ตอนที่ 1639: 10 ปี
ขอต้อนรับจิตวิญญาณราชันย์
เฉียงซ่งในฐานะผู้นำ ทั้งผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์จากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งก็รีบไปที่อุโมงค์ระหว่างสองโลกอย่างรวดเร็วที่สุด พวกเขาโค้งคำนับต่อจิตวิญญาณราชันย์อย่างสุภาพ
พวกเขารีบมาอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเพียง 5 นาทีหลังจากที่จิตวิญญาณราชันย์ออกมาจากอุโมงค์ พวกเขาก็เดินทางมามาถึงจากที่ห่างไกลกว่า 10 ล้านกิโลเมตร
จิตวิญญาณราชันย์นั้นเฉยชา เขามองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะมองไปที่ท้องฟ้า สายตาของเขาดูเหมือนจะข้ามอวกาศได้และยังสามารถมองทะลุเข้าไปในเมฆสีแดงที่ลอยอยู่เงียบ ๆ ราวกับกระบี่ที่แหลมคม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจี้ยนเฉิน เจ้ายังไม่ออกมาอีกรึ จิตวิญญาณราชันย์พึมพำ เสียงของเขาค่อนข้างทุ้ม จากนั้นเขาก็มองไปที่เฉียงซ่งและถามด้วยมีอารมณ์ว่า เฉียงซ่ง การเจรจากว่าสิบปีนี้เป็นอย่างไรมั่ง ?
เฉียงซ่งกลายเป็นขมขื่น จิตวิญญาณราชันย์ คนที่โลกนี้ยืนยันว่าจะให้ที่ดินเราส่วนเล็ก ๆ และไม่มีขนาดใกล้เคียงกับที่เราต้องการ บวกกับความจริงที่ว่าเจี้ยนเฉินอยู่เหนือหัวของเราและซางกวนมู่เอ๋ออยู่ที่เกาะสามเซียน เราจึงกลัวที่จะเจรจาโดยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำเรื่องใหญ่ให้กับผู้คนในโลกนี้ ดังนั้นเราจึงไม่ได้ก้าวหน้าเลยแม้จะผ่านไป 10 ปี
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ให้ข้าคุยกับคนในโลกนี้ จิตวิญญาณราชันย์พูดอย่างไร้อารมณ์และเยือกเย็นเล็กน้อย
ในเวลานี้พื้นที่ใกล้ ๆ ก็สั่นเล็กน้อย จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมทั้งหมดของโลกก็ปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน พวกเขาเผชิญหน้ากับจิตวิญญาณราชันย์อย่างขึงขัง พวกเขาป้องมือเข้าหากันหลังจากที่เขาปรากฏตัว
พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องมา อย่างน้อยที่สุดภูมิภาคนี้ก็ห่างไกลเกินไป มันดีกว่าให้จิตวิญญาณราชันย์มาเยือนเมืองอัคนีด้วยตัวเอง
เจ้ามาในเวลาที่เหมาะสม การเจรจาที่ยังไม่คืบหน้าเป็นเวลาสิบปีแล้ว มันสามารถจบได้ในวันนี้ เฉียงซ่งแสดงแผนที่ที่เจ้าวาดขึ้นมา จิตวิญญาณราชันย์กล่าว
ขอรับ จิตวิญญาณราชันย์ เฉียงซ่งตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะเลื่อนกระดาษไปยังจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมของโลกนี้
แกมันสารเลวจริง ๆ เสี่ยวหลิงจ้องมองไปที่จิตวิญญาณราชันย์อย่างชั่วร้ายขณะที่นางพึมพำกับตัวเอง แม้ว่าวิญญาณราชันย์จะเคยต่อสู้เคียงข้างกับคนของโลกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติของโลก เสี่ยวหลิงก็ยังไม่ลืมเกี่ยวกับร่างปีศาจขนาดใหญ่ที่เขาทำขณะที่โจมตีผนึกภายใต้เมืองทหารรับจ้าง สายตานั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวในตอนนั้น
ม้วนกระดาษของเฉียงซ่งลอยไปอย่างเงียบเบื้องหน้าของจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิม พวกเขาทุกคนต่างก็แสดงออกด้วยสีหน้าไม่น่าดูและไม่มีใครที่จะหยิบออกไป
จิตวิญญาณราชันย์ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบกับเรื่องนี้ ทำไมเราไม่คุยกันเรื่องนี้หลังจากที่เจี้ยนเฉินกลับมา ? ในตอนนี้ ก็มีเสียงดังออกมาจาก มันเป็นเสียงจากซ่างกวนมู่เอ๋อจากเกาะสามเซียน นางยังคงถือพิณและยืนอยู่อย่างเรียบง่ายกลางอากาศ
ข้าจะคุยกับเจี้ยนเฉินหากว่าเขาอยู่ เนื่องจากเขายังคงบ่มเพาะอยู่และยังเป็นคนที่ตัดสามารถตัดสินใจเรื่องอาณาเขตได้ มันก็เหมือนกับที่ข้าคุยกับเจ้า จิตวิญญาณราชันย์กล่าว
จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมของทั้งสี่เผ่าพันธุ์มีใบหน้าที่ไม่น่ามอง พวกเขาไม่มีอำนาจที่จะคุยอะไรกับจิตวิญญาณราชันย์ แม้ว่าจะเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
ผู้ล่ามักจะล่าสิ่งที่อ่อนแอกว่านี่เป็นกฏของการเอาชีวิตรอด หากจิตวิญญาณราชันย์วางแผนที่จะทำสงครามกับพวกเขาและลงมืออย่างไร้ปราณี จิตวิญญาณราชันย์อาจจะลงมือฆ่าพวกเขาหากว่าเขาไม่พอใจในระหว่างการเจรจา
ท้ายที่สุดแล้วมีคนผู้เดียวที่สามารถยืนได้อย่างเท่าเทียมกับจิตวิญญาณราชันย์ หากจิตวิญญาณราชันย์ต้องการลงมือกับพวกเขาจริง ๆ มันจะมีแต่ความตายเท่านั้น แม้แต่ซ่างกวนมู่เอ๋อก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงโชคชะตานั้นได้
เช่นเดียวกับที่จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมของทั้งสี่เผ่าพันธุ์ไม่ทราบว่าต้องทำอะไร ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ดังจากนอกโลกเข้ามา
เฉินเจี้ยน ทำไมเจ้าไม่รอให้ข้าออกจากการบ่มเพาะก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องดินแดน ? โลกของเจ้าก็อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาหลายปีจนนับไม่ถ้วน มันต้องรีบขนาดนี้เลยหรือ ?
