ตอนที่ 155 เหตุใดเสียงพิณนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก ?
ขณะเดียวกัน ณ หอสายลมจันทรา ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยน
คำพูดที่มิใส่ใจของเย่ฉางชิงเพียงประโยคเดียว กลับทำให้คนที่อยู่บนชั้นหมากล้อมถึงกับต้องปิดปากเงียบด้วยความหวาดกลัว บรรยากาศกดดันจนถึงขีดสุด
แต่หลังจากได้สติกลับมา
เย่ฉางชิงที่เห็นผู้คนตรงหน้าต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกก็ชะงักงันไปทันที
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’
‘หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ ? ’
‘แต่เจ้าของภาพกลหมากปริศนาเหล่านี้กำลังกลั่นแกล้งข้าอยู่จริง ๆ นี่นา’
‘ข้าแก้ภาพกลหมากปริศนาติดกันได้มากมายเพียงนี้ นับว่าเปลืองแรงไปมิน้อย’
‘แต่ทุกคราที่ถึงเวลาช่วงสำคัญ เสียงนั้นกลับเลือนหายไปจากโสตประสาททันที ข้าพูดอะไรผิดไปกัน ? ’
เพราะตั้งแต่ตอนที่เขามาถึงโลกเซียนแห่งนี้ ก็ถูกตรวจพบว่าไร้รากวิญญาณ ถูกกำหนดให้ต้องใช้ชีวิตธรรมดาในโลกเซียนแห่งนี้ไปชั่วชีวิต
บัดนี้การที่ได้พบโอกาสและความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เหลือ เขาย่อมมิคิดที่จะปล่อยไปง่าย ๆ
ทว่าสุดท้ายเขากลับมิได้รับวาสนาจากภาพกลหมากปริศนา แต่พอเป็นคนอื่นกลับสามารถได้รับมันไปง่าย ๆ
หากนี่มิใช่การกลั่นแกล้ง แล้วจะเรียกว่าอันใดกันเล่า?
อีกทั้งหากมิใช่เพราะเขาได้ฝึกฝนจิตใจอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือมาเป็นเวลาถึง 5 ปีแล้วล่ะก็ หากเป็นคนอื่นคงอาละวาดไปตั้งนานแล้ว
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็ได้พูดกับตัวเองในใจต่ออีกว่า ‘บางทีข้าเย่ฉางชิงอาจถูกกำหนดให้ใช้ชีวิตราบเรียบในโลกเซียนแห่งนี้แล้วก็เป็นได้ ช่างเถอะข้าจะมิขอฝืนโชคชะตาอีกแล้ว’
เย่ฉางชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ของตัวเอง ขณะเดียวกันท่าทางของเขาก็ค่อย ๆ อ่อนลง พลางยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน “ทำให้ทุกท่านต้องหัวเราะเข้าแล้ว”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง จึงอดมิได้ที่จะมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มแห้งออกมาแล้วประสานมือค้อมหัวให้แก่เย่ฉางชิง
ยอดคนเช่นนี้สำรวมต่อพวกเขาถึงเพียงนี้ มิได้วางอำนาจใด ๆ แม้แต่น้อย พวกเขาย่อมมิกล้าที่จะเหิมเกริมอยู่แล้ว
ตอนนั้นเองหลู่ฉีที่ใบหน้าประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเย่ ยังเหลือภาพกลหมากปริศนาอีก 1 ภาพ จะให้ข้าช่วยเปิดให้อีกหรือไม่ขอรับ ? ”
‘ภาพกลหมากปริศนาภาพสุดท้าย?’
เย่ฉางชิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับหลู่ฉี แล้วกวาดตามองกล่องไม้ทรงยาวกล่องนั้น
สุดท้ายเขาจึงยิ้มออกมาพลางส่ายศีรษะไปมา
เสียเวลาไปตั้งหลายชั่วยาม เพื่อแก้ภาพกลหมากปริศนาติดต่อกันถึง 12 ภาพ
นอกจากเยี่ยนปิงซินที่ได้รับโอกาสและวาสนาจากภาพกลหมากปริศนาภาพที่สี่ไปแล้ว ทว่าเย่ฉางชิงกลับมิได้รับอะไรเลย
ส่วนกลหมากบนภาพกลหมากปริศนา สำหรับเขาแล้ว นอกจากการที่จะต้องใช้เวลาอย่างมากในการทำความเข้าใจทิศทางการเดินของทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่การจะแก้กลหมากนั้นกลับง่ายดายยิ่งนัก
เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงหมดความอดทนที่จะมานั่งแก้ภาพกลหมากปริศนาภาพสุดท้ายอีก
แม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่เย่ฉางชิงก็เพียงแค่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าแก้กลหมากปริศนาติดต่อกันมาถึง 12 ภาพแล้ว ภาพที่เหลืออีกภาพหนึ่งนั้นเก็บเอาไว้ให้คนรุ่นหลังแก้จะดีกว่า”
หลู่ฉีนิ่งอึ้งไป ก่อนจะพยักหน้ารับยิ้ม ๆ
ต้องบอกว่ากลหมากปริศนา 13 ภาพนี้ถือว่าเป็นของมีค่าของชั้นหมากล้อมจริง ๆ
หากวันนี้ถูกแก้จนหมด เกรงว่าคงส่งผลต่อความดึงดูดใจในภายภาคหน้าของชั้นหมากล้อมเป็นแน่
มิต้องพูดถึงความเก่งกาจของเย่ฉางชิงที่มิมีผู้ใดเทียบเทียมได้ มิหนำซ้ำวันนี้ยังสามารถแก้กลหมากปริศนาติดต่อกันได้ถึง 12 ภาพ ลำพังแค่สายตาอันยาวไกลที่เขายอมเก็บภาพกลหมากปริศนาภาพสุดท้ายเอาไว้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนชื่นชมด้วยใจจริงแล้ว
ยอดคนที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ทำสิ่งใดก็มักจะละเอียดรอบคอบ มีสายตายาวไกลจริง ๆ
ทันใดนั้นหลังจากสิ้นเสียงของเย่ฉางชิง ผู้คนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แววตาที่มองเย่ฉางชิงก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“ท่านปู่ เหตุใดท่านเย่ผู้นี้จึงมิแก้กลหมากปริศนาภาพสุดท้ายต่อเล่าเจ้าคะ ? ”
ตอนนั้นเองเด็กผู้หญิงที่ถักเปียสองข้างคนหนึ่งก็เอียงคอ แล้วหันไปถามผู้เฒ่าท่าทางสุภาพที่อยู่ข้าง ๆ
ผู้เฒ่าลูบที่ศีรษะของเด็กหญิง แล้วตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่นว่า “เด็กน้อย เรื่องบางเรื่องรอเจ้าโตแล้วเจ้าจะเข้าใจเหตุผลเอง เจ้าเพียงแค่ต้องจำเอาไว้ว่าต่อไปเมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าจะต้องเอาท่านเย่เป็นแบบอย่าง”
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงกะพริบปริบ ๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้ารับด้วยท่าทางจริงจังว่า “ท่านปู่ ข้าจะจำเอาไว้เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะเอาท่านเย่เป็นแบบอย่าง อีกทั้งข้าจะแต่งงานกับคนเช่นท่านเย่ด้วยเจ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าได้ฟังเช่นนั้นก็ชะงักไปทันที ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน
ขณะเดียวกันเมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามมิอยู่
ทว่าคำพูดไร้เดียงสาของเด็กน้อย กลับย้ำเตือนทุกคนถึงบางสิ่ง
ยอดคนที่สุภาพอ่อนโยนและตบะบารมีน่าจะอยู่ในขั้นสูงสุดเช่นนี้ คนรักของเขาก็ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นกันกระมัง ?
