ตอนที่ 143 ข้าจะเขียนอักษรให้ท่านหนึ่งตัว
ในสายตาของเย่ฉางชิง คำพูดนี้ของเยี่ยนปิงซินแม้จะดูตรงเกินไปจนเหมือนมิรักษาน้ำใจ แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย
ประการแรก อักษรพู่กันภาพนี้มีจุดบกพร่องอยู่จริง ๆ
ประการที่สอง หวางม่อตั้งใจที่จะทิ้งจุดบกพร่องเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าต้องการล้อเล่นกับความมิรู้ของผู้คน
เช่นนั้นผู้ที่เกิดในตระกูลบัณฑิตอย่างเย่ฉางชิงจึงมิพอใจอย่างมาก
ในความคิดของเขามิว่าจะเป็นด้านพิณ หมาก อักษรพู่กัน หรือภาพวาด ผู้ที่เป็นบัณฑิตควรรักษาความอ่อมน้อมเอาไว้เสมอ
นี่ก็คือความหมายของคำกล่าวที่ว่าวรรณกรรมไร้ที่หนึ่ง
ส่วนการกระทำของหวางม่อนั้น
คงคิดว่าความแตกฉานในอักษรพู่กันของตนอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว
จึงได้ทะนงตนมากเกินไป !
ขณะเดียวกันทุกคนต่างก็มองเยี่ยนปิงซินด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย ก่อนจะหันไปมองภาพอักษรพู่กันของหวางม่อ
แล้วทุกคนก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่เยี่ยนปิงซินว่าเอาไว้
การจัดวางมีจุดบกพร่อง ลายเส้นรวมทั้งคำว่าสายลมและจันทรา มีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงจริง ๆ
มินานขณะที่ทุกคนถอนสายตากลับมา ก็อดมิได้ที่จะสบตากับคนที่อยู่ข้าง ๆ แล้วหันกลับไปมองเยี่ยนปิงซินที่อยู่ทางด้านหลัง
‘คุณหนูท่านนี้เป็นลูกหลานตระกูลใดกัน ถึงได้มีความแตกฉานในอักษรพู่กันถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงดูมิคุ้นหน้าเลย ? ’
‘คงมิใช่คนในเมืองหลวงกระมัง มิเช่นนั้นด้วยพรสวรรค์ด้านอักษรพู่กันของนาง คงจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ! ’
‘แต่ภายในแคว้นต้าเยี่ยน ยังมิเคยได้ยินว่ามีสตรีที่เก่งกาจเช่นนี้มาก่อน ? ’
‘หรือว่ามาจากแคว้นอื่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เป็นไปได้ ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘มีเพียงเหตุผลนี้ที่สามารถอธิบายได้ ! ’
ตอนนั้นเองระหว่างที่ทุกคนกำลังคาดเดาตัวตนของเยี่ยนปิงซินอยู่นั้น ในที่สุดหวางม่อที่ยังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนเวทีก็ได้เอ่ยขึ้น
“แม่นางน้อย ท่านมาจากที่ใดงั้นหรือ ? ”
หวางม่อขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องเขม็งไปยังเยี่ยนปิงซินแล้วเอ่ยต่อ “เด็กที่มีพรสวรรค์ด้านอักษรพู่กันเช่นเจ้า ข้ามิเคยได้ยินมาก่อน เจ้าคงมิได้มาจากตระกูลใดในเมืองหลวงใช่หรือไม่ ? ”
“ข้าเป็นคนที่มิชอบพูดจาอ้อมค้อม บอกตามตรงข้าอยากจะรับเจ้าเป็นศิษย์ เต็มใจที่จะอุทิศสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต เพื่อช่วยให้เจ้าได้เป็นนักเขียนพู่กันแห่งยุค อีกทั้งด้วยพรสวรรค์ในด้านนี้ของเจ้า ข้ารับประกันได้เลยว่าภายภาคหน้าทั่วทั้งจงหยวนคงมิมีผู้ใดจะเทียบเคียงเจ้าได้”
เวลานี้หวางม่อรู้สึกตื่นเต้นมากจริง ๆ
แม้เยี่ยนปิงซินจะมิได้ชี้ถึงจุดบกพร่องที่เขาตั้งใจทิ้งเอาไว้ออกมาทั้งหมด แต่สามารถมองจุดบกพร่องในการจัดวางและการเชื่อมโยงออกเช่นนี้ เท่ากับว่านางสามารถอธิบายถึงจุดบกพร่องในภาพรวมได้หมดแล้ว
‘แม่นางผู้นี้มีพรสวรรค์ ! ’
‘มีพรสวรรค์จริง ๆ ! ’
‘รอคอยมาเกือบสิบปี ในที่สุดข้าก็ได้พบแล้ว’
เมื่อสิ้นเสียงหวางม่อ ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันใด ทุกคนต่างก็มองเยี่ยนปิงซินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาระคนตื่นเต้น
ราวกับกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเยี่ยนปิงซิน
‘ท่านบัณฑิตหวางเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว คุณหนูท่านนี้ท่านรีบตอบตกลงสิ ! ’
‘คุณหนูนี่เป็นโอกาสของท่านแล้ว ท่านจะลังเลอะไรอีก ! ’
‘คาดมิถึงว่าวันนี้จะได้พบสตรีที่เก่งกาจเช่นนี้ในหอสายลมจันทรา ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘ในที่สุดท่านบัณฑิตหวางก็มีผู้สืบทอดแล้ว’
มินานใบหน้าของเยี่ยนปิงซินก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ท่านหวาง ประการแรกก่อนหน้านี้ผู้น้อยมิได้ตั้งใจที่จะมาทำลายบรรยากาศ ประการที่สองภาพอักษรพู่กันของท่านมีจุดบกพร่องอยู่จริง ๆ ”
หวางม่อได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ปั้นหน้านิ่งอีก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที ก่อนพยักหน้าให้แก่เยี่ยนปิงซิน
เยี่ยนปิงซินพยักหน้าตอบ ก่อนจะหันไปมองเย่ฉางชิงและเอ่ยต่อว่า “แต่ผู้น้อยมิได้ต้องการจะเป็นศิษย์ของท่าน”
ทันใดนั้นภายในห้องโถงก็เงียบกริบลงอีกครั้ง
ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา จนอดมิได้ที่จะมองหน้ากัน
‘คุณหนูท่านนี้กล้าปฏิเสธท่านบัณฑิตหวางเชียวหรือ ! ’
‘ข้ามิได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ ! ’
‘ในเมืองหลวงมีคนกล้าปฏิเสธความหวังดีของบัณฑิตหวางด้วยหรือ นี่เป็นโอกาสที่ยากจะพานพบเชียวนะ ! ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘ฟังจากน้ำเสียงของคุณหนูท่านนี้ ราวกับว่านางรู้จักผู้ที่มีความสามารถในด้านอักษรพู่กันเหนือกว่าบัณฑิตหวางเสียอีก’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘แม้อักษรพู่กันภาพนี้ของท่านบัณฑิตหวางจะมีจุดบกพร่อง แต่สุดยอดผลงานของเขาหาใช่สิ่งที่จะมีผู้ใดเทียบเคียงได้’
และแล้วดวงตาของหวางม่อก็มีประกายบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแวบผ่าน พลางถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางน้อย หรือว่าเจ้ามีตัวเลือกอื่นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ตอนนั้นเองถึงทีของเยี่ยนปิงซินที่เป็นฝ่ายตกตะลึงบ้าง
‘ถูกต้อง ! ’
‘ข้ามีคนที่เลือกจะคารวะเป็นอาจารย์ตั้งนานแล้ว’
‘เพียงแต่ผู้ที่ถูกเลือกท่านนี้ มิเพียงจะมีความแตกฉานในด้านพิณ หมาก อักษรพู่กันและภาพวาดที่ล้ำลึก ทั้งยังมีตบะบารมีที่คาดมิถึงอีกด้วย’
‘เพียงแต่ข้ายังรู้สึกว่าตนเองนั้นยังมีคุณสมบัติมิพอ ที่จะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านนี้ได้’
เยี่ยนปิงซินคิดถึงตรงนี้สีหน้าก็ค่อย ๆ หม่นหมองลง พร้อมกับส่ายศีรษะน้อย ๆ ให้แก่หวางม่อ
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็หันมาสบตากัน และตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
‘คุณหนูท่านนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่ ? ’
‘มิได้รู้จักบุคคลที่เก่งกาจในด้านอักษรพู่กันที่เหนือกว่าบัณฑิตหวาง แต่ก็มิยอมคารวะบัณฑิตหวางเป็นอาจารย์’
‘หรือ… หรือว่ามิเห็นเขาอยู่ในสายตางั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘เป็นไปไม่ได้ ! ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ’
ในตอนนั้นเองในที่สุดเย่ฉางชิงก็ได้หัวเราะและเอ่ยปากออกมา
“ข้าขอพูดอะไรหน่อยก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงที่อุ้มจิ้งจอกน้อยสีขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติตัวหนึ่งเอาไว้แนบอก สวมอาภรณ์สีขาวตัวใหม่เอาไว้บนเรือนร่าง ทำให้ดูสง่างามและโดดเด่น
โดยเฉพาะรัศมีที่เปล่งออกมาจากภายในนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นถึงกับหลงใหลในความสง่างามของเขาได้อย่างง่ายดาย
เขากวาดตามองสายตาแปลก ๆ ของทุกคนเล็กน้อย สุดท้ายก็หันไปมองหวางม่อที่อยู่บนเวที
“ก่อนหน้านี้คุณหนูเยี่ยนได้ชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องสองจุดบนภาพอักษรพู่กันของท่านแล้ว เช่นนั้นข้าจะขอเสริมอีกสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
แต่ประโยคนี้เมื่อเข้าถึงโสตประสาทของทุกคนแล้ว กลับรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสก ๆ ก็มิปาน
‘ขอเสริมอีกสักเล็กน้อย ? ’
‘หรือว่าภาพอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางภาพนี้ ยังมีจุดบกพร่องจุดอื่นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
