ตอนที่ 182 จางเฉินขออภัย
ขณะเดียวกัน
ขณะที่กายของเย่ฉางชิงปรากฏนิมิตอันจริงแท้ขึ้น
ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองหลวง ณ อารามฉางชิงบนเขาตะวันออก เวลานี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยนิมิตเช่นเดียวกัน
เมื่อทอดสายตามองออกไปไกล ๆ
จะพบว่ารอบ ๆ อารามฉางชิงตอนนี้ล้วนถูกปกคลุมด้วยหมอกระยิบระยับ มีควันจาง ๆ แผ่กระจายลงมาจากท้องนภา ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่งดงามยิ่งนัก
จนเวลาผ่านไปมิถึงครึ่งก้านธูปดี
จู่ ๆ ก็มีลำแสงเจิดจ้าทะยานขึ้นฟ้า
มินานตรงใจกลางของลำแสง ก็ปรากฏรูปร่างลึกลับบางอย่างขึ้น
จากนั้นรูปร่างลึกลับนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมา
ก่อนจะพบว่าเป็นเจดีย์โบราณลึกลับหลังหนึ่ง แม้จะดูเลือนลางก็ตามที
หลังจากที่เจดีย์โบราณหลังนี้ปรากฏขึ้น ทั้งสี่ด้านของลำแสงก็เกิดคลื่นแสงขึ้นเป็นชั้น ๆ แผ่ออกไปทั่วทั้งแปดทิศ จนปกคลุมเกือบทั่วทั้งทิศตะวันออกของเมืองหลวง
แค่จินตนาการดูก็พอจะรู้แล้วว่าปรากฎการณ์เช่นนี้งดงามตระการตาเพียงใด
ส่วนด้านล่างของเขาตะวันออกในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกัน เมื่อมองดูไกล ๆ จะเห็นผู้คนมากมายเรียกได้ว่าแทบจะมืดฟ้ามัวดิน
เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสาวกของอารามฉางชิงทั้งสิ้น
เวลานี้ดวงตาของพวกเขาล้วนเปล่งประกายยินดี ก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจกันคุกเข่าลงที่พื้นด้วยความศรัทธา
“ท่านปู่ อารามฉางชิงเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดเมฆบนฟ้าถึงได้มีสีสันหลากหลายเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ? ”
ณ ประตูร้านสุราร้านหนึ่งที่อยู่มิไกลนัก
เด็กหญิงใบหน้าจิ้มลิ้มที่มีดวงตากระจ่างใสคนหนึ่ง ได้เอ่ยถามชายชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ชายชรายิ้มจนตาหยี พลางลูบที่หนวดของตนเอง “เด็กน้อย นี่หาใช่เมฆธรรมดาไม่ แต่เป็น… เมฆมงคลในตำนาน เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงยิ่ง”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เด็กน้อยพยักหน้ารับรู้ด้วยท่าทางจริงจัง ก่อนถามต่อว่า “ท่านปู่ ใจกลางลำแสงนั่นคือสิ่งใดหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงเกิดแสงที่งดงามเช่นนั้นได้เล่าเจ้าคะ ? ”
ชายชราลูบศีรษะของเด็กน้อย ก่อนตอบอย่างครุ่นคิดว่า “หลานรัก นี่เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่งกว่า”
“มีตำราโบราณบันทึกเอาไว้ว่าในสมัยบรรพกาล บุคคลไร้เทียมทานที่มีฝีมือล้ำเลิศบางส่วน เมื่อบรรลุอุดมการณ์สูงสุดตามเจตจำนงของสวรรค์แล้ว จะมีสมบัติพิสุทธิ์เป็นของตนเอง”
เอ่ยถึงตรงนี้ชายชราก็ได้หลับตาลง พลางเอ่ยต่อว่า “การที่ด้านบนของอารามฉางชิงปรากฏรูปร่างของสมบัติล้ำค่าขึ้น หากปู่เดามิผิดแล้วล่ะก็คงเป็นสมบัติพิสุทธิ์ของท่านเทพฉางชิงเป็นแน่ ถึงได้ปรากฏขึ้นที่นี่”
แววตาของเด็กน้อยเป็นประกายขึ้น “ท่านปู่ ท่านเทพฉางชิงท่านนี้เก่งจริง ๆ เลยเจ้าค่ะ ! ”
ชายชราส่ายศีรษะไปมา “บุคคลที่จะมีสมบัติพิสุทธิ์ได้ ล้วนแล้วแต่ทำคุณูปการอันใหญ่หลวงมาทั้งสิ้น ท่านเทพฉางชิงผู้นี้ก็เช่นกัน”
หลังจากบทสนทนาของทั้งคู่แพร่กระจายออกไป
เพียงมินาน สาวกมากมายที่มิรู้ความจริงก็ปักใจเชื่อว่า ภาพที่ปรากฏขึ้นด้านบนของอารามฉางชิงนั้นก็คือสมบัติพิสุทธิ์ของท่านเทพฉางชิง
อีกด้านหนึ่ง
ปรากฏการณ์ที่ปกคลุมร่างกายของเย่ฉางชิงเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึงหนึ่งก้านธูป ก่อนจะสลายหายไป
ส่วนเย่ฉางชิง
หลังจากนิมิตได้มลายหายไปแล้ว ในที่สุดกระแสความร้อนที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายก็ได้หยุดลงด้วยเช่นกัน
