ตอนที่ 72 ทำดีย่อมได้ดี
ชั่วพริบตาชายชราชุดดำลึกลับก็ปรากฏตัวบนถนนว่างเปล่าเส้นหนึ่งราวกับวิญญาณร้าย
และตรงหน้าของเขาตอนนี้เป็นที่ตั้งร้านขายของชำร้านหนึ่ง
ร้านของชำฉางชิง
แต่ทันทีที่ชายชราชุดดำปรากฏตัวบนถนนเส้นนี้ สีหน้ายินดีในตอนแรกกลับมลายหายไป เหลือไว้เพียงคิ้วที่ขมวดแน่น ใบหน้าซูบผอมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
‘เป็นไปมิได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าดินปกติจะแฝงคลื่นปราณแห่งเต๋าได้เพียงรูปแบบเดียว เหตุใดที่นี่จึงมีคลื่นปราณที่บริสุทธิ์มากมายเช่นนี้ได้ นี่มันน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
ชายชราชุดดำตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ตอนที่เขามาถึงถนนสายนี้ เขาก็มิกล้าที่จะก้าวต่ออีกแม้เพียงก้าวเดียว
แม้เขาจะมีฝีมือจนเรียกได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในระดับสูงของจงหยวน แต่ร้านของชำตรงหน้านั้นช่างพิสดารยิ่ง
หากคลื่นปราณที่แผ่ออกมามีเพียงรูปแบบเดียว เขาคงจะเดินเข้าไปอย่างมิลังเล
แต่คลื่นปราณที่มากมายทั้งยังบริสุทธิ์เช่นนี้ หากภายในมีอันตรายใดซ่อนอยู่ เกรงว่าคงยากที่เขาจะรับมือได้ ดีมิดีอาจจะกลับออกมามิได้อีกก็เป็นได้
คิดถึงตรงนี้ ชายชราชุดดำก็พึมพำกับตัวเองว่า ‘ที่แห่งนี่เป็นที่เช่นไรกันแน่ เหตุใดจึงมีคลื่นปราณที่อันตรายถึงเพียงนี้กัน แล้วเหตุใดทั้งที่มีอันตรายเพียงนี้ยังมีชาวบ้านธรรมดาอาศัยอยู่มากมายเช่นนี้ได้ อีกทั้งดูราวกับมิได้รู้สึกถึงอันตรายใด ๆ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่ารากวิญญาณของทุกคนที่นี่จะพัฒนาขึ้น เพราะซึมซับคลื่นปราณนี้เข้าไปอีกด้วย’
‘ทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ …’
ชายชราชุดดำพึมพำเพียงเท่านั้นก่อนที่เสียงจะเงียบไป พลันใบหน้าซูบผอมก็ฉายแววยินดีออกมา
ชาวบ้านที่นี่มิได้รู้สึกถึงผลกระทบใด ๆ หรือว่าเขาเองก็จะมิได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ?
มิใช่สิ !
หากมียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งสร้างผนึกต้องห้ามหรือค่ายกลสังหาร ที่มีผลเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้นเอาไว้ล่ะ ?
หากเขาบังเอิญไปกระตุ้นผนึกต้องห้ามหรือค่ายกลสังหารเข้า เช่นนั้นก็คงมิมีวันได้กลับออกมาอีกเป็นแน่
อาจเป็นเช่นที่เขาคิดก็ได้ !
หลังครุ่นคิดอยู่นาน ชายชราชุดดำก็ชักเท้าที่ก้าวออกไปกลับคืนมาอย่างลังเล
แต่ภายในใจกลับมิอยากจะจากไปเช่นนี้
ชายชราชุดดำหยุดฝีเท้าอยู่บนถนนเช่นนั้น สายตามองไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้แบกเก้าอี้นอนตัวหนึ่งออกมาหน้าประตูร้าน เพื่อเอาไว้งีบหลับเวลาเฝ้าร้านตามปกติ
ขณะเขาวางเก้าอี้นอนตรงหน้าประตูร้าน ก็บังเอิญสังเกตเห็นชายชราชุดดำเข้าพอดี
แต่เขาเพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น มิได้ใส่ใจแต่อย่างใด
ก่อนจะทิ้งตัวลงรับแสงแดดอุ่น ๆ บนเก้าอี้นอนอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะหลับไปโดยมิรู้ตัว
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม เย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เขาบิดขี้เกียจไปมาพร้อมกับเปิดปากหาวอย่างคนเพิ่งตื่นนอน ก่อนจะเหลือบไปเห็นชายชราชุดดำที่ยังคงยืนอยู่บนถนนที่เดิม
‘ชายชราผู้นี้ต้องการสิ่งใดกัน ? ’
‘มาหาคนหรือเปล่านะ ? ’
‘หรือว่าต้องการจะซื้อของในร้าน แต่มิมีเงินติดตัวมา ? ’
หลังจากสำรวจชายชราชุดดำแล้ว เย่ฉางชิงก็เริ่มรู้สึกลังเล
คนอายุมากยืนอยู่กลางแดดนาน ๆ ย่อมมิใช่เรื่องดี หากเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำเยี่ยงไร อากาศเช่นนี้อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เชียวนะ !
