ตอนที่ 672 ตัดศีรษะมาให้ข้า !
อำลาเคมบริดจ์ !
นี่คือบทกวีอำลาเคมบริดจ์ที่อาจารย์สวี่เป็นผู้ประพันธ์นี่ !
ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยรู้สึกตื่นเต้นอย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน บัดนี้เขาตื่นเต้นเสียจนหน้าแดงไปหมด !
คนผู้นี้คือผู้ใดกันเล่า ?
หรือยังมีผู้อื่นที่เดินทางข้ามกาลเวลามาเหมือนข้าอีกกัน ?
แล้วเหตุใดคนผู้นี้ถึงมิเหลือร่องรอยอื่นใดไว้บนโลกนี้นอกจากกวีบทนี้เลย ?
ในฐานะของผู้ย้อนเวลามาได้ก่อน ก็ควรหลงเหลือบทความบทกวีไว้บ้างมิใช่หรือ ?
ควรประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ออกมาบ้างมิใช่หรือ ?
สรุปว่าเจ้าตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่ ?
หากว่าตายไปแล้ว เจ้าเอาทรัพย์สมบัติกองเท่าภูเขานี้ไปซ่อนไว้ที่ใด ?
หากว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของข้า เพราะข้าได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้มากมายบนโลกแห่งนี้ !
คนที่เดินทางข้ามเวลามาเหมือนกัน ย่อมต้องสนใจในตัวข้าเป็นธรรมดา แต่เหตุใดเจ้าถึงมิเคยมาหาข้าเลยสักครา ?
เจ้า… สรุปว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ? !
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองบทกวีนี้อย่างมิลดละสายตา ฮ่องเต้ก็ทรงทอดพระเนตรบทกวีนี้อย่างมิลดละสายพระเนตรเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงพระราชดำริได้นั้นแตกต่างกับฟู่เสี่ยวกวนโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปยังท่อนที่ว่า ‘ข้าโบกสะบัดแขนเสื้อ สมบัติกองเท่าภูเขาหายวับไปกับตา’ …มันขโมยขุมทรัพย์ไป ! และแน่นอนว่านี่ทำให้ฝ่าบาทสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
“ขุมทรัพย์ของข้า…มิหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว ! ”
ประโยคนี้พระองค์ตรัสออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับหมดเรี่ยวแรงแล้วอย่างแท้จริง
ฟู่เสี่ยวกวนกลับถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เขารวบรวมสติแล้วพึมพำออกไป “เงินที่กระหม่อมปรารถนาก็มิหลงเหลือแล้วเช่นกัน”
“กลับกันเถิด”
“กลับกันพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนจึงกลับไปยังกลางภูเขาด้วยความเศร้าสลดและท้อแท้สิ้นหวัง แม้แสงสุริยาจะสาดกระทบเรือนร่างก็มิหลงเหลือความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ฮั่วหวยจิ่นเองก็กลับมาแล้วเช่นกัน เขาทูลข่าวร้ายให้ฝ่าบาทได้ทราบ…
แม่น้ำใต้ดินสายนี้ ได้ไหลไปบรรจบรวมกับแม่น้ำฉินหวาย !
หมายความว่าคนที่เดินทางข้ามเวลามาโคตรเจ๋ง คนผู้นั้นได้ใช้เรือแล่นผ่านแม่น้ำใต้ดินแล้วทะลุไปยังแม่น้ำฉินหวายเพื่อขนทรัพย์สมบัติเหล่านี้ออกไปจนหมดเกลี้ยง
คนผู้นั้นอาจจะใช้เวลาในการทำสิ่งนี้อยู่เนิ่นนาน และดำเนินแผนการทุกอย่างอยู่ตรงเชิงเขา จึงสามารถหลบหลีกสายตาของทุกคนได้สำเร็จ แม้แต่สายลับแห่งหอซี่หยู่ก็ยังมิรู้สึกผิดสังเกต
แม่น้ำฉินหวายเชื่อมกับแม่น้ำแยงซี แน่นอนว่าแม่น้ำแยงซียาวถึงเพียงนั้น คงมีแต่วิญญาณเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเคลื่อนย้ายสมบัติไปยังแห่งหนใด
ยามเดินทางกลับ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ร่วมขบวนเสด็จ แต่กลับขึ้นไปยังรถม้าของสวี่ซินเหยียนแทน เขาเอ่ยเพียงสองคำเท่านั้นว่า “กลับจวน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในรถม้า ตรงระหว่างคิ้วทั้งสองขมวดเป็นปมแน่นและยังหวนนึกถึงบทกวีอำลาเคมบริดจ์ รวมถึงผู้ที่ทิ้งมันเอาไว้
รู้ได้เยี่ยงไรกัน… ว่านี่คือที่ตั้งขุมทรัพย์ของราชวงศ์ก่อน ?