เขากุมมือทั้งสองข้างของตัวเองเล็กน้อย กลับพบว่าตนเองนั้นยังคงมิได้มีพลังใด ๆ เพิ่มขึ้นมา
หมายความว่าเยี่ยงไรเสีย นิมิตก็เป็นเพียงภาพนิมิตเท่านั้น เพราะร่างกายของเขาหาได้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่
มุมปากของเย่ฉางชิงค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ใบหน้ามิได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
สำหรับนิมิตที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขามาหลายครานั้น ตอนนี้เขากลับชินชาเสียแล้ว
แต่วันนี้สิ่งทีทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างมากก็คือ
เขาได้รับคำเชิญจากบัณฑิตจางท่านนั้น ว่าอีกสองวันให้ไปทดลองสอนที่สำนักศึกษาตงหลัน
เขามั่นใจว่าด้วยความรู้ที่เขามี มิใช่เรื่องยากที่จะเข้าไปสอนที่สำนักศึกษาตงหลัน
เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาสามารถลงหลักปักฐานในเมืองหลวงได้แล้ว
เช่นนั้นแม้นิมิตจะหายไปแล้ว เขาจึงยังอารมณ์ดีอยู่เหมือนเดิม
แววตาของเย่ฉางชิงเปล่งประกายขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “แม้การทดลองสอนจะมิได้ยากอะไร แต่เพื่อให้ได้เข้าสอนในสำนักศึกษาตงหลัน เพื่อให้สามารถลงหลักปักฐานในเมืองหลวงได้ สองวันนี้ข้าจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเต็มที่”
เอ่ยจบเย่ฉางชิงก็หมุนตัวออกไปทันที
…………………..
จางเฉินหลังจากออกมาจากเรือนจิ่งหลันหยวน ก็มิได้กลับไปยังสำนักศึกษาตงหลันทันที แต่กลับตรงไปยังวังหลวงแทน
ขณะเดียวกัน
ก็ส่งคนไปแจ้งลูกศิษย์ที่อยู่ในราชสำนัก ว่าอีกสามชั่วยามให้มาปรึกษาเรื่องสำคัญกับเขาที่สำนักศึกษาตงหลัน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ขณะที่เยี่ยนหยางเหนียนรวมทั้งเหล่าขุนนางคนสนิทของเขากำลังปรึกษาหารือกันอยู่ภายในตำหนักหลังใหญ่แห่งหนึ่ง
ขันทีเฒ่าเหยาอี่ก็เดินเข้ามาข้างกายเยี่ยนหยางเหนียนอย่างรีบร้อน ก่อนรายงานเสียงเบาว่า “เรียนฝ่าบาท ท่านบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลันขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
“จางเฉิน ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามว่า “เขามาเพราะเหตุใดงั้นหรือ ? ”
เหยาอี่ชะงักไปเล็กน้อย พลางลอบกวาดสายตามองเหล่าขุนนางทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาพร้อมยิ้มแห้ง ๆ
เยี่ยนหยางเหนียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้น “พวกเจ้าหารือกันต่อมิต้องหยุด วันนี้จะต้องได้ข้อสรุป และข้าจะออกไปพบบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลันสักหน่อย”
“พะยะค่ะ”
เหล่าขุนนางสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง
มินานเยี่ยนหยางเหนียนก็เดินลัดเลาะมาจนถึงหน้าตำหนักใหญ่ด้วยความรีบร้อน
แต่เมื่อเขาได้เห็นภาพตรงหน้า ก็ต้องตะลึงงันในทันที
เมื่อจางเฉินบัณฑิตผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ทว่าเวลานี้กลับหมอบกรานอยู่บนพื้นด้วยความนอบน้อม
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ’
‘จางเฉินมาคุกเข่าที่นี่เพราะเหตุใดกัน ? ’
‘หรือว่าจะมาขอพระราชทานอภัยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
หลังจากที่ได้สติ
“ท่านจาง นี่ท่านทำอะไรกัน ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนรีบเดินมาตรงหน้าของจางเฉิน พร้อมเอ่ยถามขึ้น
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้กระหม่อมมีสายตาคับแคบ วันนี้กระหม่อมจึงมาเพื่อขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ”
จางเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ขณะที่ยังคงก้มหน้าลงกับพื้น
“ขอพระราชทานอภัย ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ท่านจาง ท่านพูดอะไรเยี่ยงนั้นเล่า ลุกขึ้นมาคุยกันดี ๆ เถิด”