ขณะเดียวกันแม้แต่หวางม่อเองก็ยังอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น ก่อนกวาดสายตามองภาพอักษรพู่กันทางด้านหลังของตนเองใหม่อีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองบอกมาสิว่า ภาพอักษรพู่กันภาพนี้ของข้ายังมีปัญหาอะไรอีกงั้นหรือ”
หวางม่อเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ
‘ต้องยอมรับว่าวันนี้ข้าคำนวณพลาดไปจริง ๆ ’
‘คาดมิถึงว่าจะมีสตรีที่เก่งกาจเช่นนี้ปรากฏตัวยังหอสายลมจันทรา มิเช่นนั้นเขาคงจะมิทิ้งจุดบกพร่องเอาไว้ และแสดงความสามารถอย่างสุดฝีมือแน่นอน’
‘แต่บัดนี้กลับมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมองจุดบกพร่องบนภาพอักษรพู่กันของข้าออกอีกคนหนึ่ง’
‘อีกทั้งยังเป็นจุดที่ต้องการเสริมจากสตรีผู้นั้นอีก’
‘แน่นอนว่าจุดบกพร่องบนภาพอักษรพู่กันของข้า เป็นตำหนิเพียงเล็กน้อยเท่านั้น’
‘หากบุรุษหนุ่มผู้นี้สามารถอธิบายออกมาได้จริง ๆ ล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าความแตกฉานของบุรุษผู้นี้ย่อมหาใช่ธรรมดาไม่’
‘เช่นนั้นย่อมหมายความว่าต้องการยั่วยุข้าด้วยงั้นหรือ ? ’
“อักษรพู่กันมิได้มีแค่รูปร่างและพลัง แต่ในสายตาข้ายังต้องมีจิตวิญญาณด้วย”
เย่ฉางชิงเพียงยิ้มบาง ๆ มิได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา “ที่เรียกว่ารูปร่างก็คือการจัดวางที่คุณหนูเยี่ยนได้พูดไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งความไหลลื่นของตัวอักษร เห็นได้ชัดว่าทั้งสองจุดนี้ ท่านคงตั้งใจทำให้เป็นเช่นนั้น”
เมื่อสิ้นเสียงทุกคนก็ครุ่นคิดตาม ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ขณะเดียวกันสายตาที่พวกเขาใช้มองเย่ฉางชิงก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
‘ดูท่าเจ้าหนุ่มคนนี้คงจะมีความรู้ในด้านอักษรพู่กันจริง ๆ สินะ’
“ต่อจากนี้ข้าจะขอพูดถึงเรื่องของพลัง”
เย่ฉางชิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “แท้จริงแล้วพลังก็มาจากรูปร่าง หากมีรูปร่างแต่ไร้พลังก็ถือว่าอยู่ในขั้นต้นของการเขียนอักษรพู่กันเท่านั้น หากมีรูปร่างและมีพลังถึงจะนับว่ามีความแตกฉานในการเขียนอักษรพู่กัน”
“แต่อักษรพู่กันภาพนี้ของท่าน รูปร่างตัวอักษรเมื่อมีจุดบกพร่องแล้ว เช่นนั้นจึงเท่ากับว่าเมื่อไร้รูปร่างย่อมไร้พลังด้วย มิทราบว่าที่ข้ากล่าวมามีเหตุผลหรือไม่ ? ”
ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในพริบตา ท่าทางของทุกคนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
‘บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นเทพมาจากที่ใดกัน เหตุใดจึงมีความรู้ด้านอักษรพู่กันลึกซึ้งเพียงนี้ได้’
‘ที่สำคัญที่สุดคำวิจารณ์ของสตรีอายุน้อยก่อนหน้านี้นับว่าโหดร้ายแล้วก็จริง แต่คาดมิถึงว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะทำให้ผลงานของบัณฑิตหวางชิ้นนี้ ถึงกับมิควรค่าจะเรียกว่าอักษรพู่กันเสียด้วยซ้ำ’
‘เรื่องนี้เท่ากับเป็นการสงสัยในความแตกฉานด้านอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางเชียวนะ ! ’
เวลานี้แม้สีหน้าของหวางม่อจะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย แต่ภายในใจของเขาราวกับมีคลื่นโหมกระหน่ำอยู่นานแล้ว
‘อักษรพู่กันของข้านับได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมากแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำวิจารณ์ของบุรุษหนุ่มผู้นี้ จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกรู้แจ้งขึ้นมา’
‘บุรุษหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมีความรู้ด้านอักษรพู่กันลึกซึ้งเพียงนี้ได้ ! ’
‘จริงสิ แล้วจิตวิญญาณที่เขาพูดถึงคือสิ่งใดกัน ? ’
เย่ฉางชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เอ่ยต่อ “เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะเขียนตัวอักษรให้ท่านหนึ่งตัว”