ตอนที่ 118 เลี้ยงราชาปีศาจเยี่ยงนั้นหรือ ?
เพียงแค่บอกว่าการที่พวกเขามาในครั้งนี้เป็นเจตนาของท่านเย่
นักพรตฉางเสวียนเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนท่านนี้ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปในทันที
ทำให้แม้แต่เยี่ยนเทียนซานที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี ยังอดมิได้ที่จะแปลกใจจนพูดอะไรมิออก
‘หรือว่าท่านเย่ผู้มีตบะบารมีลึกล้ำผู้นี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
ระหว่างที่เยี่ยนเทียนซานกำลังตกอยู่ในภวังค์ สวีฉิงเทียนก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “พี่เยี่ยน เกรงว่าท่านคงยังมิทราบ หากข้าเดามิผิด ท่านเย่ที่พวกท่านกำลังไปหาก็คือบรรพจารย์ท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
‘บรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ? ’
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น มิเพียงเยี่ยนเทียนซานที่อ้าปากค้าง แม้แต่เยี่ยนปิงซินเองก็มีสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกเช่นกัน
ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดเดาว่า ยอดฝีมือที่ประทับตราบนภาพอักษรพู่กันว่าเย่ฉางชิง ย่อมมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ที่พวกเขาคาดมิถึงก็คือ
เย่ฉางชิงกลับเป็นถึงบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นสำนักเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมายาวนาน
เช่นนั้นบรรพจารย์ของพวกเขาจะเก่งกาจเพียงใดกัน ?
คิดถึงตรงนี้ ทั้งเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซินก็อดมิได้ที่จะสูดหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น
นักพรตฉางเสวียนปรายตามองสวีฉิงเทียนที่ยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะหันไปคุยกับเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซิน “ท่านทั้งสองมิต้องตื่นตกใจไป ข้าเองก็เพิ่งทราบเมื่อมินานมานี้ว่าท่านบรรพจารย์เย่เร้นกายอยู่ที่นี่”
“อีกทั้งการที่เขาเร้นกายอยู่ที่นี่ย่อมเป็นความตั้งใจของเขา หากอีกสักครู่ได้พบท่านบรรพจารย์เย่ พวกท่านอย่าได้ตื่นตระหนก ให้เรียกเขาว่าท่านเย่เช่นเดิมก็พอ”
นักพรตฉางเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “แน่นอนว่านับแต่นี้ต่อไปข้อตกลงระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนและแคว้นต้าเยี่ยนถือเป็นอันยกเลิก พวกท่านคิดเห็นเช่นไร ? ”
เยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซินได้ยินเช่นนั้นก็อดมิได้ที่จะมีสีหน้าแปลกใจ
‘ดูเหมือนท่านเย่ผู้นี้ จะเป็นบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจริง ๆ สินะ’
‘มิเช่นนั้น ด้วยฐานะอันสูงส่งและตบะบารมีอันสุดจะหยั่งของเจ้าสำนักไท่เสวียน เหตุใดต้องกำชับพวกข้าทั้งสองเช่นนี้ด้วย’
“ท่านเจ้าสำนักมิต้องกังวล”
เยี่ยนเทียนซานพยักหน้าน้อย ๆ พร้อมเอ่ยรับ
ใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยขึ้นอย่างสนิทสนม “พี่เยี่ยน ท่านมิต้องเกรงใจข้าหรอก”
เยี่ยนเทียนซานชะงักงัน ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน
ตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนก็ได้ยื่นมือออกมา พร้อมกับเอ่ยอย่างมิเกรงใจว่า “ตาเฒ่า เอาของขวัญพบหน้าชิ้นนั้นของข้ามา”
นักพรตฉางเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเพ่งสมาธิและหยิบกล่องผ้าไหมออกมาจากแหวนเก็บสมบัติอย่างรู้สึกเสียดาย
“พี่สวี พวกเราต้องตกลงกันก่อนนะ”
นักพรตฉางเสวียนฉีกยิ้มออกมา พร้อมเอ่ยว่า “วันนี้มิว่าจะได้พบท่านเย่หรือไม่ ระหว่างเราถือว่าหายกันแล้วนะ”
สวีฉิงเทียนกรอกตาเล็กน้อย และสะบัดแขนเสื้อก่อนกล่องผ้าไหมจะลอยมา
ในตอนนั้นเองร่างเพรียวบางร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านในร้านของชำอย่างมิรีบร้อน
ก่อนจะยืนบิดเอวไปมาอย่างเกียจคร้านอยู่ที่ประตูหน้าร้าน
เห็นได้ชัดว่านั่นก็คือเย่ฉางชิงที่เพิ่งจะวาดภาพเสร็จนั่นเอง
“ท่านเย่”
ทันทีที่ได้เห็นเย่ฉางชิง เยี่ยนปิงซินก็ราวกับน้ำแข็งที่หลอมละลายลงในพริบตา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเย่ฉางชิงอย่างรวดเร็ว
“สูด ! ”
ส่วนพวกนักพรตฉางเสวียนทั้งสามคนนั้น กลับสูดลมหายใจเข้าอย่างหวาดหวั่น
‘เด็กคนนี้ดูจะกำเริบเสิบสานเกินไปกระมัง ! ’
ตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงที่กำลังเตรียมจะงีบบนเก้าอี้หวายอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง
หลังจำได้ว่าเป็นเยี่ยนปิงซิน เย่ฉางชิงก็มีท่าทีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาเรียบ ๆ ท่าทางสุภาพอ่อนโยนเป็นนิจ
“คุณหนูเยี่ยน มิได้พบกันเสียนานเลยนะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยกับเยี่ยนปิงซินที่เดินเข้ามาหาอย่างรีบร้อน
เยี่ยนปิงซินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนทันทีขณะอยู่ตรงหน้าเย่ฉางชิง ก่อนจะย่อตัวลงคำนับ “ปิงซินคารวะท่านเย่เจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ
มินานนักพรตฉางเสวียนก็เดินนำ สวีฉิงเทียนและเยี่ยนเทียนซานตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ท่านเย่”
นักพรตฉางเสวียนประสานมือคาราวะเย่ฉางชิง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มสุภาพ
ขณะเดียวกันสวีฉิงเทียนและเยี่ยนเทียนซานก็มิกล้าเสียมารยาท รีบคาราวะเย่ฉางชิงอย่างนอบน้อมทันที
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง
‘หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ผู้เฒ่าสองท่านด้านหลังของท่านเหอ ก็คงเป็นผู้ที่ชื่นชอบภาพอักษรพู่กันหรือไม่ก็ภาพวาดอย่างแน่นอน’
“ทุกท่านในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นพวกเราเข้าไปด้านในดื่มชาไปคุยกันไปดีกว่า”
เย่ฉางชิงมองกลุ่มคนตรงหน้า และเอ่ยเชื้อเชิญขึ้นมา
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านเย่แล้ว”
พวกนักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มสุภาพขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน
เย่ฉางชิงมักจะเป็นคนรักษาน้ำใจคนอยู่เสมอ เวลานี้จึงทำได้เพียงปรายตามองเก้าอี้หวายข้างกายอย่างจนใจ ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในร้านของชำ
เยี่ยนปิงซินก็เดินตามไปติด ๆ
ตามด้วยพวกของนักพรตฉางเสวียน
แต่เมื่อสวีฉิงเทียนเดินมายังตำแหน่งที่ป้ายไม้แผ่นนั้นติดอยู่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
‘เจตจำนงกระบี่ ! ’
ป้ายไม้ที่ดูธรรมดาแผ่นนี้ กลับแฝงไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่อันลึกลับมหาศาล
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงถ่ายทอดวิถีกระบี่จากรุ่นสู่รุ่น
เช่นนั้นสวีฉิงเทียนเองย่อมเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่เช่นกัน
ทั้งยังบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ระดับแดนเทวาช่วงปลายอีกด้วย
ดูก็รู้ว่าเขามีความแตกฉานในวิถีกระบี่ลึกล้ำเพียงใด
ขณะเดียวกันหากเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น เขาย่อมเชี่ยวชาญในเรื่องเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ยิ่งกว่าผู้ใด
ส่วนเยี่ยนเทียนซานที่อยู่ข้างกายสวีฉิงเทียนนั้น
หลังสัมผัสถึงพลังปราณที่บริสุทธิ์มากมาย ที่ไหลทะลักออกมาจากภายในร้านของชำได้อย่างชัดเจน
สีหน้าพวกเขาต่างก็เปลี่ยนไป พร้อมทั้งท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘เหตุใดที่นี่ถึงมีพลังปราณพรั่งพรูออกมามากมายเพียงนี้ได้’
‘ที่สำคัญแม้พลังปราณจะพรั่งพรูออกมามากมาย ทว่ากลับมิมีความปั่นป่วน พลังปราณทุกชนิดราวกับมีชีวิตก็มิปาน’
‘หรือว่าพลังเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของท่านเย่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เขามีตบะบารมีล้ำลึกขนาดไหนกันแน่นะ ถึงทำให้ตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้ ! ’
นักพรตฉางเสวียนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ก็ได้สังเกตเห็นท่าทางของทั้งสองคน จึงกวาดตามองด้วยสายตาเย้ยหยันเล็กน้อย
“พี่สวี พี่เยี่ยน มาถึงที่พำนักของท่านเย่ท่านอย่าได้ตื่นตกใจไป นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ภายในต่างหากถึงจะเป็นแดนแห่งวาสนาที่แท้จริง”
นักพรตฉางเสวียนจำต้องเอ่ยขึ้น เพื่อย้ำเตือนว่ามิให้ทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินต่อท่านบรรพจารย์เย่เข้า
หลังจากได้สติทั้งเจ้าสำนักจื่อชิงอย่างสวีฉิงเทียน และบรรพบุรุษของราชวงค์ต้าเยี่ยนอย่างเยี่ยนเทียนซาน ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างกระดากอาย
‘ใช่แล้ว ! ’
‘การมาที่นี่นับเป็นการเปิดหูเปิดตาจริง ๆ ’
‘เหมือนกับชาวบ้านที่อยู่ในป่าในเขา ได้เข้ามาเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนเป็นคราแรก ย่อมรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่ไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง’
ทั้งคู่สบตาและยิ้มให้กัน ก่อนจะพยักหน้าให้กับนักพรตฉางเสวียน
มินานทั้งสามคนก็เข้ามาถึงด้านหลังของร้านของชำ
ทันที่ที่ได้เห็นภาพตรงหน้า รวมทั้งสัมผัสได้ถึงพลังปราณบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างภายในลานเล็ก ๆ แห่งนี้
สวีฉิงเทียนและเยี่ยนเทียนซานต่างก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งอย่างห้ามมิได้
แต่สำหรับนักพรตฉางเสวียนที่เคยมาแล้วคราหนึ่ง
แม้จะอดมิได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับเยี่ยนเทียนซานและสวีฉิงเทียนแล้ว กลับน้อยกว่ามาก
แต่เมื่อเขาบังเอิญหันไปเห็นจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง กำลังนิ่งงันขณะจ้องภาพทิวทัศน์ภาพหนึ่งอยู่
เขากลับรู้สึกตกใจจนแข็งค้างราวกับหินในทันที
‘ท่านบรรพจารย์เย่เลี้ยงดูราชาปีศาจเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
นักพรตฉางเสวียนคิดภายในใจด้วยความตื่นตระหนก