ตอนที่ 107 หรือว่าล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาเร้นกาย ?
เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งก้านธูป
เย่ฉางชิงจึงค่อย ๆ หยุดลง
เขาเหลือบดูใบมีดเล็กน้อย แล้วจึงใช้นิ้วลูบเบา ๆ ที่คมมีด
‘ใช้ได้ ! ’
‘คมมาก ! ’
‘ยอดเยี่ยม ! ’
เย่ฉางชิงพยักหน้าแล้วหันไปหาช่างตีเหล็กซ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “ท่านลุงซ่ง ท่านพบปัญหาใดบ้างหรือไม่ ? ”
ช่างตีเหล็กซ่งตกตะลึงเล็กน้อย พลางส่ายศีรษะเบา ๆ “วิธีการดูมิมีปัญหาอะไร แต่เมื่อลับตามวิธีของท่าน คมมีดมักจะบิดเบี้ยวและคดงอ”
ช่างตีเหล็กซ่งเอ่ยถึงตรงนี้ก็มีท่าทีกระดากอายออกมาอย่างเลี่ยงมิได้
เย่ฉางชิงถือมีดทำครัวแล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมฉีกยิ้มออกมา “ขอเพียงฝึกฝนซ้ำ ๆ สักวันท่านจะต้องทำได้อย่างแน่นอน”
ช่างตีเหล็กซ่งพยักหน้ารับอย่างเก้อเขิน
“ท่านลุงซุน ลองใช้มีดเล่มนี้ดูอีกครั้งสิขอรับ”
เย่ฉางชิงหันไปกวักมือเรียกคนขายเนื้อซุนที่ยังมีท่าทางงงงวยอยู่
“ท่านเย่ ลับมีดเสร็จแล้วงั้นหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้นเถ้าแก่เว่ยก็เดินเข้าไปหาเย่ฉางชิงเป็นคนแรก
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะส่งมีดทำครัวในมือให้กับเถ้าแก่เว่ย
ด้วยเพราะเปิดร้านสุราในเมืองเสี่ยวฉือมานาน แม้เถ้าแก่เว่ยจะมีความรู้ด้านลับมีดแบบงู ๆ ปลา ๆ แต่สายตาของเขากลับเฉียบแหลมยิ่งนัก
เขาเดินไปรับมีดทำครัวจากเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนจะพลิกคมมีดขึ้น
เพียงแค่เหลือบมองคมมีดแค่แวบหนึ่ง ก่อนใช้นิ้วลูบคมมีดอย่างชำนาญ จากนั้นก็หัวเราะลั่นพลางเอ่ยว่า “ท่านเย่ มีดนี้เยี่ยมยอดจริง ๆ ฝีมือดียิ่งนัก”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็กรูกันเข้ามา ก่อนจะส่งเสียงชื่นชมไปตาม ๆ กัน
“มีดนี้ตรงดุจพู่กัน บางราวกับเส้นไหม แค่ผมปลิวผ่านก็คงขาดได้แล้วกระมัง ? ”
“แต่ว่าคมมีดเช่นนี้ ข้าเปิดร้านขายสุรามาหลายปีพึ่งจะเคยเห็นครานี้เป็นคราแรก”
“ยอดเยี่ยม ฝีมือดีจริง ๆ ! ”
“คาดถึงเลยว่าท่านเย่มิเพียงมีความรู้กว้างขวาง แต่ยังมีทักษะเช่นนี้ด้วย ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”
“……”
ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมอย่างมิขาดปากนั้น เย่ฉางชิงก็เหลือบตามองช่างตีเหล็กซ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจนใจ
ตอนนั้นเองเปาต้าเหมยก็ได้พูดด้วยเสียงอันดังว่า “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รีบลองดูสิว่าจะถลกหนังเสือดำตัวนี้ออกหรือไม่”
“ใช่ ๆ ๆ ! ”
“รีบลองดูสิว่าจะถลกหนังเสือดำตัวนี้ออกหรือไม่ ! ”
ทุกคนต่างก็ส่งเสียงขานรับกันยกใหญ่
มินานเปาต้าเหมยก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฉวยมีดทำครัวจากมือของนายพรานจางอย่างมิมีความเกรงใจ
“แค่ดูนิดเดียวก็พอแล้ว จะเอาไปนอนกอดด้วยหรือยังไง ? ”
เปาต้าเหมยกลอกตาใส่ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปหาคนขายเนื้อซุน
นายพรานจางนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย พร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
แต่ก็มิได้เอ่ยแย้งแต่อย่างใด ทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาเท่านั้น
ความดุดันของเปาต้าเหมยเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือนอกจากเย่ฉางชิง ใครบ้างที่มิเคยเจอพายุอารมณ์ของนาง
แต่เปาต้าเหมยนั้นนับเป็นคนที่เข้าตามตำราว่า ปากร้ายแต่ใจดี ทุกคราหลังจากด่าอย่างสาดเสียเทเสียแล้ว พอหายโมโหก็มักจะให้คนขายเนื้อซุนถือเนื้อไปขอโทษขอโพยคน ๆ นั้นถึงบ้าน
เช่นนั้นที่ผ่านมาจึงมิมีใครใส่ใจคำพูดร้าย ๆ ของเปาต้าเหมย
หลังจากคนขายเนื้อซุนรับมีดทำครัวมาจากมือของเปาต้าเหมยแล้ว ก็ได้ลองลูบที่คมมีดเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังเสือดำตัวใหญ่ตัวนั้น
ขณะเดียวกันสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่คนขายเนื้อซุนจนเป็นตาเดียว
เข้าแล้ว !
ขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องอยู่นั้น คนขายเนื้อซุนเพียงแค่กรีดผ่านขาข้างหนึ่งของเสือดำเบา ๆ
สุดท้าย ทุกคนถึงกับตกตะลึงจนยืนนิ่งราวกับคนโง่ เพียงแค่กรีดมีดลงไปบนขาของเสือดำหนังก็ปริออกจนเป็นทาง พลันเลือดก็ไหลทะลักออกมาในทันใด
‘นี่ ! ’
‘นี่มัน… นี่มันมีดอะไรกัน ! ’
ขณะที่ทุกคนกำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นั้น เปาต้าเหมยก็เป็นคนแรกที่ได้สติ
นางจึงหันไปตะโกนเสียงดังว่า “มัวอึ้งอะไรกันอยู่ รีบไปเอาถังไม้มาสิ เลือดของเสือดำตัวนี้จะต้องเป็นของดีแน่ ๆ อย่าให้เสียของเชียว ! ”
ทุกคนจึงได้สติอีกครั้ง ก่อนจะรีบยกถังไม้ไปยังด้านหน้าเป็นพัลวัน
ทันใดนั้นลานเล็ก ๆ แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุย เป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวายิ่งนัก
แต่ในสายตาของถูสือซาน ภาพตรงหน้ากลับทำให้นางตกตะลึงอีกครั้ง
‘จ้าวปีศาจ ! ’
‘นี่คือจ้าวปีศาจเชียวนะ ! ’
เผ่าปีศาจเริ่มก่อกำเนิดกายเนื้อก่อน
แม้หลังจากนั้นจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์และเริ่มสร้างฐานรากปราณ แต่เมื่อตบะบารมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายก็จะพัฒนาการขึ้นตามไปด้วย จนกายเนื้อแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะจ้าวปีศาจอย่างเฮยฉางหลิง
หากเทียบกับบรรดาจ้าวปีศาจด้วยกันแล้ว ก็หาใช่ผู้ที่จ้าวปีศาจธรรมดาจะสามารถเทียบเคียงได้
เช่นนั้นย่อมมิต้องเอ่ยถึงกายเนื้อของเขาด้วยซ้ำ เพราะกายเนื้อของจ้าวปีศาจนั้นเทียบเท่ากับสมบัติวิญญาณ ส่วนจ้าวปีศาจที่แข็งแกร่งเช่นเผ่าพยัคฆ์ดำนั้น กายเนื้อของเขาเกรงว่าคงเทียบได้กับสมบัติโบราณชั้นยอดเลยทีเดียว
ทว่าเพียงแค่ยอดฝีมือท่านนี้ลงมือลับมีด จากมีดทำครัวธรรมดา ๆ เล่มหนึ่ง กลับสามารถกรีดหนังของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำขาดได้อย่างง่ายดาย
ความเก่งกาจเช่นนี้ทำลายความรู้ทั้งหมดที่ถูสือซานมีจนสิ้น
คิดถึงตรงนี้นางจึงหันไปถามราชันทมิฬว่า “ราชันทมิฬ หรือว่านี่ก็คืออิทธิฤทธิ์เปลี่ยนหินเป็นทองในตำนานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ราชันทมิฬแสยะยิ้มออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวเงาวับ ดวงตาคู่คมส่องประกายระยิบระยับ
“เด็กน้อย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าในตอนนี้ดี”
ราชันทมิฬครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ข้าขอบอกเจ้าตามตรงว่า อิทธิฤทธิ์เหล่านี้ของนายท่านที่เจ้าเห็นอยู่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น ความจริงแล้วนายท่านเก่งกาจเพียงใดนั้น มิเพียงข้ามิอาจรู้ได้ แม้แต่ผู้ที่เก่งกาจเช่นพี่ต้นไม้เองก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน”
ถูสือซานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ราชันทมิฬ บุญคุณนี้ของท่าน สือซานจะสลักเอาไว้ในใจไปจนตาย”
