ตอนที่ 95 จ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำบุกจงหยวน
ผู้พิทักษ์ราตรี เฉกเช่นที่นามบอกไว้ คือผู้ที่ลาดตะเวนอยู่แถวชายแดนของจงหยวน เพื่อป้องกันเผ่าอื่น ๆ มิให้มารุกรานดินแดนจงหยวนได้
คนเหล่านี้ล้วนมาจากสำนักบำเพ็ญเพียรที่เลื่องชื่อแห่งจงหยวนทั้งสิ้น
หวงฉีเสวียนนั้นมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางที่อยู่ทางใต้ของจงหยวน เขาจะต้องอยู่เฝ้าที่นี่เป็นเวลาพันปีจึงจะสามารถกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางได้
จากนั้นก็จะมีสำนักบำเพ็ญเพียรอื่น ๆ ส่งผู้แข็งแกร่งคนใหม่มารับช่วงต่ออีกพันปีหมุนเวียนกันไป
เป็นเช่นนี้เรื่อยมา เพียงแต่ผู้พิทักษ์ราตรีจะต้องเตรียมใจว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ
นี่เป็นสิ่งที่ทุกสำนักบำเพ็ญเพียรของจงหยวนต่างรู้ดี
แน่นอนว่าเวลานี้ โลกอยู่ในความสงบ มิใช่ยุคที่เผ่าต่าง ๆ จะช่วงชิงอำนาจกัน
เช่นนั้นนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามในสมัยบรรพกาลเป็นต้นมา จึงมีน้อยมากที่เผ่าอื่นจะบุกโจมตีชายแดน
นั่นจึงหมายความว่าการเป็นผู้พิทักษ์ราตรีหาได้เป็นงานที่อันตรายแต่อย่างใดไม่
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดราชันทมิฬรวมทั้งผู้แข็งแกร่งระดับราชาปีศาจบางคนจากเทือกเขาแดนใต้ จึงสามารถเข้าออกจงหยวนได้
แต่วันนี้กลับต่างออกไป จ้าวปีศาจของเผ่าพยัคฆ์ดำท่านนี้ ต้องการบุกรุกเข้าดินแดนจงหยวน
แม้จะกล่าวว่ายุคสมัยนี้สงบสุข แต่ผู้พิทักษ์ราตรีเช่นหวงฉีเสวียน รวมถึงผู้พิทักษ์ราตรีคนก่อน ล้วนแต่มีปณิธานว่าจะขอปกป้องชายแดนจนตัวตาย
เช่นนั้นแม้เวลานี้จะมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหน้า
แต่หวงฉีเสวียนที่แม้จะมีไอชั่วร้ายหลงเหลืออยู่ภายในร่างกาย ก็มิได้ขลาดกลัวแม้แต่น้อย
เพราะผู้พิทักษ์ราตรีเช่นเขาเปรียบเสมือนโล่ป้องกันให้กับทั้งจงหยวนอยู่
ขณะเดียวกันก็ถือว่าเขาเป็นตัวแทนของผู้บำเพ็ญเพียรแห่งจงหยวน และเป็นความมุ่งมั่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางที่อยู่เบื้องหลังอีกด้วย
“ฟ้าดินคืนสู่สุญตา แปลงเป็นหยินหยาง ! ”
“เคล็ดหยินหยางหมุนเปลี่ยน ! ”
หวงฉีเสวียนตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ประสานมือร่ายเคล็ดวิชาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นลำแสงขาวดำรอบกายเขาก็เพิ่มขึ้นมาก พลังฟ้าดินรอบกายรุนแรงขึ้น จนพลังอันไร้เทียมทานพวยพุ่งไปทุกทิศทาง
มินานรอบกายของหวงฉีเสวียนก็ปรากฏวงแสงขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นสีดำ ด้านหนึ่งเป็นสีขาว ขณะเดียวกันภายในสีดำมีปลาสีขาวแหวกว่ายอยู่ และภายในสีขาวก็มีปลาสีดำแหวกว่ายอยู่เช่นเดียวกัน
พลังปราณทำลายล้างรุนแรงแผ่กระจาย เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นกลางอากาศจนเป็นระลอกคลื่นภายในรัศมีร้อยจั้ง ราวกับกำลังจะแตกสลาย แต่ก็มีลำแสงหนึ่งได้หลุดรอดไปจากนรกแห่งนี้
ต้องบอกว่าเฮยฉางหลิงนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความแตกฉานในวิถีสังหารของเขา ย่อมเหนือกว่าความรู้แจ้งในวิถีหยินหยางของหวงฉีเสวียนมากนัก
“เจ้ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร ข้าขอเตือนเจ้าเป็นคราสุดท้าย อย่าได้จองหองให้มากนัก มิเช่นนั้นอย่าได้โทษที่ข้าทำลายข้อตกลงยาวนานนับล้านปีที่ผ่านมา และสังหารเจ้า ณ ที่แห่งนี้”
ร่างพยัคฆ์ดำของเฮยฉางหลิง จ้องมองหวงฉีเสวียนที่มีใบหน้าซีดขาว เส้นเลือดบนขมับปูดโปน แววตาดุดัน
หวงฉีเสวียนเหงื่อกาฬเย็นเหยียบ เงยหน้าขึ้นแค่นเสียงหัวเราะ “ผู้พิทักษ์ราตรีแห่งแดนใต้เช่นข้า เตรียมตัวตายเอาไว้นานแล้ว ”
“โง่งมสิ้นดี ! ”
เฮยฉางหลิงคำรามเสียงดังลั่น ไอสังหารที่รุนแรงระเบิดออกมารอบกายในพริบตา
“โฮก ! ”
ร่างพยัคฆ์ดำที่ยิ่งใหญ่ราวกับภูผา แหงนหน้าขึ้นท้องฟ้าพร้อมคำรามออกมา
กรงเล็บขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยความบ้าคลั่ง และพลังทำร้ายล้างรุนแรงพุ่งเข้าสู่หวงฉีเสวียนในทันที
แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ แต่หวงฉีเสวียนกลับมิมีทีท่าสะทกสะเทือนแต่อย่างใด
เขายังคงอยู่ในท่าเดิมมิเปลี่ยนแปลง ใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองต้านเอาไว้
“ขวับ ! ”
“ปัง ! ”
ร่างพยัคฆ์ดำตวัดกรงเล็บใส่อีกครั้ง
ขณะที่อยู่ห่างจากวงแสงหยินหยางหลายจั้งนั้น พลังปราณอันรุนแรงของทั้งสองก็ปะทะกันขึ้น จนเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นคลื่นพลังก็ถูกแหวกออกประหนึ่งมีดผ่าเต้าหู้ และพวยพุ่งไปทั่วสารทิศ
วินาทีต่อมาหลังจากเสียงระเบิดอันน่ากลัวดังขึ้น วงแสงขาวดำที่ปกคลุมรอบกายหวงฉีเสวียนพลันแตกสลาย
ก่อนที่ตัวเขาจะมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง มีสภาพย่ำแย่ยิ่งนัก
มินานร่างของเขาก็สั่นสะท้านและทรุดลงไป เพียงครู่เดียวร่างกายก็จมลงไปอยู่ใต้พสุธา
เวลานี้ฟ้าดินกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ด้วยเสียงของเฮยฉางหลิง
เพียงแต่รอบกายของหวงฉีเสวียนกลับปรากฎรอยแยกอันน่ากลัว ขยายไปไกลหลายสิบจั้ง
ส่วนตำแหน่งที่หวงฉีเสวียนอยู่นั้น พื้นดินได้ยุบจนลึกลงไปหลายจั้ง
เป็นภาพที่น่าสยดสยอง จนคนมองอดที่จะขนลุกขนพองมิได้
“คาดมิถึงว่าผู้แข็งแกร่งที่ปกปักษ์แดนใต้ของเผ่ามนุษย์จะมีฝีมือแค่นี้”
“แต่เห็นแก่ข้อตกลงนี้มีมานับล้านปี วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครา”
เฮยฉางหลิงเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง พลางเอ่ยอย่างหยิ่งผยอง
หลังสิ้นเสียงหัวเราะชั่วร้าย เขาก็ก้าวเดินจากไปก่อนที่รอบกายจะเกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น
เพียงพริบตาทุกสิ่งที่นี่ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ที่แน่ ๆ จ้าวปีศาจของเผ่าพยัคฆ์ดำผู้นี้ได้บุกเข้าไปยังดินแดนจงหยวนเสียแล้ว
