ตอนที่ 161 ยังมิรีบเชิญพี่ฉางเสวียนกลับมาอีก
‘ท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนงั้นหรือ ? ’
‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีบรรพจารย์ปรากฎกายขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ’
‘อีกทั้งดูเหมือนท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้ จะสามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิมารผู้นั้นได้ด้วย ? ’
‘นี่มิได้กำลังล้อกันเล่นใช่หรือไม่ ? ’
ทันใดนั้นเหล่าผู้นำของสำนักต่าง ๆ ก็สบตากัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าทุกคนในที่นี่นอกจากเจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนแล้ว มิมีผู้ใดเชื่อว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมีบรรพจารย์เช่นนี้อยู่จริง ๆ
ตอนนั้นเองเจ้าสำนักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ปรายตามองนักพรตฉางเสวียนด้วยสายตาหยอกล้อ พร้อมส่ายศีรษะไปมาก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ฉางเสวียน หากจักรพรรดิมารผู้นั้นฟื้นขึ้นมาจริง ๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของทั้งจงหยวน เวลาเช่นนี้ท่านอย่ามาล้อเล่นจะดีกว่า”
คนที่เหลือได้ยินเช่นนั้น ก็พยักหน้าพร้อมยิ้มไปทางนักพรตฉางเสวียน
“คนแซ่ต้วน เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเจ้าเล่นงั้นหรือ?”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยท่าทางเย็นชา จับจ้องไปยังต้วนฉางเต๋อด้วยสายตาเย็นเหยียบ พร้อมเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าก็รู้ดีว่านับตั้งแต่สงครามครานั้นจบลง จวบจนถึงทุกวันนี้เผ่ามนุษย์ของเราอ่อนแอลงมากเพียงใด”
“อย่าว่าแต่จักรพรรดิมารผู้นั้นเลย แค่เหล่าผู้แข็งแกร่งของฝ่ายมารจากแดนรกร้างทางเหนือ รวมถึงเหล่าผู้เฒ่าของเผ่าปีศาจจากเทือกเขาแดนใต้ พวกเขาต่างก็มีอายุที่ยืนยาว บางตนมีชีวิตมาเกือบล้านปีหรือมากกว่านั้น หากมิมีค่ายกลสังหารที่บรรพชนของเผ่ามนุษย์วางเอาไว้ปกป้องแดนเหนือและแดนใต้ เกรงว่าบัดนี้จงหยวนคงถูกโจมตีไปแล้วกระมัง ? ”
นักพรตฉางเสวียนลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อพลางแค่นเสียงว่า “บัดนี้จักรพรรดิมารผู้นั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว การจะทำลายผนึกเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ถึงตอนนั้นต่อให้ทางเหนือจะมีค่ายกลสังหารที่ถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล คิดหรือว่าจะสามารถขัดขวางจักรพรรดิมารผู้นั้นได้ ? ”
พูดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็ปรายตามองต้วนฉางเต๋อ พร้อมคำรามใส่ว่า “ต้วนฉางเต๋อ ข้าพูดถูกหรือไม่ ? ”
ต้วนฉางเต๋อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป ก่อนจะกลอกตาใส่นักพรตฉางเสวียนอย่างอดมิได้
ต้องบอกว่าสิ่งที่เขากล่าวมานั้นถูกต้องยิ่งนัก
แต่มันหมายความว่าเช่นไรกันแน่ ?
หรือว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีท่านบรรพจารย์จริง สามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารผู้นั้นได้จริง ๆ หรือ ?
หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีบรรพจารย์เช่นนี้จริง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้าจะอยู่อันดับล่างสุดของห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งจงหยวนเยี่ยงนี้หรือ
คิดว่าพวกเราเป็นเด็กสามขวบหรือเยี่ยงไรกัน ?
หรือว่าการบำเพ็ญเพียรของเหอฉางเสวียนจะมีปัญหาจนสมองกระทบกระเทือน ?