เรือลำนั้นยังสามารถใช้งานได้ ก็แสดงว่ามันเพิ่งถูกนำมาใช้เมื่อมินานมานี้
ตัวอักษรบนกำแพงหินถูกตะไคร่น้ำปกคลุมอยู่เพียงน้อยนิด เช่นนี้คงเป็นเวลานานสุดแค่สิบหรือยี่สิบปีเท่านั้น
มีความเป็นไปได้สูงว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่
ราชวงศ์หยูพยายามตามหาสมบัติเหล่านี้มานานนับร้อยปีแต่ก็ยังมิสำเร็จ แต่คนผู้นี้เป็นผู้ใดกันถึงสามารถหาสมบัติเหล่านี้เจอได้ ?
หรือเป็นหนึ่งในพวกของลัทธิจันทรา ?
มีความเป็นไปได้มากยิ่งนัก เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นหนึ่งในเช่อเหมิน !
เนื่องจากอีกฝ่ายมิได้ใช้ระเบิด แล้วจะเข้าไปได้เยี่ยงไรกัน ?
เว้นเสียแต่ว่าเขาผู้นั้นจะมีกุญแจ !
เจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสเช่อเหมินเชียวหรือ ?
เป็นซูฉางเซิงอาจารย์ที่มิเคยได้พบพานกันมาก่อนน่ะหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาในทันใด ถ้าหากซูฉางเซิงคือผู้ที่นำขุมทรัพย์เหล่านั้นออกไปจริง ๆ ข้อสงสัยทั้งหมดทั้งมวลก็จะถูกคลายปมในทันใด !
รายชื่อในสมุดเล่มนั้นมีเขาเป็นผู้อาวุโสเช่อเหมิน !
เขาเป็นถึงระดับสุดยอดปรมาจารย์ แน่นอนว่าสามารถแบกทองคำทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย !
เขาเป็นบุคคลลึกลับ และจากคำบอกเล่าของศิษย์พี่ใหญ่จะพบว่าเขาแทบจะมิลงมาจากภูเขาหยุนเลยด้วยซ้ำ
เขาเป็นผู้ส่งซูม่อเข้ามาใกล้ชิดตนตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที หลังจากนั้นก็ส่งศิษย์พี่ใหญ่เข้ามาอยู่ข้างกายอีก…
ตอนนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ข้าแต่งบทกวีทั้งหลายขึ้นมาในเมืองหลินเจียง !
เขารู้ว่าข้าเดินทางข้ามกาลเวลามา !
ดังนั้นเขาจึงมิเข้ามายุ่งเกี่ยวพัวพันกับข้า แต่กลับส่งศิษย์ทั้งหลายมาแทนและถึงขนาดรับข้าเป็นศิษย์ในสำนักอีกด้วย
ในตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนก็สามารถคลายปมปัญหาต่าง ๆ ออกมาได้ว่า… ซูฉางเซิงก็เป็นบุคคลที่เดินทางข้ามกาลเวลามาเช่นกัน !