“ฝ่าบาท ขอได้โปรดให้กระหม่อมพูดให้จบก่อนเถอะพะยะค่ะ”
จางเฉินเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ “ก่อนหน้านี้กระหม่อมมองว่า การรวบรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งเป็นเพียงสิ่งที่เหล่าฮ่องเต้ทำเพื่อต้องการสนองความปรารถนาของตนเอง แต่วันนี้กระหม่อมได้รับการชี้แนะจากท่านเทพฉางชิง ในที่สุดก็ได้รู้แจ้งแล้วพะยะค่ะ”
“การรวบรวมจงหยวนเป็นหนึ่งแม้ในระยะสั้น จะมิต่างอะไรกับการก่อหายนะให้แก่บ้านเมืองและราษฎร แต่หากมองในระยะยาวแล้วกลับเป็นสิ่งที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นตราบนานเท่านาน”
เอ่ยถึงตรงนี้แล้วจางเฉินก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความโศกเศร้า “ก่อนหน้านี้กระหม่อมพยายามขัดขวางต่าง ๆ นานา เรียกได้ว่าทำผิดอย่างมหันต์ เช่นนั้นวันนี้กระหม่อมจึงตั้งใจมาขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ”
“ท่านจาง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว”
เยี่ยนหยางเหนียนยิ้มแห้งออกมา “ก่อนหน้านี้ที่ท่านคอยขัดขวางนั้น ข้าทราบดีว่าท่านทำไปเพื่อแคว้นต้าเยี่ยน แล้วข้าจะลงโทษท่านได้เยี่ยงไรกัน ? ”
เอ่ยจบ เยี่ยนหยางเหนียนก็ก้าวเข้าไปประคองจางเฉินให้ลุกขึ้น
“ท่านจาง ท่านวางใจเถิด”
เยี่ยนหยางเหนียนมองใบหน้าซีดขาวของจางเฉิน ก่อนเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “บัดนี้แคว้นต้าเยี่ยนของเรามีโชคที่ผู้อาวุโสเย่ประทานให้ช่วยหนุนนำ เชื่อว่าจะต้องรวบรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จอย่างแน่นอน”
จางเฉินก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับอีกครา “ฝ่าบาทได้โปรดวางพระทัย นับแต่นี้ต่อไปกระหม่อมจะสนับสนุนพระองค์อย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้แคว้นต้าเยี่ยนของเรารวบรวมจงหยวนเป็นหนึ่งให้ได้โดยไวพะยะค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนหยางเหนียนค่อย ๆ จางหายไป ก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมคาราวะให้แก่จางเฉิน “ด้วยการสนับสนุนของท่านจาง แคว้นต้าเยี่ยนของเราจะต้องเป็นดังเช่นพยัคฆ์ติดปีกอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจากันจนเข้าใจแล้ว จางเฉินก็จากไปอย่างรีบร้อน
เยี่ยนหยางเหนียนมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของจางเฉิน ก็จะยิ้มออกมาอย่างดีพระทัย “บัดนี้ได้รับการสนับสนุนจากท่านจาง แผนการของข้าต้องสำเร็จเร็วขึ้นอย่างแน่นอน”
เหยาอี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เองก็พยักหน้าเห็นด้วย “เรียนฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของท่านเทพฉางชิงนะพะยะค่ะ”
เยี่ยนหยางเหนียนได้ยินเช่นนั้นก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองเงียบ ๆ
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ตัวเขารวมถึงแคว้นต้าเยี่ยนล้วนเป็นหมากของท่านเทพฉางชิงทั้งสิ้น
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น แล้วเขาจะทำเช่นไรได้เล่า ?
และหากแคว้นที่ท่านเทพฉางชิงท่านนี้เลือกตั้งแต่แรกมิใช่แคว้นต้าเยี่ยน แต่เป็นแคว้นใดแคว้นหนึ่งในสามแคว้นเล่า
เช่นนั้นเกรงว่าอีกมินานแคว้นต้าเยี่ยนจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน
แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เขาควรจะดีใจใช่หรือไม่ ?
ทันใดนั้นความรู้สึกของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนอย่างเยี่ยนหยางเหนียน ก็มิอาจอธิบายได้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่
เพียงแค่รู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจเท่านั้น