ตอนที่ 141 ลูกค้าอักษรพู่กันในเมืองหลวง
“หวางม่อ ? ”
เยี่ยนปิงซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยี่ยนจิ่งหงหันมาถามว่า “หวางม่อผู้นี้เก่งกาจมากหรือเจ้าคะ ? ”
เยี่ยนจิ่งหงชะงักเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแห้ง ราวกับรู้สึกละอายใจขึ้นมา
สำนักศึกษาตงหลันและสำนักศึกษาชางหมิง เป็นสองสำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และมีเบื้องหลังที่คาดมิถึงซ่อนอยู่
แม้แต่ราชวงค์ต้าเยี่ยน บางครายังต้องเห็นแก่หน้าของสองสำนักศึกษานี้ด้วย
อาทิเช่นเรื่องของจางเฉินก่อนหน้านี้
แม้แต่เยี่ยนหยางเหนียนที่เป็นถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็ยังต้องให้เกียรติยกให้เขาเป็นแขกคนสำคัญ
ส่วนหวางม่อผู้นี้
แม้ฐานะและชื่อเสียงจะสู้จางเฉินแห่งสำนักศึกษาตงหลันมิได้ แต่ก็ถือเป็นบัณฑิตคนสำคัญของสำนักศึกษาชางหมิง
โดยเฉพาะความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันของเขานั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงยากที่จะมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้
เยี่ยนจิ่งหงแม้จะอยู่ในวังหลวง แต่เนื่องด้วยมีความชื่นชอบในพิณ หมาก อักษรพู่กันและภาพวาด จึงทำให้รู้จักนักเขียนพู่กันนามว่า ‘หวางม่อ’ ผู้นี้ดี
และด้วยการที่เขาเป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้นต้าเยี่ยน ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์หากมีการเรียกพบ หรือลอบพบปะกับบัณฑิตเช่นนี้เป็นการส่วนตัว เกรงว่าเมื่อข่าวเช่นนี้หลุดออกไป ย่อมมีผลกระทบใหญ่หลวงตามมาได้
เช่นนั้นจวบจนถึงวันนี้ แม้เขาจะชื่นชอบนักเขียนพู่กันท่านนี้มานาน แต่สุดท้ายก็ยังมิเคยได้พบหน้ากันมาก่อน
หากวันนี้ได้พบสักครา ก็ถือว่าสมความปรารถนาของเขาแล้ว
ดูก็รู้แล้วว่าภายในใจของเยี่ยนจิ่งหงเวลานี้รู้สึกตื่นเต้นเพียงใด
‘ในที่สุดวันนี้ก็จะได้พบกับบัณฑิตหวาง สมดั่งที่ปรารถนาแล้ว ! ’
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมมาก ! ’
“ท่านพี่ เขาก็เป็นแค่นักเขียนพู่กันคนหนึ่งนามหวางม่อเท่านั้น เหตุใดท่านถึงแสดงออกว่าตื่นเต้นมากเพียงนี้เจ้าคะ ? ”
เยี่ยนปิงซินเหลือบมองเยี่ยนจิ่งหงที่กำลังตกตะลึง พลางเบ้ปากก่อนจะเอ่ยขึ้น
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้หันมาถามด้วยรอยยิ้มว่า “ดูท่าคุณชายเยี่ยนก็คงจะเป็นบัณฑิตเหมือนกันสินะ”
เยี่ยนจิ่งหงลอบมองไปยังเยี่ยนเทียนซานเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา “ท่านเย่ล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเพียงแค่ชอบสะสมภาพวาดเท่านั้น แต่มิได้มีความแตกฉานในด้านนี้เท่าไรนัก จึงมินับว่าเป็นหนึ่งในบัณฑิตหรอกขอรับ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้แก่เยี่ยนจิ่งหง และมิได้พูดอะไรอีก
‘ตระกูลเยี่ยนต้อนรับข้าดีเพียงนี้ มิใช่เพราะให้ความสำคัญกับความแตกฉานในภาพอักษรพู่กันและภาพวาดของเขาหรอกหรือ ? ’
‘แต่เจ้ากลับบอกว่าเพียงแค่ชอบสะสมเท่านั้นหรือ ? ’
‘เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดถ่อมตนก็เท่านั้น’
เย่ฉางชิงคิดเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงราบเรียบมิได้มีพิรุธใด ๆ
เยี่ยนจิ่งหงที่เป็นถึงคุณชายจากตระกูลใหญ่ยังถ่อมตนถึงเพียงนี้ แล้วผู้ที่ไร้รากวิญญาณที่ชั่วชีวิตนี้มิอาจบำเพ็ญเพียรได้เช่นเขา นอกจากความแตกฉากในด้านพิณ หมาก อักษรพู่กัน และภาพวาด รวมทั้งใบหน้าอันหล่อเหลานี้แล้ว ก็มิมีอะไรที่มีค่าอีกเลย
‘หรือว่าข้าหยิ่งเกินไปหรือเปล่านะ ? ’
‘ใช่แล้ว ข้าเย่อหยิ่งเกินไป’
‘ต้องอ่อนน้อม ! ’
