ตอนที่ 158 จักรพรรดิมารฟื้นคืน
เสียงพิณค่อย ๆ ดังขึ้น
เย่ฉางชิงหลับตาลง นิ้วอันเรียวยาวทั้งห้านิ้วกรีดลงเบา ๆ บนสายพิณ ดูคุ้นเคยและเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกงดงามยิ่งนัก
แต่ที่น่าหลงใหลที่สุดก็คือเสียงพิณ
การเปลี่ยนท่วงทำนองเกือบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ อีกทั้งตัวเพลงฮั่วฟานนี้ยังแฝงเอาไว้ด้วยความเศร้าสร้อย
เมื่อฟังไปครู่หนึ่งก็จะสามารถทำให้ร่างกายและจิตใจของคนสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่กลับให้ความรู้สึกโศกเศร้าอย่างน่าประหลาด
เมื่อเสียงพิณอันไพเราะดังออกไป มิเพียงแต่ทำให้ทั้งชั้นพิณเงียบสงบลง แต่ทั่วทั้งหอสายลมจันทรา รวมถึงอีกหลาย ๆ ที่นอกจากหอสายลมจันทราก็เงียบสงบลงเช่นกัน
ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ มองขึ้นไปทางชั้นบนสุดของหอสายลมจันทรา
ส่วนผู้คนที่อยู่บนชั้นพิณต่างมีสีหน้าที่แฝงเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนก สายตาจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังที่นั่งอยู่ใกล้เสาแกะสลัก
วินาทีนี้ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นเซียนลงมานั่งอยู่ตรงนั้น และกำลังบรรเลงดนตรีอันไพเราะ เพื่อชำระล้างจิตใจและวิญญาณให้พวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
โดยเฉพาะหลิวหรูเยียนที่มีรูปร่างอวบอัดและสวมกระโปรงสีแดงสดนั้น กำลังรู้สึกราวกับทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน
ก่อนที่ถานไถชิง เสวี่ยจะปรากฏตัวในชั้นพิณแห่งนี้ ความแตกฉานในวิถีดนตรีของนาง ทั่วทั้งเมืองหลวงยากที่จะมีผู้ใดเทียบเคียงได้
เพราะการปรากฏตัวคราแรกของถานไถชิง เสวี่ย และการบรรเลงเพลง ๆ หนึ่งต่อหน้านางเมื่อมินานมานี้
นางถึงได้เข้าใจคำพูดที่เทพท่านหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้อย่างลึกซึ่ง
‘เหนือเขายังมีเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า ! ’
ถ้าหากจะเทียบความแตกฉานในวิถีดนตรีอันน้อยนิดของนางกับของถานไถชิง เสวี่ยแล้ว ก็คงเปรียบได้กับเงาที่สะท้อนของเมล็ดข้าวสารกับดวงจันทร์อันเจิดจ้า
ทว่าบัดนี้หลังจากที่นางได้ยินท่านเย่บรรเลงเพลงนี้แล้ว
จู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับตนเองมิเคยมีความรู้ใด ๆ มาก่อน
ขณะเดียวกัน เยี่ยนเทียนซานที่ได้ยินเย่ฉางชิงดีดพิณเป็นคราแรก เวลานี้ก็อดมิได้ที่จะใจสั่นขึ้นมา ใบหน้าเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เพราะเขานั้นพึ่งเข้าสู่แดนเทวาได้มินาน
แต่หลังจากได้ยินเสียงพิณเช่นนี้ ราวกับจิตใจรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งกว่าเดิม พลังวิญญาณภายในกายค่อย ๆ หมุนเวียนไปตามวิถีบางอย่าง