‘โบราณว่าไว้คนทำดีย่อมได้ดี คนดีเเม้โชคลาภจะยังมามิถึง เเต่ภัยอันตรายก็มิมากล้ำกราย’
เย่ฉางชิงลุกขึ้นพูดกับตัวเอง ‘ข้ามาอยู่ที่นี่ทำความดีไปตั้งมากมาย จะทำอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป’
เอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าของเย่ฉางชิงก็ได้แต่ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมา
หากเป็นในนิยายแฟนตาซี ป่านนี้เขาคงได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว หรือไม่ก็อยู่ระหว่างทางฝึกฝน
แต่จวบจนบัดนี้เขาก็ยังคงเป็นได้แค่คนธรรมดา ที่มิสามารถบำเพ็ญเพียรได้อยู่ดี
ทำให้บางครั้งเขาต้องคอยเตือนตัวเองให้หมั่นทำความดี จะได้เป็นการสะสมความดีและขจัดภัยอันตรายได้
เย่ฉางชิงส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาชายชราชุดดำ
“ท่านผู้เฒ่า มิทราบว่าท่านมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใดหรือขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามชายชราชุดดำพร้อมรอยยิ้มและท่าทางที่สุภาพ
ชายชราชุดดำมองเย่ฉางชิงอย่างครุ่นคิด แล้วก็ต้องขมวดคิ้วออกมา พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ชายชราชุดดำที่คิดว่าตบะบำเพ็ญเพียรเช่นเขานั้น ทั่วทั้งจงหยวนมีเพียงแค่มิกี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา
แต่ว่าเขากลับมิอาจสัมผัสได้ถึงตบะการบำเพ็ญเพียร รวมทั้งรากวิญญาณจากชายหนุ่มที่ดูสุภาพตรงหน้า !
สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกบุรุษที่มีลักษณะเหมือนชายหนุ่มตรงหน้า มีตบะบำเพ็ญเพียรที่สูงล้ำ เช่นนั้นเท่ากับว่าเขาหาใช่ชายหนุ่มธรรมดาทั่วไปไม่ เป็นไปได้ว่าอาจเป็นผู้อาวุโสที่มีตบะแก่กล้าและแปลงโฉมมาก็เป็นได้
อย่างที่สองก็คือชายหนุ่มตรงหน้ามิมีตบะบำเพ็ญเพียร รวมถึงมิมีรากวิญญาณอีกด้วย
แต่สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่มีรากวิญญาณตั้งแต่กำเนิด เพียงแต่จะมีคุณภาพแตกต่างกันไปเท่านั้น
สามารถเร้นกายในดินแดนที่เต็มไปด้วยคลื่นปราณมากมายเช่นนี้ได้ แสดงว่าเขาต้องเป็นผู้อาวุโสที่มีตบะแก่กล้าปลอมตัวมาอย่างแน่นอน
คิดถึงตรงนี้ชายชราชุดดำจึงแสดงท่าทีนอบน้อมทันที
“หนานกงเสวียนจี คารวะผู้อาวุโส”
ชายชราชุดดำประสานมือและโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิงอย่างนอบน้อม
‘หนานกงเสวียนจีเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ผู้อาวุโสเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
เย่ฉางชิงผงะเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำเรียกขานของหนานกงเสวียนจี
‘หรือว่าผู้เฒ่าคนนี้จะเป็นผู้ที่ชื่นชอบอักษรพู่กันหรือเปล่านะ ? ’
‘ผู้เฒ่าหลายคนที่มาก่อนหน้านี้ หลังได้เห็นภาพอักษรพู่กันและภาพวาดของข้าต่างก็เรียกว่าผู้อาวุโสทั้งนั้น’
‘การที่ผู้เฒ่าผู้นี้เอ่ยเรียกข้าว่าผู้อาวุโสตั้งแต่แรกเจอ แสดงว่าผู้เฒ่าท่านนี้คงจะรู้จักเหอฉางเสวียนหรือหลิวฉางเหอเป็นแน่ จึงได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสตั้งแต่แรกพบเช่นนี้’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
เย่ฉางชิงคิดได้ดังนั้นก็อดที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมามิได้
‘เหตุใดหนานกงเสวียนจีต้องยืนอยู่ด้านนอก มิเข้ามาหาข้าเล่า ? ’
“ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็เข้ามาดื่มชาด้านในก่อนเถิด ต้องการสิ่งใดหรือว่ามีสิ่งไหนให้ข้าชี้แนะก็ขอให้บอกมาได้เลย”
แม้ในใจเย่ฉางชิงจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ยังเอ่ยออกมาตามมารยาท
ทันทีที่ได้ยินสีหน้าของหนานกงเสวียนจีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘ยอดคน ! ’
‘สมแล้วที่เป็นยอดคน ! ’
‘จิตใจที่มีคุณธรรมเช่นนี้ต่อให้เขาจะบำเพ็ญเพียรไปอีกหลายหมื่นปี ก็คงมิอาจทำได้’
‘เพียงพบกันโดยบังเอิญแต่กลับมอบโชคใหญ่ให้ ทั่วทั้งแผ่นดินนี้จะมีสักกี่คนที่ทำได้ ? ’
“เช่นนั้นคงต้องขอรบกวนผู้อาวุโสด้วยขอรับ”
หนานกงเสวียนจีโค้งคำนับอีกครั้งด้วยท่าทางเลื่อมใส
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเอามือไพล่หลังและเดินไปอย่างมิรีบร้อน
หนานกงเสวียนจีเดินตามหลังมาอย่างระมัดระวัง พลางเหลือบมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าเป็นระยะ
มินาน เย่ฉางชิงก็พาหนานกงเสวียนจีมาถึงหน้าประตูร้านขายของชำ
ขณะที่เขาเหลือบมองเข้าไปด้านในของร้านขายของชำ ก็มีท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
‘ใช่แน่แล้ว ! ’
‘คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดปรมาจารย์อย่างแน่นอน ! ’