‘อ่อนน้อมถ่อมตน ! ’
ขณะนั้นเย่ฉางชิงก็ได้เริ่มทบทวนตัวเองไปพลางอย่างมิรู้ตัว
“ท่านเย่ พวกเราเข้าไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ”
เป็นเยี่ยนปิงซินที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
เย่ฉางชิงจึงได้สติแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อืม พวกเราลองเข้าไปดูกันเถิด”
จากนั้นเยี่ยนปิงซินจึงเดินนำเย่ฉางชิงและคนอื่น ๆ เข้าไปในหอสายลมจันทรา
เมื่อพวกเย่ฉางชิงเข้าไปข้างในหอสายลมจันทราแล้ว ก็พบว่าที่ชั้นหนึ่งนั้นมีผู้คนแน่นขนัดไปหมด
ทุกคนได้มารวมตัวกันอยู่ที่ด้านล่างของเวทีหนึ่ง
บนเวทีมีสตรีสวมอาภรณ์สีม่วงนางหนึ่ง และผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินอีกคนยืนอยู่
สตรีชุดม่วงมีผิวขาวเนียนราวกับหิมะ คิ้วเรียวยาว รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ยิ่งกว่านั้นรัศมีที่เปล่งออกมาจากภายใน ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันล้นเหลืออีกด้วย
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าเย็นชา ให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งทะนงตนอย่างมาก
ตอนนั้นเองสตรีชุดม่วงก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหวานใส
“ทุกท่านได้โปรดเงียบก่อน”
ทันทีที่สิ้นเสียงห้องโถงขนาดใหญ่ตรงชั้นหนึ่งก็เงียบสงบลงทันใด ทุกคนสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสตรีชุดม่วง
“ทุกท่าน ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นผู้ใด ข้าคงมิต้องแนะนำใช่หรือไม่ ? ”
สตรีชุดม่วงยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์ พลางกวาดตามองทุกคนในที่นั้น ก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่เย่ฉางชิงขณะยืนอยู่ตรงหน้าประตูเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยต่อ
“คุณหนูหลิว ผู้ที่อยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ชื่นชอบในอักษรพู่กันทั้งสิ้น”
บุรุษสวมชุดบัณฑิตท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ผู้ที่ชื่นชอบในอักษรพู่กัน ทั่วทั้งเมืองหลวงใครบ้างจะมิรู้จักท่านบัณฑิตหวางเล่า”
“ใช่แล้ว ความแตกฉานด้านอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด ข้ายินดีจ่ายมิอั้น เพื่อสุดยอดภาพอักษรพู่กันของท่านบัณฑิตหวางเลยล่ะ”
มินานก็มีบุรุษวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
สตรีชุดม่วงนามว่าหลิวหรูอี้ พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “กติกาวันนี้ยังเหมือนเดิม มินานมานี้ท่านหวางเพิ่งรู้แจ้งในภาพอักษรพู่กันขึ้นไปอีกขั้น วันนี้จึงอยากจะเขียนอักษรพู่กันต่อหน้าทุกท่าน”
“ขณะเดียวกันท่านก็หวังที่จะได้พบศิษย์ที่มีพรสวรรค์ในด้านอักษรพู่กันในที่นี้สักคน และจะยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อสอนสั่งอย่างเต็มความสามารถ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลิวหรูอี้ ทุกคนต่างก็สบตากัน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มฝืดเฝื่อนและจนปัญญา
พวกเขาเป็นผู้หลงใหลในอักษรพู่กัน และมีความแตกฉานในอักษรพู่กันอยู่บ้างมิมากก็น้อย
แต่สุดท้ายตัวอักษรพู่กันของพวกเขา กลับหามีผู้ใดที่เข้าตาท่านหวางม่อไม่
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ผ่านไปครู่ใหญ่ หวางม่อก็ได้ปรากฏตัวขึ้นยังโถงชั้นหนึ่งของหอสายลมจันทรา ขณะที่กำลังแสดงความแตกฉานด้านอักษรพู่กันของตนเองอยู่นั้น ก็มิลืมเรื่องรับศิษย์ของเขาเช่นกัน
ตอนนั้นเองหวางม่อที่สวมชุดน้ำเงินก็กระแอมออกมา ก่อนจะก้าวขึ้นมาบนเวทีพลางกล่าวว่า “ทุกท่าน วันนี้เกรงว่าคงเป็นคราสุดท้ายที่ข้าจะรับศิษย์แล้ว นั่นหมายความว่าต่อไปข้าจะมิมาปรากฏตัวยังหอสายลมจันทราแห่งนี้อีก”
ทันทีที่สิ้นเสียงภายในโถงชั้นหนึ่งพลันเงียบกริบ จนแม้แต่เสียงเข็มหล่นก็ยังได้ยิน
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด
‘นี่ ! ’
‘นี่ ! ’
‘นี่ ! ’
‘ท่านหวางม่อ ท่านบัณฑิตหวาง ผู้เป็นยอดคนในด้านพู่กัน จะลาจากหอสายลมจันทราตลอดไปงั้นหรือ ! ’
‘นั่นหมายความว่า ต่อไปก็จะมีโอกาสน้อยลงที่จะได้เห็นยอดอักษรพู่กันเช่นเขาอีก ! ’
ทันใดนั้นบรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงก็เต็มไปด้วยความกดดัน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มีใบหน้าเศร้าโศก
บางคนถึงขนาดน้ำตารินไหลออกมาต่อหน้าผู้คน ราวกับสูญเสียคนรักก็ไปมิปาน
เวลานี้แม้แต่หลิวหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หวางม่อ ก็ยังมีสีหน้าหม่นหมองและอดที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ มิได้
แต่ภาพตรงหน้าเมื่ออยู่ในสายตาของเย่ฉางชิง กลับมีความหมายที่ต่างออกไป
‘ลูกค้า ! ’
‘ลูกค้าทั้งนั้น ! ’
‘นี่เป็นกลุ่มลูกค้าอักษรพู่กันในเมืองหลวงของข้าทั้งนั้นเลย ! ’
‘มีคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ภาพอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางผู้นี้ ! ’
‘อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายทอดถอนใจถึงขนาดร้องห่มร้องไห้ เพียงแค่รู้ว่าบัณฑิตหวางท่านนี้จะไปจากหอสายลมจันทรา’
‘เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้หลงใหลในอักษรพู่กันเพียงใด’
ทำให้ในที่สุดเย่ฉางชิงก็เข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมาในทันที
นั่นก็คือเหตุผลที่คนตระกูลเยี่ยนต้องพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อเอาใจเขา
เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มขมขื่นอยู่ภายในใจ ‘หากรู้ว่าเมืองหลวงมีผู้ที่ชื่นชอบอักษรพู่กันมากมายเช่นนี้ ตีให้ตาย ข้าก็มิมีทางทนอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือนานถึงเพียงนี้หรอก เมืองหลวงนี่ช่างดีจริง ๆ ’
หวางม่อเม้มริมฝีปากเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “คุณหนูหลิว ได้โปรดช่วยฝนหมึกให้ข้าที”
หลิวหรูอี้พยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะตัวยาวทางด้านหลัง เพื่อฝนหมึกให้แก่หวางม่อ
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ในที่สุดหวางม่อก็ยกพู่กันขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้องอยู่ จากนั้นก็กวาดตามองผลงานชิ้นสุดท้ายของตนเองคร่าว ๆ ก่อนจะพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ
ขณะเดียวกันหลิวหรูอี้ก็หันไปสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย สาวใช้ทั้งสองจึงเดินออกมาอยู่คนละฝั่งของโต๊ะตัวยาวอย่างรวดเร็ว
มินานสาวใช้ทั้งสองก็ค่อย ๆ ยกภาพอักษรพู่กันที่หวางม่อเพิ่งเขียนเสร็จให้ทุกคนได้ดู
‘สารทฤดูสายลมแรง เหมันตฤดูหิมะโปรย สายลมพัดจันทราลับ’
ทันใดนั้นอักษรโบราณฉวัดเฉวียน พลันปรากฏสู่สายตาของทุกคน
โดยด้านล่างสุดมีตราประทับของหวางม่อประทับเอาไว้ด้วย
ฉับพลันเมื่อทุกคนได้เห็นตัวอักษรตรงหน้า ต่างก็ทอดถอนใจออกมาด้วยใบหน้าโศกเศร้า
เย่ฉางชิงที่ยืนตระหง่านอยู่ด้านหลังสุดเห็นเช่นนั้น ก็ส่ายหน้าออกมาอย่างมิเห็นด้วย
เยี่ยนปิงซินจึงกระซิบกระซาบกับเย่ฉางชิงเบา ๆ ว่า “เทียบกับอักษรพู่กันของท่านเย่แล้ว เหตุใดอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางท่านนี้จึงดูเทียบมิติดเลยล่ะเจ้าคะ ? ”