ตอนที่ 168 อยากรวยต้องลงทุน
จูฟู๋ที่เป็นผู้ดูแลภัตตาคารของหอจุ้ยเซียนถึงกับงงงวย
‘ที่องค์หญิงเก้าพูดมา เรื่องจริงงั้นหรือ ? ’
‘ภาพวาดเช่นนี้มิใช่ราคาเพียง 180,000 ตำลึงทอง แต่เรียก 180,000 ศิลาวิญญาณก็ยังได้’
‘แต่ 180,000 ศิลาวิญญาณอย่าว่าแต่หอจุ้ยเซียนเลย แม้แต่ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของนายท่านเองก็เกรงว่าคงจะรับมิไหว’
‘แต่บัดนี้องค์หญิงเก้าท่านนี้กลับจะให้เรานำภาพวาดภาพที่แขวนขึ้นไป’
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ’
‘หรือว่าองค์หญิงเก้าท่านนี้หมายความว่าท่านเย่จะมอบผลงานชิ้นเอกภาพนี้ให้แก่หอจุ้ยเซียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว’
‘ดูจากนิมิตที่ปรากฏขึ้นด้านหลังของท่านเย่เมื่อครู่แล้ว ท่านเย่จะต้องเป็นยอดบุรุษผู้ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน’
‘และยอดบุรุษย่อมมิใส่ใจเรื่องเล็กน้อยอย่างเรื่องเงินทองอยู่แล้ว ในสายตาของพวกเขาถือเป็นเพียงสิ่งไร้ค่านอกกายเท่านั้น’
‘เช่นนั้นแสดงว่ายอดบุรุษท่านนี้ต้องการที่จะมอบภาพ ๆ นี้ให้แก่หอจุ้ยเซียนจริง ๆ ’
‘อืม ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ๆ ! ’
จูฟู๋คิดถึงตรงนี้แล้วดวงตาพลันเกิดประกายบางอย่างพาดผ่าน แล้วรีบตอบกลับไปว่า “ผู้น้อยทราบแล้วขอรับ ผู้น้อยจะรีบให้คนนำภาพวาดนี้ไปใส่ม้วนให้เรียบร้อย แล้วแขวนขึ้นผนังทันทีขอรับ”
“เช่นนั้นก็รีบไปทำซะ ! ”
มุมปากของเยี่ยนปิงซินยกขึ้น แล้วพยักหน้าเบา ๆ
ผู้ดูแลภัตตาคารผู้นี้นับว่ายังรู้ความอยู่บ้าง
“พี่สาว ท่านเองก็มาหอจุ้ยเซียนเป็นคราแรกใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
เยี่ยนปิงซินหันกลับไปมองถานไถชิง เสวี่ยที่งดงามราวกับเทพธิดา พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ถานไถชิง เสวี่ยมีสีหน้าอ่อนลง ก่อนพยักหน้ารับเบา ๆ
“เช่นนั้นวันนี้ก็ถือเป็นลาภปากของท่านแล้ว อาหารและสุราจุ้ยเซียนของที่นี่ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงขจรขจาย”
จากนั้นเยี่ยนปิงซินและถานไถชิง เสวี่ยก็รีบตรงไปยังโต๊ะสุรา ที่เย่ฉางชิงและเยี่ยนเทียนซานนั่งอยู่ทันที
ส่วนเยี่ยนจิ่งหงก็อดมิได้ที่จะชื่นชมภาพวาดของเย่ฉางชิงอีกคราก่อนจะเดินจากไป
ความจริงแล้วหากเป็นไปได้ เขายอมจ่ายมิอั้นเพื่อให้ได้ผลงานชิ้นเอกนี้มาครอบครอง
แต่น่าเสียดายที่ภาพนี้เป็นวาสนาที่ท่านเย่ประทานให้แก่หอจุ้ยเซียน หากเขาใช้อำนาจของตนเองเพื่อให้ได้ภาพนี้มา คงทำให้ท่านเย่มิพอใจอย่างแน่นอน
แม้แต่ท่านบรรพบุรุษยังเคารพยำเกรงท่านเย่ถึงเพียงนี้ แล้วเขาจะกล้าเสี่ยงทำเรื่องร้ายแรงเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน
ผ่านไปมินาน อาหารขึ้นชื่อของหอจุ้ยเซียนก็ทยอยวางลงบนโต๊ะ
ทั้งหมด 108 จาน !