ผ่านไปเนิ่นนาน หวงฉีเสวียนจึงได้เงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก
และในมือของเขาตอนนี้กำลังถือป้ายหยกที่สลักอักษรโบราณชิ้นหนึ่งเอาไว้
“แกร๊ก ! ”
หลังจากเสียงที่ชัดเจนนั้นดังขึ้น ป้ายหยกก็แตกออกจากกันเป็นชิ้น ๆ
ทันใดนั้นก็มีไอพลังลึกลับแผ่กระจายออกมา
มินาน สำนักบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งจงหยวนต่างเดือดดาลขึ้นมาในทันที
………………………
อีกด้านหนึ่ง
เนื่องจากถูกหวงฉีเสวียนขวางเอาไว้ ทำให้ราชันทมิฬและถูซื่อนั้นทิ้งห่างกันไกลอีกครั้ง
เวลานี้ในขณะที่ราชันทมิฬแบกถูสือซานที่กลับคืนร่างเดิม ขึ้นเหนืออย่างรวดเร็ว
ในที่สุดถูสือซานที่สลบมาตลอดทางก็ได้รู้สึกตัวขึ้น
“นี่ข้าอยู่ที่ใดกัน ? ”
ถูสือซานที่มีผิวขาวผ่องค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังปราณฟ้าดินของที่นี่มิเหมือนกับเทือกเขาแดนใต้ จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ที่นี่เป็นเขตแดนของจงหยวนแล้ว”
ราชันทมิฬยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาว พลางเอ่ยว่า “หากมิสิ่งใดผิดพลาด อีกสองหมื่นลี้พวกเราก็จะไปถึงจุดหมายแล้ว”
“จุดหมายงั้นหรือ ? ”
ดวงตาดำขลับของถูสือซานกะพริบปริบ ๆ ก่อนที่จะเปล่งประกายออกมา และเอ่ยถามอีกครา “ราชันทมิฬ เจ้าหมายความว่าอีกมินานเราก็จะได้พบกับยอดฝีมือท่านนั้นแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด”
ราชันทมิฬฉีกยิ้มพลางกล่าวว่า “บรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกวิญญาณท่านนั้นของพวกเจ้ากำลังตามเรามา หากมิเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก่อนจะถึงเมืองเสี่ยวฉือ นางคงตามพวกเรามิทันแล้วล่ะ”
“ถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่บรรพบุรุษท่านนั้นของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจเลย แม้แต่ราชันปีศาจ ต่อหน้านายท่านของข้าก็มิต่างอะไรกับมดปลวก”
ดวงตาของถูสือซานเปล่งประกายระยิบระยับ พลางเอ่ยเร่ง “ราชันทมิฬ เจ้ารีบไปเร็วกว่านี้อีกได้หรือไม่ สือซานอยากจะพบยอดฝีมือท่านนั้นแล้ว ! ”
ราชันทมิฬส่ายศีรษะ ก่อนจะเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “เร็วกว่านี้มิได้แล้ว ข้าใช้พลังไปมาก หากมิใช่เพราะภาพเทพมารภาพนั้นของนายท่านล่ะก็ เกรงว่าตอนอยู่นอกเทือกเขาแดนใต้คงถูกบรรพบุรุษของเจ้าขวางเอาไว้ได้แล้ว”
“ภาพเทพมาร ? ”
ถูสือซานได้สติอีกครั้ง
จึงพบว่าบนกายของตนเองตอนนี้มีภาพลึกลับภาพหนึ่งคลุมอยู่
ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ระหว่างที่ภาพลึกลับนี้คลุมอยู่บนกาย ราวกับมีไอพลังอบอุ่นไหลเข้าสู่ร่างของนาง ทำให้ทั่วทั้งร่างรู้สึกสบายอย่างมาก
ราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อนก็มิปาน
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ราชันทมิฬก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอีกคราว่า “เด็กน้อย พวกเรามาถึงแล้ว”