ตอนที่ 184 ท่านแม่ เขาคือท่านเทพฉางชิง
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ทุกคนที่อยู่ภายในรถม้าต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
พวกเขาสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
‘อารามฉางชิง ? ’
‘มาถึงที่นี่แทบจะมิรู้ตัวเลย’
‘แต่จู่ ๆ ผู้อาวุโสเย่สั่งให้รถม้าหยุดที่นี่ทำไมกัน ? ’
‘หรือว่าเขาต้องการที่จะประทานโชควาสนาให้แก่สาวกที่เลื่อมใสศรัทธาเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘มิผิดแน่ ! ’
‘เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ’
หลังจากรถม้าค่อย ๆ หยุดลง
เย่ฉางชิงก็เอ่ยกับจางเฉินว่า “ท่านจาง ข้าขอเข้าไปดูอารามฉางชิงนี้สักครู่ คงจะใช้เวลามินาน”
จางเฉินเอ่ยอย่างยิ้มแย้มออกมา “เชิญท่านเย่ตามสบายขอรับ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดม่านออกแล้วลงจากรถม้าไป
เยี่ยนปิงซินและถานไถชิง เสวี่ยสบตากันครู่หนึ่ง แล้วจึงตามเย่ฉางชิงลงไปด้วย
แต่เมื่อลงไปจากรถม้า
ขณะที่เย่ฉางชิงเงยหน้าขึ้นมองอารามที่อยู่ด้านบนเขาตะวันออก ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
‘คุ้นเคย’
‘รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก’
‘ตอนที่เรามาถึงเมืองหลวงคราแรก เราก็รู้สึกเช่นนี้โดยมิมีเหตุผล’
‘แต่เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ ? ’
‘หรือว่าตัวเรากับอารามฉางชิงจะมีความเกี่ยวข้องกัน ? ’
ตอนนั้นเองถานไถชิง เสวี่ยและเยี่ยนปิงซิน รวมทั้งเยี่ยนจิ่งหงและจางเฉินก็รถมาจากลงม้าแล้วเช่นกัน
“พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเถิด”
เย่ฉางชิงถอนสายตากลับมามอง พร้อมเอ่ยกับคนทั้งสี่ข้างกาย
พวกถานไถชิง เสวี่ยยกยิ้ม พลางพยักหน้ารับเบา ๆ
ทว่าระหว่างที่พวกเย่ฉางชิงเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนและรถม้าที่ขวักไขว่ไปมา และอยู่ห่างจากเขาตะวันออกเพียงร้อยเมตรนั้น
อารามฉางชิงบนเขาตะวันออกพลันก็ปรากฏนิมิตขึ้น
อีกทั้งนิมิตในครั้งนี้ยังงดงามตระการตาราวกับเซียนสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างก็รู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างมาก
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้นเสียงคำรามกึกก้องพลันดังขึ้นบนฟากฟ้า ราวกับอสนีบาตก็มิปาน
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป
ก็พบว่ามีเมฆหลากหลายสีสันปกคลุมด้านบนของอารามฉางชิงเอาไว้
ใกล้กับจุดที่เกิดเสียงดังกึกก้องนั้น ก็มีลำแสงอันเจิดจ้าราวกับเปลวไฟมากมายส่องลงมาจากท้องนภา
แค่จินตนาการดูก็รู้ได้ทันทีว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผู้คนแตกตื่นมากเพียงใด !
