิธีกรรมพิเศษอะไรหรือไม่?’
ขณะที่ครุ่นคิด ตรงหน้าพลันมีเสียงโต้เถียงดังมา
เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งสายตามองไป กลับเห็นลูกศิษย์สำนักความมืดสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันอยู่
อายุของทั้งสองฝ่ายที่โต้ถกกันไม่ได้มากเท่าไร แต่ว่าพลังฝึกปรือกลับไม่ต่ำ ส่วนใหญ่เป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย แต่ว่าอายุน้อยยิ่ง ดูท่าทางเป็นลูกศิษย์รุ่นหลังที่เข้าสำนักได้ไม่นาน ในยามนี้กำลังมองดูเรื่องสนุกอยู่ด้านหลังเหล่าศิษย์พี่
คนที่เป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย ต่างเป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ ขณะนี้กำลังเถียงกันไม่ยอมเลิกรา
เยี่ยนจ้าวเกอฟังเนื้อหาคร่าวๆ พบว่าทั้งสองฝ่ายแบ่งเป็นตำหนักไร้แสงและตำหนักความมืดแรกเริ่ม
เนื้อหาของการโต้เถียงในตอนนี้คือความสูงต่ำของระดับวิชาหลอมโอสถ ของผู้อาวุโสในตำหนักของพวกตน
ทั้งสองฝ่ายเสนอกันว่าจะจัดการแข่งขัน ลูกศิษย์ของสองตำหนักยามนี้กำลังเถียงคอเป็นเอ็นเพื่อผู้อาวุโสของตนเอง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร
“กลับไม่รู้ว่าวิชาหหลอมโอสถของโลกซ้อนโลกแพร่หลายและพัฒนาไปถึงระดับไหน ได้ยินมาว่าในทะเลหวงเจีย วิชาหลอมโอสถของสำนักความมืดค่อนข้างเหนือกว่าฝ่ายอื่น ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหาย” เยี่ยนจ้าวเกอฟังอย่างออกรส หันไปพูดกับอาหู่ “สืบว่าสถานที่แข่งขันอยู่ที่ใด คนนอกเข้าชมได้หรือไม่”
อาหู่ผงกศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าไป สักพักก็ถอยกลับมา “คุณชาย พวกเราก็ไปดูได้ อยู่ด้านหน้าไม่ไกล”
ขณะพูดกันอยู่ สองฝ่ายที่กำลังเถียงกันก็ตะโกนพร้อมกับเดินไปด้านหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอตามไปอย่างสนอกสนใจ ครั้นมาถึงสถานที่กลับพบว่า การแข่งขันไม่ใช่การหลอมโอกสถ แต่เป็นการอนุมานตำรับโอสถที่ไม่สมบูรณ์
นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสนใจยิ่งขึ้น เทียบกับการหลอมโอสถตามจริงแล้ว การอนุมานตำรับโอสถที่ไม่สมบูรณ์ ทดสอบระดับทฤษฎีได้ดีกว่า
ด้านในห้องสงบใจด้านหลังโถงโอสถ อู๋จื่อซิวกับเนี่ยเซิ่งนั่งหันหน้าเข้าหากัน
เนี่ยเซิ่งถาม “ผู้อาวุโสอู๋ องค์ประมุขตงหนานเชี่ยวชาญการหลอมโอสถ นี่เป็นสิ่งที่ข้ารู้ แต่ว่ายอดฝีมือที่หลอมโอสถได้ไม่ได้มีแค่องค์ประมุขตงหนานเท่านั้น พวกเราจะตัดสินอย่างไร?”
อู๋จื่อซิวพูดอย่างช้าๆ “ดังนั้นจึงไม่หลอมโอสถ แต่เป็นการอนุมานตำรับโอสถ
“ข้าชอบศึกษาวิชาโอสถ แต่พูดไปก็น่าละอาย โลภมากเกินไป ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ”
ผู้อ่อนอาวุโสกว่าส่ายหน้า “ผู้อาวุโศอู๋ไฉนจึงถ่อมตัว ท่านเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในการหลอมโอสถของสำนัก ปกติพวกเราทุกคนต่างนับถือเลื่อมใสยิ่ง”
ผู้อาวุโสอู๋กล่าว “จุดอ่อนของข้า ตัวข้าเองรู้จักดี แต่ก็พอนับได้ว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง จึงจะพอหลอมตำรับโอสถของสถานที่อื่นนอกจากทะเลหวงเจียได้บ้าง แม้จะรู้เพียงผิวเผิน แต่ก็ทำให้รู้จักระบบของแต่ละที่”
“ถ้าหากคนหนุ่มผู้นี้อดใจไม่ลงมือก็แล้วกันไป ขอแค่เขาคันมือ ข้าจะเห็นถึงความเป็นมาของเขาจากระบบความคิดในการอนุมานตำรับโอสถทันที”
ชายชราถอนใจเบาๆ “พวกเราตั้งตารอกันเถอะ”