อาหารแต่ละจานล้วนแล้วแต่พิถีพิถันเป็นอย่างมาก
เพียงแค่มองแวบเดียวกลับสะดุดน่าทานยิ่งนัก
เย่ฉางชิงที่เห็นภาพตรงหน้าได้แต่ลอบเอ่ยภายในใจว่า ‘อาหารอลังการขนาดนี้ มิต่างอะไรจากอาหารของพวกราชนิกูลเลยกระมัง ! ’
‘แต่จะว่าไป’
‘ภาพนั้นเป็นเยี่ยงไรกันแน่นะ ? ’
‘ในสายตาของผู้ดูแลภัตตาคารผู้นั้น เทียบกับภาพวาด 180,000 ตำลึงทองของอาจารย์ปี้เหลียนแล้วจะเป็นเช่นไรกันนะ ? ’
‘เพราะอาหารมื้อนี้มิมีทางที่จะมีราคาเพียงมิกี่ร้อยตำลึงอย่างแน่นอน’
‘รอถึงเวลาคิดเงินหากข้ามิมีเงินจ่ายขึ้นมาล่ะก็ มิหนำซ้ำภาพก็มิเข้าตาผู้ดูแลภัตตาคารอีก เช่นนั้นล่ะต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ ! ’
‘อีกทั้งเวลานี้ยังอยู่ต่อหน้าคนรู้จักมากมาย ข้าจะไปปรึกษาเรื่องราคาของภาพนั้นกับผู้ดูแลภัตตาคารก่อนที่ทุกคนจะกินก็คงมิเหมาะกระมัง ? ’
ตอนนั้นเองเยี่ยนปิงซินก็ชี้ไปยังอาหารที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ พร้อมกับแนะนำเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้ม “ท่านเย่ ท่านลองชิมไก่สับเครามังกรจานนี้ดูสิเจ้าคะ อาหารจานนี้ต้องกินตอนร้อน ๆ หากเย็นกว่านี้จะสูญเสียรสสัมผัสไปได้เจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงจึงได้สติขึ้นมาอีกครา ก่อนจะกวาดตามองทุกคนพร้อมยิ้มบาง ๆ “ทุกท่านอย่าได้มากพิธีเลย ทานกันเถิด”
เมื่อสิ้นเสียงคนอื่น ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะเริ่มหยิบตะเกียบตรงหน้าขึ้น
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ใบหน้าของทุกคนเริ่มแดงระเรื่อ ท่าทางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ส่วนเย่ฉางชิงนั้น
สุราจุ้ยเซียนของหอจุ้ยเซียนนับว่ามิเลวจริง ๆ แต่หากเทียบกับสุราชิงอี่ของเมืองเสี่ยวฉือแล้ว นับว่ารสชาติยังอ่อนอยู่มาก
เช่นนั้นเขาจึงยังคงมีสีหน้าปกติ มุมปากเผยยิ้มเรียบ ๆ ออกมา
“ทุกท่านกินดื่มกันอิ่มแล้วหรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฟ้าด้านนอกหน้าต่างมืดมากแล้ว
เยี่ยนปิงซินเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกว่า “ท่านเย่ ข้ากินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
ส่วนเยี่ยนเทียนซานและถานไถชิง เสวี่ยก็พยักหน้ารับยิ้ม ๆ
เย่ฉางชิงจึงยิ้มออกมา แต่ภายในใจกลับอดที่จะรู้สึกเคร่งเครียดมิได้
ตอนนี้ทุกคนกินอิ่มแล้ว ต่อไปก็ถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
คิดเงิน !
“ผู้ดูแลภัตตาคาร รบกวนคิดเงินให้ด้วย”
เย่ฉางชิงหันไปเอ่ยกับจูฟู๋ที่คอยดูแลอยู่ตรงหัวบันไดด้วยรอยยิ้มแหย ๆ
‘คิดเงิน ? ’
จูฟู๋ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับผงะไปอย่างอดมิได้
ท่านเย่ได้ประทานผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ให้แก่หอจุ้ยเซียน อย่าว่าแต่อาหารมื้อนี้เลย ต่อให้เป็นหอจุ้ยเซียนทั้งหลังก็ยังชดใช้ได้มิหมด
ทว่าท่านเย่ผู้นี้กลับเรียกเขาไปคิดเงินอีกงั้นหรือ
แล้วจะคิดเท่าไหร่ดีเล่า ?
เรื่องนี้ช่างลำบากใจจริง ๆ !