ขณะเดียวกันลำแสงเจิดจ้าที่ส่องลงมาก็มีคลื่นแสงแผ่ออกมาด้วย
ฉับพลันท้องฟ้าด้านบนเขาตะวันออกก็เกิดหมอกที่สว่างเจิดจ้าปกคลุมไปทั่ว แสงที่ส่องลงมามีประกายระยิบระยับดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอารามฉางชิงที่สร้างขึ้นได้มินานแห่งนี้ ราวกับเป็นอารามเทพที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขาตะวันออกก็มิปาน
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
ภาพที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้น
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
จู่ ๆ ด้านบนของอารามฉางชิงก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นโดยมิทราบสาเหตุ
มินานประตูบานใหญ่ที่แผ่ไอพลังมหาศาลออกมาก็ปรากฏขึ้น เหมือนกับจะนำไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง
ทันทีที่ประตูโบราณลึกลับบานนี้ปรากฏขึ้นชัดเจน ก็มีแสงเปล่งประกายออกมามิหยุด ทำให้ประตูลึกลับบานนี้ถึงกับพร่าเลือน
ชั่วอึดใจต่อมา
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้นลำแสงสีทองที่สว่างไสวมากมายก็ส่องออกมาจากภายในประตูบานนั้น
ภายในประตูบานนั้นเหมือนมีเงาร่างที่ไร้เทียมทานร่างหนึ่งเดินออกมา
จากนั้นเงาร่างนี้ก็ได้ก้าวเดินมาตามสะพานสายรุ้งอันงดงามที่ปรากฏออกมา
ทุกย่างก้าวที่เขาเดินมา ใต้ฝ่าเท้าจะปรากฏดอกบัวขึ้นมารองรับ ช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้
สุดท้ายเมื่อเงาร่างนี้ย่างก้าวจนปรากฏดอกบัวขึ้นถึงเจ็ดดอก เขาจึงได้หยุดลง
แม้จะมิสามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเงาร่างลึกลับนี้ได้
ทว่าสำหรับสาวกที่เลื่อมใสศรัทธาอารามฉางชิงเหล่านี้แล้ว ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับพวกเขา เงาร่างนั้นก็คือร่างที่แท้จริงของท่านเทพฉางชิง และการที่ท่านเทพฉางชิงมาเยือนอารามแห่งนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาภาวนาจะต้องได้รับการตอบรับอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นจัตุรัสที่อยู่ตีนเขาตะวันออก รวมทั้งถนนใกล้เคียงทั้งสองเส้น ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังหมอบกราบอยู่บนพื้นเพื่อสวดมนต์ภาวนา
แต่เวลานี้เย่ฉางชิงกลับตะลึงงัน
เพราะเมื่อครู่นี้ขณะที่ทุกคนเห็นเงาร่างลึกลับนั้นอย่างลางเลือน ทว่าตัวเขาเองกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ใช่แล้ว !
ชัดมาก !
ชัดเจนมากจริง ๆ !
แต่สิ่งที่เขาทำใจรับมิได้ก็คือ
เซียนที่มีดอกบัวรองรับทุกย่างก้าวที่เดินออกมาจากด้านในของประตูโบราณบานนั้น กลับมีหน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน
มิว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ เครื่องประดับผม รวมทั้งทรงผมก็ยังเหมือนกับตัวเขาในวันนี้ทุกกระเบียดนิ้ว
มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือ
ขณะที่ทั้งคู่สบตากันนั้น อีกฝ่ายกลับยกยิ้มมีเลศนัยออกมา ส่วนเขากลับทำได้เพียงยืนงงเป็นไก่ตาแตก ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เพราะหากมิได้เห็นด้วยตาตนเอง ตีให้ตายเขาก็มิมีทางเชื่ออย่างแน่นอน ว่าบนโลกนี้จะมีคนสองคนที่เหมือนกันได้มากถึงเพียงนี้
แต่ว่าสิ่งนี้หมายความเยี่ยงไรกัน ?
เป็นสัญญาณของอะไร ?
ตัวเขาไร้ซึ่งรากวิญญาณ มิสามารถที่จะบำเพ็ญเพียรได้ ถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไปตลอดชีวิต
ส่วนอีกฝ่ายแค่สเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ติดตัวมาก็เหนือกว่าเขามากแล้ว
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ตบะบารมีของคนผู้นั้นคงล้ำลึกเสียยิ่งกว่ามหาสมุทร จนมิอาจหยั่งถึงได้
หน้าตาเหมือนเขาเพียงนี้ แต่โชคชะตากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
หรือว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่าย ก็เพียงเพื่อต้องการให้เขาเกิดความอิจฉาริษยา ?
แต่ดูไร้สาระเกินไปกระมัง !
เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็หยุดฝีเท้าลง
การจะไปขอพรคนที่หน้าตาเหมือนตัวเองทุกกระเบียดนิ้วเช่นนี้ พาลให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
มิแน่หากเจ้านั่นได้ยินคำอธิษฐานของเขาแล้ว อาจจะหัวเราะเยาะเอาก็ได้
อย่างเช่น สหายทุกท่านดูนี่สิเจ้าคนนี้หน้าตาเหมือนข้าเช่นนี้ แต่สุดท้ายกลับไร้ซึ่งรากวิญญาณใด ๆ ช่างน่าขันเสียจริง
สหายทุกท่าน เจ้าคนนี้หน้าตาเหมือนข้าเช่นนี้ หากเขารู้ว่าตัวเองมีหน้าตาเหมือนกับข้าจะชอกช้ำเพียงใดกัน ?
สหายทุกท่าน บางคราวาสนาของคนเรานั้นก็สำคัญ เจ้าคนนี้หน้าตาเหมือนข้าเช่นนี้ แต่กลับเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น
สหายทุกท่าน มีคนผู้หนึ่งหน้าตาเหมือนกันกับข้าทุกอย่างแต่กลับมาขอพรจากข้า ข้าควรจะตอบกลับเช่นไรดี ?