“พี่ฉางเสวียน ต้องยอมรับว่าที่ท่านพูดมานั้นสมเหตุสมผลกว่าเจ้าหลัวมากทีเดียว แต่มันหมายความว่าเช่นไรเล่า ? ”
ต้วนฉางเต๋อยักไหล่ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หรือแค่ท่านพูดเพียงเท่านี้ พวกข้าก็เชื่อได้แล้วว่าบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้าท่านนั้น สามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารผู้นั้นได้จริง ๆ ? ”
“ต้วนฉางเต๋อ ! ”
นักพรตฉางเสวียนได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันพลังอันแข็งแกร่งก็ระเบิดออกมาจากร่าง พลางจ้องเขม็งไปยังต้วนฉางเต๋อ
แต่ในตอนนั้นเอง
“ปัง ! ”
สิ่งที่ทุกคนคาดมิถึงก็คือ เจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนก็ตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน ท่าทางเต็มไปด้วยความโมโห
“ต้วนฉางเต๋อ เจ้าจะสามหาวเกินไปแล้วนะ ! ”
สวีฉิงเทียนมองต้วนฉางเต๋อที่กำลังมึนงงด้วยสายตาเย็นเหยียบ พร้อมเอ่ยตำหนิว่า “ผู้อาวุโสเย่ท่านนั้น มิใช่คนที่เจ้าจะบังอาจมาเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขาได้”
“พี่สวี ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
ต้วนฉางเต๋อได้สติขึ้นมา ก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยถามสวีฉิงเทียนด้วยความสงสัยว่า “ข้าเคยได้ยินว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเจ้ากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีมิตรภาพอันดีต่อกันมานาน แต่ก็มิถึงขนาดจะต้องมาต่อว่าข้าเช่นนี้กระมัง ? ”
“ถูกต้อง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของข้ามีมิตรภาพอันดีกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เมื่อก่อนเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น อนาคตก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป”
สวีฉิงเทียนยังคงเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “แต่ที่ข้าเอ่ยปากเรื่องนี้ มิใช่เพียงเพราะเจ้าดูถูกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่เป็นเพราะเจ้ามิควรสงสัยในตัวผู้อาวุโสเย่”
สวีฉิงเทียนเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็กวาดตามองทุกคน สุดท้ายก็สบตากับนักพรตฉางเสวียนเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอบอกพวกเจ้าตามตรงเลยว่า ข้าดูแล้วแม้แต่จักรพรรดิมารผู้นั้นก็หาได้อยู่ในสายตาของท่านผู้อาวุโสเย่ไม่ ! ”
“ห๊ะ ! ”
ผู้คนในที่นั้นเมื่อได้ยินต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พลางมองใบหน้ากันไปมา
หากคำพูดนี้ออกมาจากนักพรตฉางเสวียน พวกเขามิมีทางเชื่ออย่างแน่นอน
แต่บัดนี้เจ้าสำนักจื่อชิงเอ่ยปากมาถึงเพียงนี้ ก็เพียงพอที่จะไตร่ตรองดูแล้ว
แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมีมิตรภาพอันดีต่อกัน แต่มิได้หมายความว่าเจ้าสำนักจื่อชิงนั้นจะอยู่ในระดับเดียวกันกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
อีกทั้งอุปนิสัยของเจ้าสำนักจื่อชิงอย่างสวีฉิงเทียน ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น
ในเมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีบรรพจารย์เช่นนี้ เหตุใดหลายปีมานี้ถึงมิได้เป็นที่กล่าวถึงใด ๆ เลย ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง หลายปีมานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคงเก็บซ่อนเอาไว้ดีเกินไปกระมัง ?
ถึงแม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในเวลานี้จะตกต่ำลงไปมากกว่าแต่ก่อน แต่หากเป็นสมัยบรรพกาล ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้นเรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า บรรพจารย์เกือบทุกยุคล้วนมีคนบรรลุขึ้นสวรรค์
แต่ตามหลักแล้ว บรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนบ้างก็ขึ้นสรวงสวรรค์ไปแล้ว บ้างก็มิสามารถก้าวผ่านขั้นสุดท้ายจนสิ้นชีพไป
เหตุใดพอถึงเวลาสำคัญเช่นนี้ จู่ ๆ ถึงมีท่านบรรพจารย์เย่โผล่ออกมาได้ ?
หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนท่านนี้จะขึ้นสวรรค์ไปแล้ว และกลับลงมาบนโลกมนุษย์อีกครางั้นหรือ ?
เช่นนั้น คงมีเพียงความคิดนี้เท่านั้นที่จะสามารถอธิบายได้
แต่นี่มันมิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย !
อีกทั้งตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มิเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
แล้วจะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไรกัน ?
ตอนนั้นเองเจ้าสำนักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง ที่นั่งอยู่ด้านบนก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียดว่า “พี่ฉางเสวียน ท่านบรรพจารย์เย่ท่านนั้นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีพลังที่จะต่อกรกับจักรพรรดิมารผู้นั้นจริงหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้นเหอฉางเสวียนก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้ายอมรับว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของข้ามิอาจรุ่งเรืองเทียบเท่าในอดีต”
นักพรตฉางเสวียนมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย กวาดตามองทุกคน ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้ฝ่ายมารโจมตีทางเหนือของจงหยวน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของข้าก็จะขออยู่แต่เพียงภายในเขาไท่เสวียน จะมิขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันขาด”
เอ่ยเพียงเท่านั้นนักพรตฉางเสวียนก็ประสานมือให้แก่ทุกคน ก่อนจะหมุนตัวพร้อมเอ่ยว่า “ทุกท่าน ข้าขอลาตรงนี้”
เอ่ยจบ นักพรตฉางเสวียนก็แค่นเสียงเย็นออกมา พลางสะบัดแขนเสื้อเดินตรงออกไปนอกตำหนักทันที
“พี่เหอ…”
เมื่อเห็นนักพรตฉางเสวียนจากไปอย่างสง่าผ่าเผย สวีฉิงเทียนก็มีท่าทางอึกอักขึ้นมาทันที
รอจนนักพรตฉางเสวียนเดินออกไปจากตำหนักแล้ว สวีฉิงเทียนก็กวาดตามองทุกคน พลางเอ่ยพร้อมมุมปากที่กระตุกไม่หยุด “เรื่องมาถึงขั้นนี้ข้าก็จะมิปิดบังอีก ข้าจะบอกพวกเจ้าสองเรื่องก็แล้วกัน”
“ผู้อาวุโสหนานกง เทพหมากแห่งยุค เพราะท่านผู้อาวุโสเย่ เวลานี้เขาจึงได้เป็นแขกอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน อีกอย่างพวกเจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของข้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
สวีฉิงเทียนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถลึงตาใส่ต้วนฉางเต๋อ แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของข้าได้รับวาสนาที่ยิ่งใหญ่มา และผู้ที่มอบวาสนานั้นให้ก็คือผู้อาวุโสเย่ หรือก็คือท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่พวกเจ้ามิเชื่อเยี่ยงไรเล่า”
เอ่ยจบสวีฉิงเทียนก็แค่นเสียงออกมา และลุกเดินออกไปทันที
ทันใดนั้นภายในตำหนักก็เงียบกริบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ทุกคนในนั้นต่างพากันนิ่งงัน
“สูด ! ”
หลังจากได้สติ เหล่าผู้นำของสำนักต่าง ๆ ก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แทบจะพร้อมกัน
ก่อนจะมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีบรรพจารย์เช่นนั้นจริง ๆ หรือ ? ’
‘นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง ? ! ’
‘เทพหมากแห่งยุคหนานกงเสวียนจี ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน แต่กลับพำนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน และกลายเป็นแขกอาวุโสที่นั่นเพราะบรรพจารย์ท่านนี้’
‘ส่วนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็ได้รับสิ่งที่บรรพจารย์ท่านนั้นประทานให้ จึงบังเกิดนิมิตอัศจรรย์ขึ้น’
‘เรื่องเหลือเชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เกิดจากน้ำมือของคนเพียงคนเดียว แท้จริงแล้วคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใดกัน และมีความสามารถเช่นไรกันแน่ ! ’
ตอนนั้นเองเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัว นักพรตไท่หัว พลันตบที่ต้นขาอย่างแรงแล้วเอ่ยรัวเร็วว่า “ทุกท่านจะมัวนิ่งอึ้งกันอยู่ทำไม ยังมิรีบไปขอร้องให้พี่ฉางเสวียนกลับมาอีก ! ”
“ขวับ ! ”
หลังสิ้นเสียงนั้น ทุกสายตาต่างก็หันไปมองเจ้าสำนักหยินหยางที่กำลังขมวดคิ้วแน่นเป็นตาเดียว