เวลามิถึงครึ่งก้านธูป เหมือนกับว่าระดับขั้นของเขาจะแข็งแกร่งขึ้น
‘วาสนา ! ’
‘นี่มันคือสุดยอดวาสนาจริง ๆ ! ’
เยี่ยนเทียนซานคิดได้ดังนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาลง ระหว่างฟังเสียงพิณที่กำลังบรรเลง ก็ค่อย ๆ พิจารณาความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายไปด้วย
ขณะเดียวกัน
ณ สำนักศึกษาตงหลัน
จางเฉินกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่หน้าตำหนักเฉียนเซียนบนภูเขาด้านหลัง
หลังจากที่คืนนั้นได้รู้สึกถึงกลุ่มไอพลังสีดำที่หน้าอารามฉางชิงแล้ว เขาก็ใคร่ครวญกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะไปตามหาท่านเทพท่านนั้นทางทิศใต้ของเมืองหลวงดีหรือไม่
เพราะวันนี้มีศิษย์ผู้หนึ่งได้มาหาเขา
บอกว่าขุนนางสำคัญในราชสำนักได้มีการเสนอให้การมีการแก้ไขกลยุทธ์ของกรมกลาโหม อีกทั้งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างเยี่ยนหยางเหนียนยังตอบรับโดยมิมีการลังเลแต่อย่างใด
เรื่องนี้จึงทำให้เห็นถึงเจตนาของเยี่ยนหยางเหนียนได้อย่างชัดเจน
ว่าเขาต้องการที่จะเปิดศึก เพื่อจบสถานการณ์ที่จงหยวนถูกปกครองโดยสี่แคว้นใหญ่
เห็นได้ชัดว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดจากนิมิตฟ้าประทานที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อมินานมานี้ อีกทั้งโชคนับอนันต์ที่หนุนนำแคว้นตาเยี่ยนเอาไว้
และการที่จะยับยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ มีเพียงท่านเทพฉางชิงท่านนั้นเพียงผู้เดียว
จางเฉินคิดถึงตรงนี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ว่า “หากแคว้นต้าเยี่ยนเปิดศึก จะต้องส่งผลกระทบไปทั่วอย่างแน่นอน อีกสามแคว้นที่เหลือก็ย่อมเข้าสู่ความโกลาหลไปด้วย”
“ถึงตอนนั้นเมื่อเกิดการช่วงชิงอำนาจ ราษฎร์ทั่วทั้งจงหยวนจะต้องเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า อีกทั้งทั้งสี่แคว้นต่างก็มีพลังแข็งแกร่ง หากเปิดศึกจะต้องใช้เวลายาวนาน นี่มันหายนะชัด ๆ ! ”
เอ่ยถึงตรงนี้ อารามฉางชิงที่อยู่บนภูเขาตะวันออกก็มีลำแสงทะยานพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันก็มีเสียงพิณลอยออกมาจากที่นั่นด้วย
เสียงพิณอันไพเราะเสนาะหู ที่แฝงพลังเวทย์ประหลาดบางอย่าง ทำให้จิตใจคนฟังสงบขึ้นมาโดยมิรู้ตัว ไร้ซึ่งความสับสนวุ่นวาย คล้ายกับว่าโลกนี้มีเพียงเสียงพิณอันไพเราะนี้เท่านั้น
“สองวันมานี้อารามฉางชิงเกิดนิมิตเช่นนี้บ่อยครั้ง แสดงว่าท่านเทพฉางชิงผู้นั้นจะต้องอยู่ทิศใต้ของเมืองหลวงเป็นแน่”
จางเฉินขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะตัดสินใจพร้อมเอ่ยออกมาว่า “เพื่อยับยั้งหายนะจากสงครามครั้งนี้ เพื่อปวงประชาทั่วหล้า ข้าจำเป็นจะต้องไปพบท่านเทพฉางชิงท่านนี้ให้ได้”
……………………….
ณ ดินแดนรกร้างทางเหนือ
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังบรรเลงเพลงฮั่วฟานที่หอสายลมจันทราอยู่ในเมืองหลวง
ลึกเข้าไปในทุ่งน้ำแข็งทางเหนือที่รกร้างวางเปล่า จู่ ๆ ก็เกิดเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว ลมพายุโหมกระหน่ำ หิมะขนาดใหญ่ราวกับขนนกก็ร่วงหล่นลงมา
“เปรี้ยง ! ”
ทันทีที่สายฟ้าอันเจิดจ้าสายหนึ่งฟาดลงมา ก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาจากส่วนลึกของกลุ่มเมฆมิหยุดหย่อน สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว จนเกิดเสียงวิ๊งขึ้นในโสตประสาท ปรากฏการณ์อันน่ากลัวนี้ราวกับวันสิ้นโลกจะมาถึงก็มิปาน
โดยเฉพาะที่แดนศักดิ์สิทธิ์พรรคมาร บัดนี้ได้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง มีไอทำลายล้างปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าภายในพริบตา
ขณะเดียวกัน แสงที่ส่องประกายเจิดจ้าก็ปกคลุมไปเกือบทั่วทั้งบริเวณนั้น
ตอนนั้นเองผู้แข็งแกร่งพรรคมารที่ประจำการอยู่ใกล้แดนศักดิ์สิทธิ์ราวกับสัมผัสได้ ต่างก็รีบมุดขึ้นมาจากใต้ดิน
ทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ด้านบนแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า แสงที่ส่องประกายเจิดจ้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก
จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป หมอกโลหิตอันรุนแรงพลันพวยพุ่งขึ้นมาจากด้านล่าง ราวกับเขื่อนแตก พลังแห่งการทำลายล้างแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวมหาศาลที่ทะยานขึ้นมาจากหุบเหวลึก ก็ได้ปะทะกับปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ปกคลุมอยู่ด้านบน
“นี่… นี่มัน ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะท่านผู้เฒ่าฟื้นคืนแล้วเป็นแน่ ! ”
“ใช่แล้ว ในที่สุดจักรพรรดิมารก็ได้ฟื้นขึ้นแล้ว ! ”
“คาดมิถึงว่าโลกนี้จะมีผู้ที่สามารถบรรเลงเพลงฮั่วฟานนั่นได้อีก หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด จะต้องเป็นสหายเก่าของจักรพรรดิมารเป็นแน่ และต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานเช่นกัน”
“มิต้องสนใจอะไรให้มากนักหรอก ขอเพียงสามารถปลุกจักรพรรดิมารขึ้นมาได้ มิว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ ก็นับเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าเราแล้ว”
“ใช่ รอบุกเข้าจงหยวนและตามหาผู้ที่บรรเลงเพลงนี้พบ ข้าจะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของเผ่าเรา”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามารมากมายต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าประดับเอาไว้ด้วยความยินดี
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงสตรีลึกลับเสียงหนึ่งดังขึ้น
แม้น้ำเสียงจะฟังดูนิ่งเรียบ แต่กลับทรงอำนาจและน่าเกรงขามยิ่งนัก อดที่จะทำให้จิตใจและร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมามิได้
“เจ้าเคยบอกว่า บนโลกจะมีดอกไม้ที่เหมือนกันสองดอก ดอกหนึ่งบาน ดอกหนึ่งเหี่ยวเฉา”
“ตอนนั้นเจ้าตายในสงครามก็เพราะข้า มาบัดนี้เพลงฮั่วฟานดังขึ้นที่โลกมนุษย์อีกครา ใช่เจ้าหรือไม่ ? ”
“……”
เมื่อเสียงลึกลับและน่าสะพรึงกลัวนี้ค่อย ๆ มลายหายไป
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารมากหน้าหลายตาที่ยืนอยู่รอบ ๆ แดนศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็มีสีหน้าหวาดหวั่นและมองหน้ากันทันที
มินานพวกเขาต่างก็พากันหมอบลงกับพื้น เพื่อสักการะดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่เคยทำมา
“ข้าน้อยยินดีกับการฟื้นขึ้นมาอีกคราของท่านจักรพรรดิมารขอรับ ! ”
กลุ่มผู้แข็งแกร่งเผ่ามารเอ่ยออกมาด้วยความหวั่นเกรง
“ข้าหลับไปนานเพียงใดแล้วหรือ ? ”
มินานเสียงที่เย็นยะเยือกเข้ากระดูกก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันกลับดุดันและเย็นชาจนทำให้คนฟังขนลุกชัน
“เรียนท่านจักรพรรดิมาร ตามที่ตำราโบราณบันทึกเอาไว้ ท่านหลับไหลไปเกือบสามล้านปีแล้วขอรับ”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่อยู่มานับล้านปีผู้หนึ่งเอ่ยตอบกลับไป
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าจงเฝ้าที่นี่ต่อไป รอข้าทำลายผนึกบนกายได้สมบูรณ์แล้ว และตบะบารมีกลับมามั่นคงอีกครั้ง ข้าจะนำพวกเจ้ากลับไปจงหยวนอีกครั้งให้ได้”
เสียงอันเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง