ตอนที่ 104 คำสั่งของต้นหลิวก่อนหลับใหล
หลังจากได้เห็นจิ้งจอกน้อยสีขาว
เย่ฉางชิงก็วางพู่กันในมือลงทันที ก่อนจะเดินเข้าไปหาราชันทมิฬ
มิว่าจะเป็นโลกในอดีต หรือโลกเซียนแห่งนี้ เขายังมิเคยเห็นจิ้งจอกน้อยสีขาวที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน
ลำตัวเป็นสีขาวโพลนราวกับหิมะ มีขนนุ่มสลวย
โดยเฉพาะดวงตาดำขลับราวกับอัญมณีที่เปล่งประกายความสดใสออกมาคู่นั้น
เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อยขณะที่อยู่ตรงหน้าราชันทมิฬ ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่าจะทำให้จิ้งจอกน้อยโมโหขึ้นมา
เท่าที่เขาจำได้สัตว์ป่ามากมายเวลามีคนแปลกหน้าเข้าใกล้ มันมักจะสู้กลับโดยสัญชาตญาณ เช่นนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน
ประการแรก เขากลัวว่าจะถูกจิ้งจอกน้อยตะปบเอาได้
ประการที่สอง เขากลัวจะทำให้จิ้งจอกน้อยที่น่ารักตกใจจนเตลิดหนีไปเสียก่อน
และตั้งแต่แวบแรกที่เขาได้เห็นจิ้งจอกน้อยตัวนี้ ก็รู้สึกถูกชะตากับเจ้าจิ้งจอกน้อยเป็นอย่างมาก
ในโลกก่อนหน้านี้เขาเองก็เป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว
แต่หลังจากมาที่โลกแห่งนี้ เพราะมิอาจบำเพ็ญเพียรได้ เขาจึงต้องมาติดเหง็กอยู่ในเมืองห่างไกลเช่นนี้
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีความคิดที่จะเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว
อาทิเช่น ราชันทมิฬ
คราแรกตอนที่เขาเจอกับราชันทมิฬ มันยังเป็นเพียงแค่ลูกหมาตัวเล็ก ๆ เท่านั้น
แต่แค่เวลาเพียงมิกี่ปี
ราชันทมิฬกลับเติบโตจนมีร่างกายกำยำ นอกจากความขี้ขลาดแล้ว ขนาดและรูปลักษณ์ของมันช่างชวนให้น่าตกใจยิ่งนัก
เช่นนั้นจึงทำให้เย่ฉางชิงล้มเลิกความคิดที่จะหาสัตว์มาเลี้ยงอีก
หลายปีผ่านไปจนกระทั่งวันนี้ หลังจากเย่ฉางชิงได้เห็นจิ้งจอกน้อยสีขาวตัวนี้ เขาก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อฝ่ามือของเย่ฉางชิงวางลงเบา ๆ บนหัวของจิ้งจอกน้อย
เจ้าตัวเล็กกลับมิมีทีท่าว่าจะโมโห แต่กลับสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ
มีเพียงดวงตาดำขลับคู่นั้นที่จ้องมองมายังเขา ที่ดูสับสนและเป็นกังวลอยู่บ้าง
“จิ้งจอกน้อย ต่อไปเจ้าก็มาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
ถูสือซานตกตะลึงทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ก่อนที่ภายในใจจะเต็มไปด้วยความปิติยินดี
เพราะนอกจากบุรุษตรงหน้าจะรูปงามและสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นที่นางคิดเอาไว้แล้ว ทว่าตบะบารมีของเขายังแก่กล้าลึกล้ำจนยากจะหยั่งอีกด้วย
อีกทั้งลานแห่งนี้แม้ภายนอกจะดูธรรมดามิได้มีสิ่งใดพิเศษ
แต่ความจริงแล้วกลับมีวาสนาอยู่เต็มไปหมด
หากมีโอกาสได้บำเพ็ญเพียรที่นี่ คงเปรียบเสมือนได้บำเพ็ญเพียรในดินแดนแห่งวาสนาอย่างไรอย่างนั้น
เช่นนั้นถูสือซานจึงมิมีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นบุรุษหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนตรงหน้า ถูสือซานก็เกิดมีใจให้เขาในทันที
มินานถูสือซานก็ได้พยักหน้ารับให้กับฉางชิง
ขณะเดียวกันเมื่อเย่ฉางชิงเห็นจิ้งจอกน้อยราวกับกำลังพยักหน้าให้ตนเช่นนี้ ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
‘จิ้งจอกน้อยตัวนี้พยักหน้าให้ข้างั้นหรือ ? ’
‘หรือว่าจะมันจะฟังภาษาคนรู้เรื่อง ? ’
คิดถึงตรงนี้ ภายในใจของเย่ฉางชิงก็อดที่จะรู้สึกตกใจขึ้นมามิได้
เพราะตอนที่อยู่อีกโลกเขาเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเทพจิ้งจอกมาบ้าง
ซึ่งเรื่องที่ได้ยินมาจิ้งจอกมักจะเกี่ยวข้องกับพวกบัณฑิต แต่ตอนจบกลับมิได้สวยงามเท่าไหร่นัก
เย่ฉางชิงเองก็เคยเพ้อฝันถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน
แต่เขาคาดมิถึงว่าเมื่อทะลุมิติมายังโลกเซียนแห่งนี้แล้ว ตนจะได้พบกับเรื่องเช่นนี้ด้วย
เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมา ‘แม้มิอาจบำเพ็ญเพียรได้ แต่ได้พบโชคชะตาเช่นนี้ ข้าก็พอใจแล้ว’
หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็ยื่นมือออกไปลูบหัวจิ้งจอกน้อยอีกครั้ง ขณะที่ดวงตาเรียวยาวกลับมีสายตาที่ดูแปลกไป
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังลูบหลังของจิ้งจอกน้อยเบา ๆ
