ตอนที่ 80 เขาได้บอกใบ้ข้า
ทันทีที่เห็นสิ่งที่ปกคลุมหนานกงเสวียนจีเอาไว้ เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักต่างก็เพ่งสมาธิจับจ้องไปยังหนานกงเสวียนจีด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี
สายตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่หนานกงเสวียนจี ราวกับกลัวว่าจะพลาดบางอย่างไป
เพราะการที่จะได้เห็นผู้ที่มีตบะแก่กล้าเช่นหนานกงเสวียนจีบรรลุขั้นนั้นได้ ก็เปรียบเสมือนโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่อาจมีเพียงครั้งเดียวก็เป็นได้
โดยเฉพาะเจ้าสำนักอย่างนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนแล้ว การที่ได้เห็นภาพตรงหน้าย่อมส่งผลต่อพวกเขามากกว่าที่คนอื่น ๆ จะเทียบเคียงได้
ด้วยตบะบารมีของพวกเขาในตอนนี้ ขอเพียงพบโอกาสก็จะสามารถบรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรได้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
“เปรี้ยง ! ”
ปรากฏการณ์ตรงหน้าก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น !
รอบกายของหนานกงเสวียนจีเปล่งแสงหลากหลายสีสันออกมา ผมและอาภรณ์ปลิวไสวพริ้วตามสายลม
จากนั้นลมปราณมหาศาลก็ทะลักทลายออกมาจากร่างของหนานกงเสวียนจี เพียงพริบตาก็ได้แผ่กระจายจนปกคลุมไปทั่วทั้งลานกว้าง
ขณะเดียวกันด้านหลังของเขาก็เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น และแผ่ขยายขอบเขตกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงพริบตา ขณะที่แรงสั่นสะเทือนขยายไปไกลหลายสิบจั้ง กระดานหมากล้อมหลากหลายสีสันด้านหลังของเขาก็ปรากฏชัดเจนขึ้นสู่สายตาของทุกคน
“ใช่แล้ว ! ”
“กระดานหมากล้อมนี่เอง ! ”
“สูด ! ”
ทันทีที่เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักเห็นกระดานหมากล้อมด้านหลังของหนานกงเสวียนจี ต่างก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เพราะขั้นที่เหนือกว่าแดนเทวาก็คือระดับถ้ำสวรรค์
ที่เรียกว่าระดับถ้ำสวรรค์ เพราะขั้นนี้จะสำแดงพรสวรรค์อันบริสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรออกมา หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า รูปบริสุทธิ์
หนานกงเสวียนจีฝึกฝนและบำเพ็ญเพียรสายหมากล้อมมาตั้งแต่ต้น มิต้องบอกก็รู้ว่ารูปบริสุทธิ์ของเขาย่อมต้องเป็นกระดานหมากล้อมอย่างแน่นอน ซึ่งในระหว่างการควบกลั่นรูปบริสุทธิ์นี้ เรียกว่าระดับถ้ำสวรรค์
แต่หากควบกลั่นรูปบริสุทธิ์สำเร็จ ก็เท่ากับว่าเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับขั้นใหม่ในการบำเพ็ญเพียร
ระดับมหายาน !
หากบรรลุจนสามารถเข้าสู่ระดับมหายานได้ นั่นหมายความว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถขึ้นสู่สวรรค์ได้แล้ว
ขณะเดียวกัน หากบรรลุจนอยู่ในระดับนี้ได้ เกรงว่าบนโลกใบนี้คงมิมีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกแล้ว
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด หนานกงเสวียนจีคงเกิดการตรัสรู้ และต้องการจะควบกลั่นรูปบริสุทธิ์ของตนเองให้สำเร็จ และก้าวเข้าสู่ระดับมหายาน
แต่ที่ผ่านมามีกี่คนกันที่สามารถควบกลั่นรูปบริสุทธิ์ของตนได้สำเร็จ ?
และมีคนอีกมิน้อยที่ติดอยู่แค่ระดับนี้จวบจนเป็นเถ้าธุลี ?
ช่างยากยิ่งนัก !
“เปรี้ยง ! ”
ขณะนั้นเองปรากฏการณ์ตรงหน้าก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ท้องฟ้าทั่วบริเวณมืดลงฉับพลัน จนแทบจะมองมิเห็นสิ่งใด
มิกี่อึดใจต่อมาหมู่ดาวบนท้องนภาก็เปล่งแสงเจิดจ้า ส่องให้บริเวณนั้นสว่างไสวขึ้นทันใด
ขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รับรู้ได้ถึงพลังเต๋าที่กำลังปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้เวลานี้ภายในร่างกายแต่ละคนรู้สึกสบายราวกับแช่น้ำพุร้อนอยู่ก็มิปาน พลังวิญญาณภายในพลุ่งพล่านขึ้นมา
สีหน้าของพวกเขาต่างเปลี่ยนไปในทันที จิตใจเริ่มสั่นสะท้าน ท่าทางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นี่คือพลังเหนือธรรมชาติของระดับขั้นมหายานเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนผัน รูปบริสุทธิ์ปรากฎ ก่อเกิดโลกของตนเอง !