……………………..
ทันใดนั้นเย่ฉางชิงก็รู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง
ในเมื่อไร้รากวิญญาณถูกกำหนดไว้แล้วว่าให้เป็นเพียงคนธรรมดาไปชั่วชีวิต เช่นนั้นก็ใช้ชีวิตธรรมดาไปก็แล้วกัน
ขอเพียงวันนี้การทดลองสอนเป็นไปด้วยความราบรื่น สามารถเข้าสอนที่สำนักศึกษาตงหลันหรือสำนักศึกษาชางหมิงได้สำเร็จ และได้เป็นอาจารย์
ก็หมายความว่าแม้ตนเองจะมิสามารถบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนได้ อย่างน้อยก็จะมีชื่อเสียงแม้เป็นเพียงคนธรรมดา
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นแล้วก็หมุนตัวเตรียมกลับขึ้นรถม้าโดยมิลังเลใด ๆ อีก
ในตอนนั้นเองเด็กน้อยคนหนึ่งได้จ้องมองเย่ฉางชิงพลางครุ่นคิด
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็เอ่ยถามออกมาอย่างไร้เดียงสาว่า “ท่าน… ท่านคือท่านเทพฉางชิงใช่หรือไม่ ? ”
“ห๊ะ ! ”
เย่ฉางชิงถึงกับตกตะลึงทันที
‘ท่านเทพฉางชิง ? ’
‘ที่อารามฉางชิงแห่งนี้คงจะสักการะท่านเทพฉางชิงกระมัง’
“เด็กน้อย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิใช่ท่านเทพฉางชิงหรอก”
ใบหน้าขาวสะอาดของเย่ฉางชิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา พลางยื่นมือไปลูบที่ศีรษะของเด็กน้อยเบา ๆ
ทันทีที่สิ้นเสียงของเย่ฉางชิง
เด็กน้อยก็กะพริบตาปริบ ๆ พลันส่ายศีรษะไปมา “มิผิดแน่… ท่านคือท่านเทพฉางชิง”
เย่ฉางชิง “……”
ตอนนั้นเองสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เข้ามายืนที่ข้างกายของเด็กน้อย
“สือโถว เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน ? ”
สตรีวัยกลางคนอุ้มเด็กน้อยเอาไว้แนบอก พลางบ่นออกมา “เจ้ารู้หรือไม่แม่ตามหาเจ้ามาครึ่งค่อนวัน เจ้าเด็กซนคนนี้นี่…”
สตรีวัยกลางคนเอ่ยยังมิทันจบประโยค
เด็กน้อยก็ยกมือขึ้นและชี้มาทางเย่ฉางชิง พร้อมกับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ เขาคือท่านเทพฉางชิง”
เย่ฉางชิงจึงตอบกลับด้วยความระอาว่า “เด็กน้อย ข้ามิใช่ท่านเทพฉางชิงอะไรนั่นจริง ๆ ”
สตรีวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้น จึงพิจารณาใบหน้าของเย่ฉางชิงอย่างชัด ๆ
วินาทีต่อมาสีหน้าของสตรีวัยกลางคนก็เปลี่ยนไปทันที ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความสับสน
“ท่านเทพฉางชิง… เป็นท่านเทพฉางชิงจริง ๆ ด้วย ! ”
สตรีวัยกลางคนร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะหมอบลงกับพื้นทั้งที่ยังอุ้มเด็กน้อยเอาไว้อยู่
“ท่านเทพฉางชิง สือโถวของข้าโชคดีที่ได้ท่านคอยคุ้มครองจึงมีชีวิตรอดมาได้ คาดมิถึงว่าท่านจะมาปรากฏตัวที่นี่…”
สตรีวัยกลางคนหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม พลางเล่าถึงชีวิตอันยากลำบากของเด็กน้อยให้เย่ฉางชิงฟัง
หลังจากที่สตรีวัยกลางคนคุกเข่าลง
ทันใดนั้นก็มีสายตาประหลาดจากรอบ ๆ มองมาทันที
แต่เมื่อทุกคนเห็นเย่ฉางชิงก็ล้วนมีท่าทางตื่นตระหนกขึ้นมา
หลังจากนั้นผู้คนมากมายบนถนนเส้นนี้ ต่างก็คุกเข่าลงตรงหน้าเย่ฉางชิงราวกับเกลียวคลื่น ช่างเป็นภาพที่ทรงพลังยิ่งนัก
แต่เย่ฉางชิงกลับนิ่งอึ้งไป
ภายในโสตประสาทราวกับมีเสียงวิ้งดังก้องขึ้น
‘แล้วข้าจะอธิบายเช่นไรดีเล่า ? ’