ตอนที่ 69 ภูเขามิอาจวัดความสูงต่ำ เซียนสถิตย่อมศักดิ์สิทธิ์
“ปัง ! ”
ขณะที่มังกรปราณอันแข็งแกร่งและมังกรกระบี่อันงดงามพุ่งทะยานขึ้นไปพร้อมพลังฟ้าดินที่อัดแน่นอยู่ภายใน
เหมือนกับว่าระฆังสำริดที่ถูกปกคลุมด้วยลำแสง ที่ลอยอยู่เหนือตำหนักไท่เสวียนจะรับรู้ได้
ทันใดนั้นแสงจากสัญลักษณ์โบราณมากมายที่เปล่งประกายอยู่รอบ ๆ ระฆังสำริดก็เข้มข้นขึ้น ราวกับฝนดาวตกได้รายล้อมรอบระฆังสำริดเอาไว้
จากนั้นระฆังสำริดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พร้อมส่งเสียงน่าสะพรึงกลัวขึ้นอีกครั้ง
ก่อนภาพที่มิมีผู้ใดคาดคิดจะปรากฏขึ้น
ทั้งมังกรปราณอันแข็งแกร่งและมังกรกระบี่อันงดงาม ต่างพุ่งเข้าชนอาวุธอัปมงคลนั้นอย่างมิมีสิ่งใดขวางกั้น
“ตูม ! ”
“ตูม ! ”
ภายในเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ มังกรปราณและมังกรกระบี่ต่างพุ่งเข้าชนระฆังสำริดพร้อม ๆ กัน
ทันทีที่เสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นกลางท้องนภา ระฆังสำริดที่ลอยอยู่บนอากาศพลันสั่นสะเทือน เกิดประกายไฟพาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนไปทั่วสารทิศราวกับฝนดาวตก
“ตูม ! ”
ทันใดนั้นคลื่นสะท้อนพลังทั้งสองสายก็กระเพื่อมในอากาศไปทั่วทั้งแปดทิศ พลังฟ้าดินอันรุนแรงและน่ากลัวพุ่งไปอย่างไร้ทิศทาง ดูเหมือนท้องฟ้าเหนือเขาไท่เสวียนราวกับจะพังทลายลงมา
พลังแห่งการทำลายล้างแผ่ซ่านออกไป เกิดเป็นประกายไฟเจิดจ้า พลังแห่งความมืดพวยพุ่งทะยานเต็มท้องฟ้า ราวกับวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง
คนของทั้งสองสำนักที่ได้เห็นภาพอันน่ากลัวนี้ ต่างก็หวาดกลัวจนขนลุกขนชัน
“น่ากลัว ! ”
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”
แต่ในตอนนั้นเองที่เจ้าสำนักรวมถึงผู้อาวุโสของทั้งสองสำนัก ต่างก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ต้องบอกว่าทั้งค่ายกลมังกรไท่เสวียนและค่ายกลยอดกระบี่จื่อชิง ล้วนแต่เป็นค่ายกลสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสองสำนัก ทว่าระฆังสำริดกลับมิได้ตอบโต้แต่อย่างใด
เพียงแค่ลอยอยู่ในอากาศปล่อยให้ค่ายกลสังหารของทั้งสองสำนักโจมตีอยู่อย่างนั้น
ทุกคนต่างรู้ดีว่า มิต้องเป็นถึงอาวุธเทพจำแลงในตำนาน แม้แต่สมบัติวิญญาณที่คุณภาพสูงก็ล้วนแต่มีสัญชาตญาณของตนเอง
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใต้ตำหนักไท่เสวียน การที่ตราประทับไท่เสวียนพุ่งโจมตีระฆังสำริดนั้น ถือเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี
เช่นนั้นอาวุธเทพจำแลงในตำนานเกรงว่าคงมิได้มีเพียงแค่สัญชาตญาณของตนเองเท่านั้น แต่จะกลายเป็นจิตวิญญาณอาวุธ
คัมภีร์โบราณบันทึกไว้ว่า จิตวิญญาณอาวุธธรรมดาเทียบเคียงได้กับเครื่องรางกำเนิดจากฟ้าดิน มีสัญชาตญาณและความคิดของตนเอง
แน่นอนว่าจิตวิญญาณอาวุธก็มีทั้งดีและร้าย
จิตวิญญาณอาวุธจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม รวมทั้งนิสัยและจิตใจของเจ้าของก็มีส่วนอย่างมากเช่นกัน
ระฆังสำริดใบนี้กำเนิดมาจากดินแดนอันตราย ดูก็รู้แล้วว่าจิตวิญญาณอาวุธชิ้นนี้จะต้องเป็นจิตวิญญาณร้ายอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อระฆังสำริดใบนี้มิได้ทำการตอบโต้ใด ๆ จึงทำให้เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักรับรู้ได้ถึงปัญหานี้ทันที
สวีฉิงเทียนมีท่าทางเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนที่อยู่มิไกลนัก “พี่เหอ นี่พวกเราช่วยส่งเสริมจิตวิญญาณร้ายไปหรือเปล่า ? ”
นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วแน่น เม้มริมฝีปากเล็กน้อย พลางพยักหน้ายอมรับ
“ก่อนหน้านี้พวกเราสองคนประมาทเกินไป นี่เป็นอาวุธเทพจำแลงในตำนาน อีกทั้งยังกำเนิดขึ้นในดินแดนอันตราย จิตวิญญาณอาวุธต้องมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเป็นธรรมดา”
สวีฉิงเทียนเอ่ยอย่างครุ่นคิด “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ผู้อาวุโสที่ผนึกอาวุธอัปมงคลนี้ คงมิได้ผนึกเพียงแค่ร่างแต่ยังผนึกจิตวิญญาณอาวุธเอาไว้ด้วย ดูจากปรากฏการณ์เมื่อครู่แล้วเหมือนว่าจิตวิญญาณอาวุธจะยังมิได้ถูกปลดผนึกจนหมด”
“ขนาดจิตวิญญาณอาวุธยังมิถูกปลดผนึกยังน่ากลัวเพียงนี้ แต่หากจิตวิญญาณอาวุธถูกปลดผนึกสมบูรณ์ เกรงว่าพลังของมันคงเพิ่มขึ้นทบทวีหลายเท่าเป็นแน่”
นักพรตฉางเสวียนอดมิได้ที่จะถอดถอนใจออกมา “เมื่อถึงเวลานั้นหากมิอาจสะกดเอาไว้ได้ เกรงว่าพวกเราคงได้ล้มตายกันในคืนนี้ และหลังจากอาวุธสังหารชิ้นนี้หลุดออกจากค่ายกลป้องกันภูผาได้ ทั่วทั้งจงหยวนเกรงว่าคงเดือดร้อนไปทั่วทุกย่อมหญ้าเป็นแน่”
สวีฉิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย และหลังจากลังเลเล็กน้อยจึงเอ่ยถามว่า “พี่เหอ บรรพจารย์ท่านนั้นของพวกท่านจะยื่นมือมาช่วยจริงหรือไม่ ? ”
นักพรตฉางเสวียนนิ่งอึ้งไปทันทีหลังจากได้ยินคำถาม
ความจริงแล้วเขาเองก็มิมั่นใจเช่นกัน
‘บุคคลที่อยู่ระดับนั้นมีความเป็นไปได้ที่ภายนอกจะดูเป็นคนสุภาพ แต่ความจริงแล้วอาจเป็นคนเย็นชาไร้ความเมตตา ต่อให้จะมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแล้วอย่างไรเล่า ? ’
‘ถ้าเขาเลือกที่จะมิช่วยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แล้วใครจะทำอะไรเขาได้ ? ’
‘แต่เขาเคยมอบโชคมากมายให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเจริญรุ่งเรืองต่อไป’
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็ยึดมั่นในความคิดของตนเองอีกครั้ง
‘ท่านบรรพจารย์เย่ต้องยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอน ! ’
‘อืม ! ’
‘เขาต้องมาช่วยแน่ ! ’
“พี่สวี อดทนรอคอยสักประเดี๋ยว ท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะต้องมาช่วยเราอย่างแน่นอน ! ”
นักพรตฉางเสวียนมองสวีฉิงเทียน พลางเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่
สวีฉิงเทียนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
“เปรี๊ยะ ! ”
ทว่าในตอนนั้นเองท้องฟ้าเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ในที่สุดก็ค่อย ๆ สงบลงอีกครั้ง
แต่มิกี่อึดใจต่อมาสัญลักษณ์มากมายที่ปกคลุมระฆังสำริดเอาไว้ก็กลายเป็นฝนดาวตก ล่องลอยเคว้งคว้างบนท้องฟ้า
และในวินาทีต่อมา พลังอันน่ากลัวของระฆังสำริดก็ได้แผ่กระจายออกมาราวกับเขื่อนพังทลาย กดดันลงมาสู่เบื้องล่าง
“แย่แล้ว ! ”
สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเปลี่ยนไปทันที หลังจากอุทานจบก็พุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้า
ขณะเดียวกัน สวีฉิงเทียนและเหล่าผู้ที่บรรลุขั้นเทวาของทั้งสองสำนัก ต่างก็พากันพุ่งตัวตามไป
ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขั้นเทวาต่างก็เพ่งสมาธิ และพุ่งตัวขึ้นไปหลายสิบจั้ง ร่างจำแลงของพวกเขาเปล่งประกาย ราวกับยักษ์ทองคำที่ยืนตระหง่านเพื่อปกป้องศิษย์ของตนที่อยู่ด้านหลัง
และนี่ก็คือผู้แข็งแกร่งขั้นเทวา !
เมื่อร่างจำแลงปรากฏจะมีพลังสามารถย้ายภูเขา ถมทะเล หายตัวได้ รวมทั้งต้านทานพลังที่มองมิเห็นได้ด้วย
“ฮ่า ๆ ในที่สุดข้าก็ปลดพันธนาการได้แล้ว”
ฉับพลันก็บังเกิดเสียงที่เย็นชาดังออกมาจากระฆังสำริดกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
เสียงนี้เต็มไปด้วยพลังมาร ทั้งยังสามารถส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ได้อีกด้วย ช่างน่าพิศวงยิ่ง
ชั่วอึดใจก็มีร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นรอบ ๆ ระฆังสำริด เปลวเพลิงสีดำแผดเผาไปทั่วร่าง พลังแห่งความเคียดแค้นรุนแรงแผ่ออกมา
“เฮอะ แค่ผู้ฝึกตนขั้นเทวามิกี่คน คิดว่าจะผนึกข้าได้อีกคราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ร่างเงาสีดำสั่นไหวเล็กน้อย พร้อมเปล่งเสียงอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
หลังสิ้นเสียง ระฆังสำริดที่ลอยอยู่เหนือตำหนักไท่เสวียนก็สั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง พร้อมเสียงอันน่ากลัวดังกึกก้อง อากาศโดยรอบสั่นสะเทือน แม้แต่ร่างจำแลงของพวกเขาก็พังทลาย
ทันใดนั้นเหล่านักพรตฉางเสวียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นเทา ก่อนที่จะมีเลือดกำเดาไหลออกมาทางจมูก จากนั้นร่างก็ตกลงกระแทกสู่พื้น
เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักเห็นดังนั้นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยเอาไว้ได้ทัน จึงทำให้พวกเขาลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย
สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะส่ายหน้าและกล่าวว่า “บัดนี้คงมีเพียงท่านบรรพจารย์เย่เท่านั้น ที่จะช่วยพวกเราได้”
“โอ้โห คาดมิถึงว่าที่นี่จะมีพลังแห่งโชคมากมายถึงเพียงนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของข้าจริง ๆ ”
ขณะนั้นก็มีเสียงอันเย็นชาของวิญญาณอาวุธดังขึ้นอีกครั้ง “แต่ตอนนี้ข้าอยากจะลิ้มรสเลือดสด ๆ เสียก่อน”
วินาทีต่อมา วิญญาณอาวุธในร่างที่มีเปลวไฟสีดำแผดเผา ก็ได้เหาะลงมาตรงจุดที่ทุกคนยืนอยู่ พร้อมกับถือระฆังสำริดอันงดงามราวกับมรกตมาด้วย
นอกจากนั้นยังนำพาพลังกดดันอันน่ากลัวแผ่ลงสู่เบื้องล่างราวกับภูผากดทับ
ขณะที่ทุกคนในที่นั้นรู้สึกราวกับว่าร่างกายและวิญญาณกำลังจะแตกสลาย
ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนหลี่ฉางหมิงที่คลานอยู่บนพื้น ก็ได้ตะโกนออกมาดังกึกก้อง “ขอท่านบรรพจารย์เย่ได้โปรดช่วยเหลือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วยเถอะขอรับ ! ”
ทันใดนั้นทั้งเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์นับร้อยคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างก็ตะโกนขึ้นมาจนสุดเสียงเช่นกัน “ขอท่านบรรพจารย์เย่ได้โปรดช่วยเหลือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วยขอรับ ! ”
จนเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งเขาไท่เสวียน
“ฮ่าฮ่า ยังมิยอมแพ้อีกงั้นหรือ หรือว่าที่นี่ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งเหนือขั้นมหายานอยู่อีก……”
วิญญาณอาวุธหัวเราะขึ้นด้วยเสียงแหลมเล็ก แต่ขณะที่ยังเอ่ยมิทันจบประโยคนั้น ก็มีไอพลังอันรุนแรงพวยพุ่งออกมาจากด้านในของตำหนักไท่เสวียน
“ภูเขามิอาจวัดความสูงต่ำ เซียนสถิตย่อมศักดิ์สิทธิ์ ธารามิอาจวัดความตื้นลึก มังกรจักสถิตอยู่ ณ วิญญาณ…”
ขณะเดียวกันก็มีเสียงลึกลับดังขึ้นมา
ราวกับเสียงท่องบทสวดของนักบวช เสียงขับขานของเทพเซียน
พร้อมกันนั้นพลังที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ก็ได้ทำลายพลังที่กำลังกดทับทุกคนอยู่จนมลายหายไปในชั่วพริบตา
เพียงชั่วอึดใจก็ปรากฎภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงที่ใส่ม้วนภาพเรียบร้อย ลอยออกมาจากตำหนักไท่เสวียน
“นี่… นี่มันเป็นประโยคที่อยู่บนภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงนี่นา ! ”
สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเปลี่ยนไปทันทีที่ได้เห็นภาพนี้ พลันเอ่ยออกมาอย่างยินดี “หรือท่านเย่จะรู้อยู่แล้วว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จะต้องเจออุปสรรคใหญ่หลวงในครั้งนี้ ? ”
“ภาพวาดนี่หมายถึงอะไรเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สวีฉิงเทียนเอ่ยถามออกมาอย่างตกตะลึง “เพียงแค่ภาพวาดภาพเดียวแต่กลับแฝงพลังอันน่าเกรงขามได้ถึงเพียงนี้ หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่ท่านนั้นจะมาจากสวรรค์จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ! ”