เจี้ยนเฉิน
นั่นเจี้ยนเฉิน นี่เป็นเสียงของเขา
เจี้ยนเฉิน ในที่สุดเจ้าก็พูดออกมา เขายังคงสนใจทวีปเทียนหยวน…
เมื่อเสียงเจี้ยนเฉินดังขึ้น จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมทุกคนจากทั้งสี่เผ่าพันธุ์ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พวกเขาก็โล่งใจเช่นกัน เจี้ยนเฉินดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่พวกเขาพึ่งพิงเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือและยังรวมไปถึงความมั่นใจ เจี้ยนเฉินได้กลายเป็นคนที่พวกเขาต้องพึ่งพาในการเผชิญหน้ากับจิตวิญญาณราชันย์
The Spiritking looked towards outer space, and his eyes shone. He said emotionlessly, “Jian Chen, if you remain in seclusion for a thousand years, do we have to wait that long as well? Have you gone into seclusion now so that you can have greater bargaining chips in future negotiations?”
จิตวิญญาณราชันย์มองไปที่นอกอวกาศและดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เขาพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า เจี้ยนเฉิน หากเจ้ายังคงบ่มเพาะอีกสักพันปี เรายังต้องรอเจ้าอยู่หรือไม่ ? ตอนนี้เจ้าใช้การปิดตัวบ่มเพาะเป็นข้ออ้างเพื่อเลื่อนการเจรจาออกไปใช่หรือไม่ ?
มันไม่นานถึงพันปี ข้าจะออกในมาในอีกไม่ถึง 10 ปี เฉินเจี้ยน ข้าเข้าใจเจ้าและเจ้าก็เข้าใจข้าเช่นกัน ไม่ว่าข้าจะมีพลังมากเพียงใด มันก็ไม่ส่งผลต่อการเจรจา มันเป็นเพราะคนของเจ้า เราสามารถหยุดวิกฤติในครั้งนี้ได้ การเสียสละอย่างกล้าหาญของพวกเขาได้รับความชื่นชมจากข้าและข้าก็จะช่วยเหลือพวกเขา ทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงและให้พวกเขาพักผ่อนได้อย่างสงบ นี่เป็นคำสาบานของข้าต่อเจ้าเช่นเดียวกับผู้คนของเจ้าซึ่งได้สละชีวิตอย่างกล้าหาญ
มีแสงไฟวาบผ่านดวงตาของจิตวิญญาณราชันย์ เขากล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะรอเจ้าอีก 10 ปี ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
ดังนั้นจิตวิญญาณราชันย์ก็กลับเข้าสู่โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งพร้อมด้วยจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมของเขา เมื่อเขาพูดว่าพวกเขารู้จักกันในปัจจุบัน ไม่มีใครเข้าใจถึงนัยยะ ความหมายของมันลึกซึ้งมากจนมีเพียงเขาและเจี้ยนเฉินเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้
จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากทั้งสี่เผ่าพันธุ์ต่างก็โล่งใจเมื่อเห็นจิตวิญญาณราชันย์นำคนของเขากลับสู่โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง พวกเขาก็สงบลงอย่างสมบูรณ์ พวกเขารู้สึกเหมือนกับหายใจไม่ออกเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับจิตวิญญาณราชันย์ก่อนหน้านี้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตา 8 ปีก็ผ่านไป ตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินและวิญญาณราชันย์ตกลงเรื่องเวลา 10 ปี
เป็นเวลา 8 ปีแล้วที่เจี้ยนเฉินปิดตัวบ่มเพาะ
18 ปีเป็นเวลานานสำหรับคนธรรมดา มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กทารกที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่สำหรับจอมยุทธขอบเขตเซียนและขอบเขตดั้งเดิม เวลา 18 ปีมันเป็นเวลาเพียงสั้น ๆ
แม้ว่าเมฆสีแดงเลือดจะยังคงปรากฏอยู่ แต่มันก็หดตัวในระดับที่มองเห็นด้วยตาเปล่าและเหลือน้อยกว่าหนึ่งในสิบของขนาดก่อนหน้านี้ พลังงานที่ปล่อยออกมาจากก้อนเมฆนั้นอ่อนแออย่างมากในขณะนี้
เจี้ยนเฉินบ่มเพาะอยู่ภายในเมฆ เม็ดพลังบรรพกาลของเขาก็มีถึงขีดจำกัดหลังจากที่ดูดซับมาถึง 18 ปี เขามาถึงขีดจำกัดของร่างโกลาหลขั้นที่ 8
ในเวลานี้ ร่างกายของเจี้ยนเฉินก็กระตุกทันที เมื่อเขาขัดเกลาพลังบริสุทธิ์จากเมฆ ในที่สุดเม็ดพลังบรรพกาลของเขาก็ก้าวผ่านขีดจำกัด มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