จิ้งจอกน้อยแสนเชื่องตัวนี้ก็พลันกระตุกน้อย ๆ
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็พบว่าบนนิ้วของเขาปรากฏรอยเลือดขึ้น
‘บาดเจ็บมางั้นหรือ ? ’
“ใครกันช่างใจดำอำมหิต ถึงขนาดทำร้ายจิ้งจอกน้อยตัวนี้ได้”
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเบา ๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปรากฏความกรุ่นโกรธขึ้นมาทันที
ได้ยินเช่นนั้นราชันทมิฬที่ยืนลิ้นห้อยอยู่ก็หรี่ตาลง ก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยท่าทางหวาดกลัว
ส่วนถูสือซานเพียงสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาดำขลับคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ ด้วยความตื้นตันใจ
นางบำเพ็ญเพียรมาจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่าสามร้อยปีแล้ว
ส่วนท่านพ่อและท่านแม่ของนางก็บำเพ็ญเพียรได้หลายพันปีแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนผันความสัมพันธ์ก็จืดจางไป
มิเช่นนั้นนางก็คงมิต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเฮยจวง โดยที่ตนเองมิรู้มาก่อนเช่นนี้แน่
เช่นนั้นเมื่อได้รับความห่วงใยจากเย่ฉางชิง
ถูสือซานจึงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ถูสือซานเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว จึงได้ตัดสินใจว่า ‘ต่อให้สือซานต้องตาย สือซานก็จะขอติดตามข้างกายยอดฝีมือท่านนี้มิหนีไปไหน’
มินานเย่ฉางชิงก็อุ้มถูสือซานขึ้นจากหลังของราชันทมิฬ แล้วรีบพาเดินเข้าไปในห้องพักของตนเองทันที
ห้าปีก่อน
หลังจากมาถึงเมืองเสี่ยวฉือ เขาเคยศึกษาวิชาแพทย์กับผู้เฒ่าท่านหนึ่ง
รวมทั้งศึกษาวิธีปลูกและใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ
เช่นนั้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี เขาจะปลูกสมุนไพรจำนวนหนึ่งไว้ที่มุมหนึ่งของลานบ้านเสมอ
จนนานวันเข้าเขาก็สามารถเก็บสะสมสมุนไพรเอาไว้ได้จำนวนมาก
มิเพียงเท่านั้น สมุนไพรที่ปลูกในลานแห่งนี้ยังมีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ผู้คนในเมืองเสี่ยวฉือมิว่าบ้านใครหากมีคนเป็นหวัด เมื่อทานยาสมุนไพรที่เขาปลูกก็จะเห็นผลทันที
เช่นนั้นการขายสมุนไพรจึงเป็นหนึ่งในรายได้ของเขาอีกด้วย
เมื่อเห็นเย่ฉางชิงอุ้มจิ้งจอกน้อยและรีบเดินเข้าห้องไปเช่นนั้น ราชันทมิฬก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปหาต้นหลิวที่อยู่ทางด้านหลัง
“พี่ต้นไม้ ดูเหมือนนายท่านจะชอบเด็กน้อยผู้นั้นมากเลยนะ”
ราชันทมิฬยิ้มออกมาด้วยท่าทางภูมิใจ
“นายท่านคงชอบจิ้งจอกน้อยตนนั้นจริง ๆ ”
เสียงลึกลับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ราชันทมิฬ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ช่วงนี้คงจะมิมีผู้ใดมารบกวนความสงบของนายท่านอีก เช่นนั้นข้าตัดสินใจว่าจะหลับอีกสักพัก ที่นี่คงต้องฝากให้เจ้าดูแลไปก่อน”
“เอ๊ะ ? ”
ราชันทมิฬนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามกลับว่า “พี่ต้นไม้ ดูเหมือนท่านต้องการจะหลับนานหรือขอรับ ? ”
“อาจจะมิกี่ปี หรืออาจจะหลายหมื่นปี”
“เช่นนั้นก่อนที่ข้าจะตื่นขึ้นมา ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ออกไปไหน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดมารบกวนนายท่านได้”
เสียงลึกลับยังคงเอ่ยกำชับขึ้นอีกอย่างเรียบนิ่ง
ราชันทมิฬเห็นต้นหลิวได้ตัดสินใจแล้ว จึงรับปากอย่างหนักแน่นว่า “พี่ต้นไม้ ท่านพักผ่อนให้สบายเถิด ข้ารับปากว่าต่อไปข้าจะคอยเฝ้านายท่านอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้มิไปไหนอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ยิ่งดี”
“ราชันทมิฬ เห็นแก่ความมีน้ำใจของเจ้าข้าจะมอบวาสนาหนึ่งให้เจ้า เพื่อช่วยให้เจ้าได้เป็นจักรพรรดิปีศาจ”
สิ้นเสียง กิ่งหลิวสีเขียวราวกับหยกกิ่งหนึ่งพลันสั่นไหว ส่องประกายสีทองระยิบระยับ ทำให้อากาศรอบ ๆ สั่นสะเทือนราวกับระลอกคลื่น
พริบตาใบหลิวสีทองใบหนึ่งที่ห้อมล้อมเอาไว้ด้วยสัญลักษณ์โบราณ ก็แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ค่อย ๆ ลอยไปทางราชันทมิฬ
“นำใบหลิวนี้ไปกลั่น มิเกินสิบวัน เจ้าจะได้บรรลุเป็นจักรพรรดิปีศาจ”