ราชันทมิฬมองตรงไปยังถูสือซาน พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างตื้นตันใจ “เด็กน้อย ดูจากท่าทีที่นายท่านมีต่อเจ้า ข้าเชื่อว่าอีกมินานนายท่านจะต้องมอบวาสนาคราใหญ่ให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“หากวันหนึ่งเจ้าแข็งแกร่งเช่นเดียวกับพี่ต้นไม้ แค่ช่วยข้าทำสิ่งหนึ่งก็พอแล้ว”
“หา ? ”
ในที่สุดถูสือซานก็ได้สติ
คนที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนางเข้าใจในสิ่งที่ราชันทมิฬต้องการให้นางทำในอนาคตได้ทันที
“ราชันทมิฬ ท่านยังต้องการกลับไปแก้แค้นที่เทือกเข้าแดนใต้ใช่หรือไม่ ? ”
ถูสือซานเอ่ยถามขึ้น
“ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าข้านั้นเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น”
ราชันทมิฬแสยะยิ้ม พร้อมเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคียวฟัน “ก่อนหน้านี้ ข้าเกือบตายเพราะน้ำมือของคนพวกนั้น เช่นนั้นแค้นนี้ข้าจะชำระให้จงได้”
ถูสือซานหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจและเอ่ยออกมาว่า “ราชันทมิฬ ข้าขอรับปากท่าน”
ราชันทมิฬได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมาทันที “ข้าดูคนมิผิดจริง ๆ ”
…………………………….
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม
เพื่อเป็นการมิให้เสียเวลาของทุกคน
เย่ฉางชิงจึงลงมือลับมีดอีกสี่เล่ม
จากนั้นชาวเมืองเสี่ยวฉือ บ้างก็กำลังง่วนอยู่กับการเอาถังไม้มารองเลือด บ้างก็กำลังยุ่งอยู่กับการแล่เนื้อ
มินานร่างเสือดำขนาดใหญ่ก็ถูกชำแหละจนหมด
มิเพียงเท่านั้นทุกคนยังได้ก่อกองไฟบนลาน เพื่อเตรียมงานเลี้ยงเสือดำในคืนนี้ด้วย
อีกทั้งคนที่รักเงินเท่าชีวิตอย่างเถ้าแก่เว่ย ยังใจดีสั่งให้เสี่ยวเอ้อหอบสุราที่หมักมาหลายปีออกมาอีกเจ็ดแปดไห
ราตรีมาเยือน ทั่วเมืองเสี่ยวฉือคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเนื้อและกลิ่นสุรา
ใจกลางลาน น้อยครั้งนักที่ทุกคนจะมาร่วมตัวกันเช่นนี้
ผู้คนที่อยู่ในลานที่อาวุโสสุดเป็นผู้เฒ่าอายุเจ็ดแปดสิบ ส่วนผู้เยาว์สุดก็เป็นเด็กน้อยอายุเพียงห้าหกขวบเท่านั้น ส่วนคนอื่นล้วนแต่นั่งดื่มสุราและกินเนื้อย่างกันอย่างเอร็ดอร่อย
ราชันทมิฬและถูสือซานที่นั่งอยู่ด้านหลัง สายตาจับจ้องไปที่ภาพตรงหน้า
เวลานี้มิเพียงถูสือซานที่มีอาการตกตะลึงอีกครั้ง แม้แต่ราชันทมิฬเองก็ถึงกับนิ่งงันไปเช่นเดียวกัน
นี่เป็นเนื้อจ้าวปีศาจย่างเชียวนะ !
กายเนื้อจึงเต็มไปด้วยพลังและปราณชีวิตเข้มข้น มิใช่รสชาติที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถรับได้
มิแน่ร่างกายอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เป็นได้ !
อาจตายได้ !
“ราชันทมิฬ หรือว่าผู้คนในเมืองแห่งนี้ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาเร้นกายอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ผ่านไปเนิ่นนานถูสือซานที่พึ่งได้สติ จึงกะพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยถามขึ้น