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จูฟู๋ที่มักจะมีความคิดละเอียดอ่อน ในที่สุดก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้
ท่านเย่ผู้นี้เป็นยอดบุรุษ และประทานผลงานอันเยี่ยมยอดเช่นนี้ให้แก่หอจุ้ยเซียน โดยมิหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ
เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าของนอกกายย่อมมิอยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว
แต่การที่ท่านเย่ขอให้เขาคิดเงินเช่นนี้ เขาเองก็มิอาจจะหักหน้าท่านเย่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คิดสักหน่อยก็พอ
คิดได้เช่นนั้นแล้ว จูฟู๋จึงรีบวิ่งเข้าไปด้วยรอยยิ้มเต็มไปใบหน้า
ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าเย่ฉางชิง พร้อมกับรีบโค้งคาราวะอย่างนอบน้อมให้ทันที
“ผู้น้อยจูฟู๋เป็นตัวแทนของนายท่าน จึงขอขอบคุณท่านเย่ที่ประทานผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ให้แก่หอจุ้ยเซียนของเรา ผู้น้อยได้สั่งให้คนนำภาพไปใส่ม้วนภาพแล้ว พรุ่งนี้จะนำมาแขวนที่ผนังของชั้นสี่แห่งนี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมขอรับ”
จูฟู๋เอ่ยขึ้น
‘ประทาน ? ’
‘ใครบอกว่าจะประทานให้ ! ’
‘ผู้ดูแลภัตตาคาร เจ้าอย่าเข้าใจผิดเช่นนี้สิ ! ’
‘ข้าเพียงแค่จะใช้ภาพวาดแลกกับอาหารโต๊ะนี้ก็เท่านั้น ! ’
เย่ฉางชิงตกตะลึงทันที อดมิได้ที่จะเผยท่าทางงงงันออกมา
ตอนนั้นเองจูฟู๋ก็ค่อย ๆ เงยขึ้นมองเย่ฉางชิงอย่างระมัดระวัง พลางยิ้มเต็มใบหน้า “เรียนท่านเย่ อาหารบนโต๊ะนี้รวมทั้งหมด 300 ตำลึงขอรับ”
ความจริงแล้วราคานี้จูฟู๋ได้ไตร่ตรองมาหลายรอบแล้ว ก่อนจะเอ่ยออกมา
ในความคิดของเขายอดบุรุษตรงหน้าท่านนี้ ในเมื่อมิเห็นของนอกกายอยู่ในสายตา คงจะพกเงินติดกายมิมากนัก
แต่เขาก็มิสามารถเก็บน้อยจนเกินไป มิเช่นนั้นจะเป็นการหักหน้าของท่านยอดบุรุษได้
ราคา 300 ตำลึงนี้แม้จะมิพอราคาต้นทุน แต่ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว
‘300 ตำลึง?’
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปาก
ขณะเดียวกันก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเยี่ยนปิงซิน ที่กำลังมองมาที่ตนด้วยดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ พร้อมยิ้มเต็มใบหน้า
เดาได้มิยากว่าคนที่มอบภาพวาดของเขาให้หอจุ้ยเซียน เกรงว่าคงจะหนีมิพ้นคุณหนูเยี่ยนผู้นี้เป็นแน่
แต่เมื่อลองนึกย้อนดูแล้ว เยี่ยนปิงซินก็เหมือนจะมิได้ทำอะไรผิด
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เยี่ยนปิงซินได้เห็นภาพวาดของอาจารย์ปี้เหลียน ก็สามารถบอกได้ว่าภาพนั้นด้อยกว่าผลงานก่อนหน้านี้ของเขา
อีกทั้งผลงานของอาจารย์ปี้เหลียนถูกแขวนเอาไว้ที่นี่ราวกับสมบัติล้ำค่า ส่วนผลงานของเขากลับมิเป็นที่รู้จัก ย่อมยากที่จะทำใจให้นิ่งได้
ยิ่งกว่านั้นผลงานภาพวาดของอาจารย์ปี้เหลียนยังมีมูลค่าถึง 180,000 ตำลึงทองอีกด้วย
และการที่เยี่ยนปิงซินนำภาพวาดของตนเองมอบให้แก่หอจุ้ยเซียน เช่นนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าฝีมือของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันมากเพียงใด
เช่นนั้นแล้วภายภาคหน้าเขาจะต้องมีชื่อเสียงในเมืองหลวงมากอย่างแน่นอน
ฐานะของเขาก็จะสูงส่งขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็สบายใจขึ้น
อีกทั้งต้องยอมรับว่าสมแล้วที่เยี่ยนปิงซินเป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ ความคิดและสายตาจึงกว้างไกลกว่าเขาเป็นธรรมดา
ยิ่งกว่านั้นสำหรับเย่ฉางชิงแล้วอาหารมื้อละ 300 ตำลึงแม้จะดูสูงไปบ้าง แต่เทียบกับภัตตาคารระดับหอจุ้ยเซียนแล้ว คาดว่าคงยังมิพอต้นทุนเสียด้วยซ้ำ
เช่นนั้น !
มิขาดทุนแน่ !
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาพลางเพ่งสมาธิ ก่อนจะหยิบเงิน 300 ตำลึงออกมาจากแหวนเก็บสมบัติอย่างมีความสุข
อยากรวยต้องลงทุน เหตุผลนี้เขารู้ดี
“ท่านเยี่ยน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเรากลับกันดีกว่า ! ”
เย่ฉางชิงกวาดตามองทุกคนแล้วจึงเอ่ยขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไป