ตอนที่ 1532: การตายของจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิม
ความหนาวเย็นที่น่าสะพรึงกลัวแทรกซึมอยู่รอบ ๆ ขณะที่ปราณน้ำแข็งกระจายไปทุกทิศทุกทาง เจียงหยางหมิงเยว่ได้ต่อสู้กับเจิงจิงหยวนอย่างดุเดือดในอากาศ
เจียงหยางหมิงเยว่รู้สึกหงุดหงิดมากหลังจากที่นางรู้ว่านางอาจจะเป็นเทพธิดาหิมะอย่างที่ผู้พิทักษ์ซุยได้กล่าวไว้ ในทางกลับกัน เจิงจิงหยวนก็กลายเป็นเป้าระบายอารมณ์ของเจียงหยางหมิงเยว่
เจียงหยางหมิงเยว่ต่อสู้อย่างรุนแรงเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อต่อต้านเจิงจิงหยวน เสียงตูมดังออกมาอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ด้านล่างต่างพังทลาย พื้นที่รอบ ๆ ตัวของพวกนางบิดเบี้ยวอย่างุรแนรง หากเจียงหยางหมิงเยว่ไม่ได้ใช้เขตแดนเทพธิดาหิมะเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพื้นที่รอบ ๆ พวกนาง เพียงแค่คลื่นกระแทกจากการปะทะของพวกนางก็เพียงพอที่จะทำลายทวีปเทียนหยวนลงได้
เจิงจิงหยวนเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด แม้ว่านางจะอยู่ช่วงกลางของขั้นย้อนกลับ แต่นางก็ถูกโจมตีด้วยการโจมตีของเจียงหยางหมิงเยว่ ผลึกสีขาวปรากฏอยู่บนร่างกายของเจิงจิงหยวนเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งทำให้นางต้องใช้พลังบางส่วนเพื่อหยุดยั้งการลุกลามของผลึก ในขณะที่ป้องกันการโจมตีที่ดุดันของเจียงหยางหมิงเยว่พร้อม ๆ กันอีกด้วย
นางได้รับการบาดเจ็บจาก โชคชะตา ของเจียงหยางหมิงเยว่ก่อนหน้านี้ นางมีบาดแผลสาหัสหลายแห่งมาก เห็นได้ชัดว่านางต้องสนใจผลึกที่มักจะปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวบนตัวนางเป็นพิเศษ ตราบที่นางไม่ได้ถูกแช่แข็ง เจียงหยางหมิงเยว่ก็ไม่อาจใช้ความสามารถของนางได้
ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ? ทำไมนางถึงทรงพลังเช่นนี้ ? เห็นได้ชัดว่านางอยู่ขั้นย้อนกลับช่วงต้น แต่นางก็สามารถกดข่มข้าได้และความเย็นที่ท่วมท้นนี้ก็ทรงพลังอย่างมาก แม้ว่าข้าจะระวังตัวอย่างดีแล้ว เจิงจิงหยวนบ่นอยู่ภายใน นางละความสนใจกับเขตแดนก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีและพยายามที่จะออกจากเขตแดนนี้ เมื่อเขตแดนหายไปนางจะสามารถใช้พลังของนางทั้งหมดได้ ควบคู่ไปกับทักษะลับของนาง นางเชื่อว่านางจะสามารถหยุดการล่าถอยของนางได้ แม้ว่ามันจะไม่เพียงพอที่จะเอาชนะเจียงหยางหมิงเยว่
ตูม ! อย่างไรก็ตามเจิงจิงหยวนกำลังคิดที่จะออกจากเขตแดน นางก็ดูเหมือนจะชนกับกำแพงอย่างแรง นางไม่อาจออกจากเขตแดนได้ มันเป็นเหมือนกับกรงที่มาจากเจียงหยางหมิงเยว่ นางไม่อาจออกไปได้ไม่เว้นแม้แต่นางจะโจมตีมัน
เจียงหยางหมิงเยว่บินขึ้นมาจากด้านล่างพร้อมกับการโจมตี ร่างกายของนางโอบล้อมไปด้วยความเย็นยะเยือกอย่างน่าหวาดกลัว ขณะที่นางโถมเข้าใส่เจิงจิงหยวน
เจิงจิงหยวนเคร่งเครียด นางจ้องมองไปที่เฉียงซ่งและกงซีหมิงที่กำลังต่อสู้อยู่กับอวกาศและพูดผ่านไรฟัน เนื่องจากเจ้าไม่ต้องการให้ข้าออกไป งั้นข้าจะทำลายเขตแดนนี้ เพียงยกมือมาข้างหนึ่ง แส้ที่กว่าครึ่งเมตรก็ปรากฏออกมา แส้ที่ทำจากวัสดุที่ไม่รู้จัก มันดูเรียบง่ายแต่ก็แผ่พลังงานออกมาเป็นระลอก ๆ มันดูเหมือนจะทรงพลังกว่ายุทธภัณฑ์บรรพชนจากตระกูลผู้พิทักษ์ อากาศรอบ ๆ สั่นขึ้น
มังกรจู่โจม ! เจิงจิงหยวนตะโกนออกมาและใช้ทักษะลับ เพียงนางเหวี่ยงมือ แส้ก็ขยายตัวออกมาอย่างรวดเร็วและขึ้นไปบนอากาศหลายร้อยเมตรในเวลาเดียวกัน มันปล่อยแสงสีฟ้าจ้าซึ่งปกคลุมท้องฟ้าสีขาวเหมือนหิมะ
ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้น แส้เรืองแสงและดูเหมือนกับจะเป็นมังกรยาวหลายร้อยเมตร มันมีสองเขา ยาวหลายร้อยเมตรและมีร่างคล้ายงู ไม่มีปีก แต่มีสี่ขายื่นออกมาจากหน้าท้องของมัน มันบินผ่านอากาศราวกับกำลังขับขี่สายลมและเมฆ พุ่งเข้าหาเจียงหยางหมิงเยว่พร้อมกับกลิ่นอายที่น่ากลัวของมังกร
เจียงหยางหมิงเยว่และเจิงจิงหยวนต่อสู้กันบนชั้นบรรยากาศ ด้านล่างของพวกเขาเต็มไปด้วยจอมยุทธจำนวนมาจากทั้งสี่เผ่าพันธุ์และกองกำลังจากต่างโลกที่กำลังพัวพันกันเป็นสงครามครั้งใหญ่
คราวนี้เสี่ยวจินไม่ต้องปกป้องใครเหมือนก่อนหน้า เขาต้องรับมือกับจอมยุทธขั้นรับมอบจากต่างโลกด้วยตัวของเขาเอง คนที่เขารับมือด้วยเป็นจอมยุทธขั้นรับมอบช่วงปลาย แต่ความแข็งแกร่งของเสี่ยวจินอยู่ที่ขั้นรับมอบช่วงกลาง หลังจากกินลูกท้อเมฆม่วง บวกกับความจริงที่ว่าเป็นจิตวิญญาณโลหะที่เกิดจากโลกโลหะ เขามีความได้เปรียบทางพื้นที่ นอกเหนือจากทักษะเทพทั้งเก้าจากเสี่ยวหลิงแล้ว เสี่ยวจินยังสามารถต่อกรได้อย่างมั่นคงกับจอมยุทธต่างโลกขั้นรับมอบช่วงปลาย แม้ว่าเขาจะยังไม่มีประสบการณ์ด้านการต่อสู้
หยางลี่, เฟิงเซียวเทียนและกุยไห่ยี่เต่า ต่างพากันไปรับมือจอมยุทธขั้นรับมอบจากต่างโลก แต่พวกเขาพึ่งพาวัตถุเซียนที่อยู่ในมือของเขาเพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ที่เขาสู้ด้วย จุดแข็งของพวกเขาไม่ได้เหนือไปกว่าเซียนจักรพรรดิขั้นสูงสุด ดังนั้นฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาจึงบังคับให้พวกเขาทำได้แค่ป้องกันเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาเคยเป็นจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมและเคยผ่านสงครามความเป็นตายมาแล้ว พวกเขาคงได้ตายนับครั้งไม่ถ้วนและไม่อาจยืนอยู่ได้จนถึงตอนนี้
เทพเจ้าแห่งท้องทะเลรับมือกับสองจอมยุทธขั้นรับมอบ 2 คนด้วยตัวของนางเอง แม้ว่านางจะอยู่ในขั้นรับมอบเช่นกัน นางก็อยู่ห่างจากขั้นย้อนกลับเพียงไม่กี่ก้าว ในเวลาเดียวกันเทพเจ้าแห่งท้องทะเลยังมีชีวิตอยู่มานานกว่าล้านปี แม้ว่านางจะยังคงอยู่ในรูปแบบของวิญญาณเกือบตลอดเวลา วิญญาณของนางก็เหนือกว่าขั้นรับมอบหลังจากที่ผ่านการขัดเกลามากว่าล้านปี ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่านางสามารถรับมือกับจอมยุทธขั้นรับมอบทั้งสองคนได้ในเวลาเดียวกัน
อาต้า, อาเอ้อ, อาซานและอาซือ ได้สร้างค่ายกลกระบี่ขึ้นมา ทำให้จอมยุทธขั้นรับมอบคนหนึ่งตึงมือในการรับมือพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงเซียนจักรพรรดิขั้นสุดยอด ค่ายกลกระบี่ไม่เคยหยุดโจมตี มีแต่ปราณกระบี่ที่ไร้ความปราณีเท่านั้นที่สัมผัสได้ ไม่มีอะไรที่สามารถมองเห็นได้จากภายในค่ายกล แม้แต่ความรู้สึกของจอมยุทธขั้นย้อนกลับก็ไม่อาจทะลวงผ่านค่ายกลนี้ได้
เถี่ยต้าใช้ขวานทองในขณะที่ต่อสู้กับจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากต่างโลกเช่นกัน แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับขั้นรับมอบ แต่เขาก็มีพลังมากพอที่จะรับมือกับจอมยุทธขั้นย้อนกลับได้ จอมยุทธขั้นย้อนกลับปกติไม่อาจยืนหยัดต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นจอมยุทธขั้นรับมอบจึงมีแต่ต้องบาดเจ็บสาหัสหลังจากที่รับมือเขาเพียงกระบวนท่าเดียว จอมยุทธขั้นรับมอบที่รับมือกับเขานั้นกระเด็นกลับไปและกระอักเลือด ร่างกายของเขาเกือบจะถูกผ่าออกเป็นสองส่วนในกระบวนท่าเดียว ใบหน้าของเต็มไปด้วยความตกใจ
ความลึกลับของสงคราม ทำลายมฤตยู ! เถี่ยต้าตะโกน เขาเริ่มส่องสว่างขณะที่กำลังฟาดขวานทองของเขาเป็นครั้งที่สอง
ขวานทองฟันไปทางจอมยุทธขั้นรับมอบพร้อมกับพลังทำลายล้าง จอมยุทธต่างโลกไม่อาจหลบหนีได้ เขาเพียงตั้งรับดาบไว้ที่เหนือหัวและพยายามเบี่ยงการโจมตี
พร้อมกับเสียง ตูม ดาบที่ขวางไว้เหนือหัวของเขาก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนด้วยขวานของเถี่ยต้า ขวานของเขาไม่มีการชะลอลงเลยแม้แต่น้อน มันกระทบเข้าที่หัวของเขาและผ่าเขาเป็นสองซีกตั้งแต่กลางหัว,ระหว่างดวงตาไล่ลงมาเรื่อย ๆ วิญญาณของเขาก็ถูกกวาดล้างออกไป
จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมคนแรกที่ตายในศึกครั้งนี้ถูกเถี่ยต้าผ่าครึ่ง