ช่างวิเศษมากยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ต้องรีบกลับไปหาศิษย์พี่ใหญ่ และเดินทางไปยังภูเขาชิงหยุนเสียแล้ว ข้าต้องไปสนทนากับผู้ที่เดินทางข้ามเวลามาก่อนหน้าข้าให้จงได้
ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เดินทางไปยังจวนฟู่ในทันที เขาให้สวี่ซินเหยียนบังคับรถม้าไปที่พระราชวัง
เนื่องจากเขาอยากเอ่ยถามหยูเวิ่นชู ว่าสิ่งที่สุนัขรับใช้ได้เอ่ยมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
……
……
ฮ่องเต้ซวนและเหล่าเสนาบดีได้กลับมาถึงวังหลวงแล้วเช่นกัน
โอรสสวรรค์ที่ประทับบนบัลลังก์มังกรมิสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้เลย
สมบัติมูลค่ามากถึงพันล้านตำลึง !
ต่อให้ราษวงศ์หยูเก็บเงินภาษีจากราษฎรเป็นเวลา 50 ปีก็มิอาจนำมาเทียบเคียงกันได้ !
เมื่อมีขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลนี้แล้ว ความทุกข์กังวลของข้าจะเลือนหายไปมิใช่หรือ ? ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์อยู่ในมือแล้วแท้ ๆ แต่ทว่าบัดนี้เป็นเยี่ยงไร ?
ทรัพย์สมบัติทั้งหมดราวกับบินหายไปทั้งอย่างนั้น มิหนำซ้ำยังบินหายไปโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้อีกด้วย !
ยิ่งมีพระราชดำริถึงสิ่งนั้นมากเท่าใด ก็ทรงพระโทมนัสและตามมาด้วยโทสะมากเท่านั้น พระองค์ทรงยืนขึ้นอย่างกะทันหันแล้วแผดพระสุรเสียงใส่เหล่าขุนนางที่นั่งกลัวจนหัวหดอยู่เบื้องล่างว่า
“ไปสืบหาตัวประเดี๋ยวนี้… ! ”
“จงให้กรมราชทัณฑ์ ศาลต้าหลี่ รวมไปถึงจวนผู้ว่าสืบหาโดยละเอียด ! ”
“ทองคำกองเท่าภูเขาเยี่ยงนั้น ข้ามิเชื่อว่าจะไร้ร่องรอยให้สืบเสาะ ! ”
“มันต้องอยู่ในผืนปฐพีของข้าอย่างแน่นอน และต่อให้ต้องพลิกทั้งใต้หล้าหาก็จงหาให้เจอว่ามันอยู่ที่ใด ! ”
หยางเผิงจู่เสนาบดีประจำกรมราชทัณฑ์ จินฮ่าวจือผู้ว่าเมืองจินหลิง และซูชานเยวี่ยแห่งศาลต้าหลี่รีบลุกขึ้นเพื่อน้อมรับพระบัญชา พวกเขาโค้งคำนับ…หากมิยอมน้อมรับคำสั่งแล้วจะทำอันใดได้อีกกัน ?
คดีโจรกรรมที่สะเทือนฝ้าดินเช่นนี้มิรู้เลยว่าผ่านไปเนิ่นนานกี่ปีแล้ว เรือในแม่น้ำฉินหวายที่มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำแยงซีก็มีมิรู้ตั้งกี่ร้อยกี่พันลำ แล้วจะไปหาพบได้เยี่ยงไร ?
จะให้ไปหาจากที่ใด ?
หยางเผิงจู่และจินฮ่าวจือรู้สึกลำบากใจมากกว่าผู้ใด
หยางเผิงจู่นั้นเพิ่งขึ้นรักษาการตำแหน่งเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ได้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น และยังเป็นเพียงตำแหน่ง ‘รักษาการณ์’ เท่านั้น แต่ทว่าบัดนี้ตนกลับต้องมาประสบกับเรื่องเช่นนี้แล้วเขาจะโต้แย้งอันใดได้กัน ?