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเสวียนจีที่เวลานี้เปล่งประกายราวกับรูปปั้นทองคำเป็นตาเดียว มือข้างหนึ่งของเขาถือกระดานหมากล้อมที่ปกคลุมไปด้วยไอพลัง ราวกับเทวดาที่ยืนตระหง่านอยู่บนฟากฟ้า
เหล่าผู้อาวุโสที่เห็นภาพตรงหน้าต่างรู้สึกถึงพลังมหาศาล
ขณะเดียวกันก็รู้สึกเลื่อมใส ศรัทธา จนอยากจะคุกเข่าคารวะเสียให้ได้
ผ่านไปมิถึง 1 เค่อ ขณะที่ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าและตะลึงงันอยู่นั้น หนานกงเสวียนจีที่ถือกระดานหมากล้อมอยู่ข้างหนึ่งคล้ายกำลังเพ่งสมาธิ
ทันใดนั้นหมู่ดาวที่ล่องลอยอยู่บนท้องนภา ก็มีดาวดวงหนึ่งตกลงมาล่องลอยอยู่เบื้องหน้าของหนานกงเสวียนจี
“ฟิ้ว ! ”
“ฟิ้ว ! ”
“ฟิ้ว ! ”
มิกี่อึดใจต่อมาก็มีดวงดาวถึง 5 ดวงลอยวนอยู่รอบกายหนานกงเสวียนจี เปล่งแสงระยิบระยับเจิดจ้า ทั้งยังเต็มไปด้วยรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว
สำหรับนักพรตฉางเสวียนเห็นดังนั้นก็อดคิดมิได้ว่า ‘หมากที่สร้างด้วยดวงดาวพวกนี้ เกรงว่าเพียงแค่ดวงเดียวก็คงทำลายเขาไท่เสวียนได้ภายในพริบตากระมัง’
ดูก็รู้แล้วว่าหมากที่สร้างจากดวงดาวเช่นนี้จะมีพลังที่น่ากลัวแฝงอยู่มากเพียงใด !
แต่บัดนี้ค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีอาวุธเทพจำแลงคอยสนับสนุนอยู่ การจะทำลายเขาไท่เสวียนหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่
นอกจากนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนยังมีภาพไท่เสวียนฉางชิงที่ท่านบรรพจารย์เย่มอบให้อยู่ด้วย
นักพรตฉางเสวียนจึงมั่นใจว่า การที่มีเครื่องรางเหล่านี้อยู่ ต่อให้หนานกงเสวียนจีจะบรรลุขั้นมหายานจริง แต่ก็คงมิอาจทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนลงได้ในพริบตาอย่างแน่นอน
และที่สำคัญท่านบรรพจารย์เย่ยังเร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ
หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เขาจะมิสนใจได้เยี่ยงไรกัน ?
ขณะนั้นเองสวีฉิงเทียนก็หันมาสบตากับนักพรตฉางเสวียน พลางพยักหน้าเล็กน้อย
“ฟิ้ว ! ”
“ฟิ้ว ! ”
“ฟิ้ว ! ”
มินานก็มีดาวอีก 3 ดวงตกลงมา ลอยคว้างอยู่รอบกายหนานกงเสวียนจี เหมือนรูปแบบของกลหมาก
ตอนนั้นเองทุกคนก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น มิว่าจะเป็นพลังเต๋าที่ปกคลุมพวกเขาเอาไว้ หรือลมปราณรอบกายของหนานกงเสวียนจีที่เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา
ให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังจะพังทลาย
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ’
‘หรือว่าตบะของผู้อาวุโสหนานกงเวลานี้ ก็ยังมิอาจควบกลั่นรูปบริสุทธิ์ได้งั้นหรือ ? ’
‘เป็นไปได้ ! ’
ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักต่างก็สบตากันด้วยความงงงวย
หลังจากหนานกงเสวียนจีทำให้ดาวบนฟ้าตกลงมาถึงแปดดวง จากนั้นก็มิมีความเคลื่อนไหวใด ๆ อีก
มิเพียงเท่านั้น พลังเต๋าที่ปกคลุมลานกว้างแห่งนั้นกลับยิ่งปั่นป่วนหนักขึ้น ราวกับหนานว่ากงเสวียนจีกำลังได้รับแรงกดดันอันน่ากลัวอยู่ก็มิปาน
อีกทั้งลมปราณรอบกายของหนานกงเสวียนจีก็ดูรุนแรงมากขึ้น ร่างแปลงทองคำของเขาโอนเอนราวกับจะล้มลง
ผ่านไปครึ่งก้านธูป จู่ ๆ เสียงทอดถอนใจของหนานกงเสวียนจีก็ดังขึ้น
“เฮ้อ ความจริงผู้อาวุโสท่านนั้นก็ได้บอกใบ้ข้าก่อนหน้านี้แล้ว เป็นข้าที่โง่เขลาเกินไป มิได้เข้าใจถึงน้ำใจของท่านผู้อาวุโส”
หนานกงเสวียนจีส่ายศีรษะ พลางยิ้มเยาะให้แก่ตัวเอง “ตอนนั้นข้าเดินหมากได้สูงสุดเพียง 8 ตัว มาบัดนี้ การวางหมากดวงดาว 8 ตัว ก็ยังมิสามารถที่จะควบกลั่นรูปบริสุทธิ์ได้สำเร็จอีก ผู้อาวุโสท่านนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”
สิ้นเสียง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพลันมลายหายไป
ส่วนหนานกงเสวียนจียังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น ใบหน้าซูบผอมดูซีดเซียว ทั้งสีหน้ายังเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์ ทั้งปลดปลง เย้ยหยัน และเสียใจในเวลาเดียวกัน
ทันทีที่เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักได้ยินคำกล่าวของหนานกงเสวียนจี ต่างก็หันมองหน้ากันในทันที
‘ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหนานกงได้พบกับผู้ใดมากันแน่ ? ’
‘ถึงคาดการณ์ได้ว่าผู้อาวุโสหนานกงจะสามารถบรรลุได้หรือไม่’
‘หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็นปรมาจารย์ที่ลงมาจากสวรรค์อีกคนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’