ค่ายกลหมื่นยุทธภัณฑ์ที่ถูกเซียนจักรพรรดิทั้ง 49 คนยังคงใช้ยุทธภัณฑ์บรรพชนเพื่อทำให้จอมยุทธขั้นรับมอบคนอื่น ๆ วุ่นวาย ยุทธภัณฑ์บรรพชนอันอื่น ๆ ใช้เพื่อสังหารหมู่เซียนจักรพรรดิจากต่างโลกที่หลั่งไหลเข้ามาในอุโมงค์อย่างต่อเนื่อง
การต่อสู้ระหว่างเซียนจักรพรรดิได้เริ่มขึ้นแล้ว การต่อสู้ของพวกเขานั้นรุนแรงอย่างมากและผู้คนก็ตายอย่างต่อเนื่อง เซียนจักรพรรดิทั้งสี่เผ่าพันธุ์ได้สร้างค่ายกลล้อมคนจากต่างโลกเอาไว้ อาวุธเซียนหุ่นเชิดได้คืนชีพก็มีส่วนร่วมกับการต่อสู้เช่นกัน พวกเขาต่อสู้อยู่ในแนวหน้าและเกิดการสังหารหมู่เมื่อพวกเขาสังหารเซียนจักรพรรดิจากต่างโลก
หุ่นเชิดไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัว พวกมันเป็นเครื่องจักร แม้หลังจากที่มันบาดเจ็บอย่าไม่น่าเชื่อ มันก็ยังเดินหน้าต่อสู้กับพวกเขาจนกว่ามันจะถูกกำจัด หลังจากที่พวกมันถูกหั่นครึ่ง พวกมันก็ยังคงยกอาวุธและเหวี่ยงมาที่พวกเขาอย่างไร้ความปราณีต่อคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งหุ่นเชิดก็เริ่มทำให้เซียนจากต่างโลกต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ไม่มีใครในสนามรบรวมถึงเซียนจักรพรรดิของทั้งสองโลกจะต่อสู้อย่างสิ้นหวังเหมือนกับหุ่นเชิดเหล่านี้ เมื่อได้รับบาดเจ็บเกือบทุกคนจะหนีออกจากการต่อสู้ มีคนน้อยมากที่เต็มใจจะสละชีวิต อย่างไรก็ตามเซียนจักรพรรดิจำนวนมากก็ยังคงตายอยู่ดี
ไคยะไม่ได้มีบทบาทใด ๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้ นางสั่งให้สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีต่อสู้กับจอมยุทธขั้นรับมอบจากต่างโลกและเปิดมิติให้มดทะยานฟ้าบินออกมาในเวลาเดียวกัน พวกมันกรูกันออกมาราวกับน้ำท่วมทุ่งไปทั่วทุกมุมของสมรภูมิ
มดทะยานฟ้าเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตนที่ทรงพลัง อันที่จริงไม่มีแม้แต่ตัวเดียวที่มาถึงระดับ 9 นอกจากสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสี แม้กระทั่งระดับ 8 ของมดทะยานฟ้าก็ยังสามารถนับนิ้วได้ อย่างไรก็ตามมดทะยานฟ้ามีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อการโจมตีทางพลังงานทั้งหมด เมื่อรวมเข้ากับรูปร่างที่เหมือนเหล็กและมีจำนวนที่น่ากลัว มดทะยานฟ้าก็กลายเป็นนักสู้ที่น่ากลัวที่สุดในสนามรบแห่งนี้ แม้ว่ามันจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะคุกคามจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิม แต่เซียนจักรพรรดิก็พบว่าพวกมันเป็นอันตรายถึงชีวิต หากกองกำลังของมดทะยานฟ้าพุ่งเข้าหา พวกเขาที่เป็นเซียนจักรพรรดิก็ยังต้องตกตาย