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงที่ใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ก็ได้เดินมาตรงหน้าของเด็กผู้หญิง และถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่หนูน้อย เจ้าชื่อว่าอะไรรึ ? ”
สายตาของเด็กน้อยหันไปจดจ้องยังจิ้งจอกน้อยในอ้อมกอดของเย่ฉางชิง แล้วตอบมิตรงคำถามว่า “ท่านเย่ จิ้งจอกสีขาวที่ท่านอุ้มเอาไว้น่ารักจังเลยเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายของเด็กหญิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบประสานมือให้แก่เย่ฉางชิง “ท่านเย่ นางเป็นหลานสาวของข้าเอง ชื่อว่าจัวหรั่วมู่ขอรับ”
เย่ฉางชิงมองไปยังเด็กน้อย ก่อนจะชั่งใจเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “น่ารักและฉลาดเฉลียวเช่นนี้ ชื่อหรั่วมู่มิค่อยเหมาะเท่าไรนัก หากท่านมิรังเกียจข้าขอมอบชื่อหนึ่งให้นางได้หรือไม่”
ผู้เฒ่าถึงกับตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปรอยยิ้มยินดีและเอ่ยกับเด็กหญิงว่า “หลานรัก ยังมิรีบขอบคุณท่านเย่อีก”
เด็กน้อยมองมาที่เย่ฉางชิง ก่อนจะพยักหน้างึกงัก “หรั่วมู่ขอบคุณท่านเย่ที่มอบชื่อใหม่ให้เจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงยื่นมือออกไปลูบที่แก้มนุ่มนิ่มของเด็กน้อย พลางเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ดวงตาสุกสกาว สดใสจับใจ ต่อไปจะต้องฉลาดเฉลียวอย่างแน่นอน เช่นนั้นให้ชื่อว่าเหวินจวินก็แล้วกันนะ จัวเหวินจวิน”
“จัวเหวินจวินหรือขอรับ ? ”
ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแย้มออกมา “ท่านเย่ช่างปราดเปรื่องจริง ๆ จัวเหวินจวินเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ ขอรับ”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็หยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนนั้นเอง
“ตึ้ง ! ”
ก็มีเสียงพิณดังกังวานมาจากด้านบน
เสียงพิณอันไพเราะที่ดังขึ้นเป็นระลอก ราวกับดนตรีสวรรค์ทำให้ผู้คนมีจิตใจที่เบิกบาน
ขณะเดียวกันผู้คนที่ได้ยินเสียงพิณดุจดังสายลมนี้ก็ได้สบตากันเล็กน้อย ใบหน้าต่างเผยความยินดีออกมา
“มิผิดแน่ เสียงพิณนี้จะต้องเป็นท่านเซียนผู้นั้นมาปรากฏตัวที่ชั้นพิณเป็นแน่”
“มิได้พบเพียงมิกี่วัน แต่ดุจดั่งมิได้พบกันมาหลายปี เสียงพิณของเซียนท่านนั้นช่างทำให้ผู้คนหลงใหลได้จริง ๆ ”
“ใช่แล้ว บทเพลงที่ท่านเซียนผู้นี้บรรเลงช่างไพเราะยิ่งนัก หากวันหนึ่งมิสามารถได้ยินบทเพลงที่ท่านเซียนผู้นี้บรรเลงได้อีก พวกเราจะทำเช่นไรกันดี ! ”
“เหตุใดมัวแต่อึ้งกันอยู่อีก พวกเรารีบขึ้นไปชั้นพิณกันเถอะ”
“ใช่แล้ว รีบขึ้นไปที่ชั้นพิณกัน ! ”
“……”
ทันทีที่ผู้คนบนชั้นหมากล้อมได้ยินเสียงจากด้านบนต่างก็มีสีหน้าปลื้มปิติ ก่อนจะพุ่งตรงไปทางบันไดอย่างเร่งรีบ
“ท่านเย่ พวกเราจะขึ้นไปที่ชั้นพิณด้วยหรือไม่เจ้าคะ ? ”
ตอนนั้นเองเยี่ยนปิงซินก็ได้มาหยุดที่ด้านหน้าของเย่ฉางชิง พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล
เย่ฉางชิงที่เงียบฟังเสียงพิณที่ดังมาจากด้านบน ถึงกับขมวดคิ้วออกมาอย่างห้ามมิได้ “เสียงพิณนี้เหตุใดถึงฟังดูคุ้นหูเช่นนี้นะ ? ”
‘คุ้นหู ? ’
ดวงตาดำขลับของเยี่ยนปิงซินกะพริบปริบ ๆ พร้อมกับเผยสีหน้าสงสัยออกมา
‘หรือว่าท่านเย่จะมีคนรู้จักอยู่ที่เมืองหลวง ? ’