ส่วนจินฮ่าวจือรู้สึกหมองหม่นจนแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาเพิ่งรับช่วงต่อตำแหน่งผู้ว่าได้เพียงแค่มิกี่วันเท่านั้น ยังรู้สึกว่ากว่าจะดั้นด้นให้ได้ตำแหน่งนี้มามิได้ง่ายดายเลย ยังมิทันได้ตื่นเต้นและภาคภูมิอย่างเต็มที่ ก็โดนหมัดชกเข้าตรงหน้าเสียจนงงงวย
ขุมทรัพย์นั้นถูกขโขยที่วัดฟูจื่อ ถ้าหากจะกล่าวในแง่มุมของหน้าที่ความรับผิดชอบแล้วนั้น มันถือเป็นคดีที่ทางจวนผู้ว่าเมืองจินหลิงต้องสะสางจัดการ
แต่ข้าเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง คดีนี้ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นมานานโขแล้ว มันช่างมิยุติธรรมต่อข้าเลยสักนิด !
“พวกเจ้าทั้งสาม บัดนี้ให้ออกไปวางแผนได้แล้ว จงจำไว้ว่าข้าให้เวลาพวกเจ้า 1 ปี หากหาขุมทรัพย์มิเจอภายใน 1 ปีนี้…พวกเจ้ามีโทษประหารสถานเดียว ! ”
ทั้งสามคนปรากฏสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก พวกเขากำมือขึ้นคำนับแล้วรีบออกไปจากท้องพระโรงเฉิงเทียนในทันที ต่างก็กลับไปยังที่ทำการสำนักงานของตน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ย่อมทำให้ลูกน้องภายใต้การบังคับบัญชาตื่นตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ
ฮ่องเต้ทรงพิโรธยิ่ง มิรับรู้เรื่องนี้ยังดีเสียกว่า แต่ก็ดันรู้ไปแล้วนี่
ความคาดหวังอันใหญ่หลวงนั้น ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสิ้นหวัง ความพิโรธนี้จะเอาไปลงบนศีรษะของผู้ใดกัน ?
ฝ่าบาททรงพระราชดำเนินพร้อมก้มพระพักตร์วกไปวนมาอยู่บนบัลลังก์มังกร จริงสิ ! ข่าวนี้เป็นเรื่องที่องค์ชายสี่บอกมานี่
ไอ้ลูกทรพี… ก่อนตายก็ยังหวังให้ข้าติดกับดักจนได้สินะ !
บัดนี้คงหัวเราะลั่นจวนของบรรพบุรุษมันแล้ว !
หัวเราะให้แก่ความละโมบโง่เง่าของข้า หัวเราะที่ผู้ร่ำเรียนวิชาทุกศาสตร์ทุกแขนงถูกมันลวงหลอกได้สำเร็จ นี่มันรนหาที่ตายชัด ๆ !
“ข้าจะมีพระราชโองการออกไป ! ”
“หยูเวิ่นชูผู้ชั่วช้า มิเคารพต่อกฎหมายราชวงศ์และองค์เหนือหัวผู้เป็นพระราชบิดา อีกทั้งยังร่วมสุมหัวกับปิศาจร้ายแห่งลัทธิจันทรามาขโมยอำนาจของข้า ความผิดนี้ถือเป็นบาปมหันต์ ! ”
“…ความผิดนี้มิมีการอภัยโทษ จงพามันไปตัดศีรษะประจานในที่สาธารณะ ! ”
เมื่อมีพระราชโองการออกมาเช่นนี้ ส่งผลให้เหล่าเสนาบดีทั้งราชสำนักหันไปมองฮ่องเต้โดยพร้อมเพรียงกัน
การตัดสินโทษของหยูเวิ่นชูคือประหารชีวิตอยู่แล้ว ความจริงเรื่องนี้คงมิสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เหล่าเสนาบดีคิดว่าฝ่าบาทจะรอให้ฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไปเสียก่อนแล้วค่อยจัดการกับเขา แต่คาดมิถึงว่าพระองค์จะทรงเลือกตัดสินโทษเสียตั้งแต่ตอนนี้
ในเวลาเดียวกันนี้ หยูเวิ่นชูที่ถูกขุมขังอยู่ในจวนบรรพบุรุษก็กำลังนั่งดื่มชาอยู่กับฟู่เสี่ยวกวน