ตอนที่ 698 มื้ออาหารต้อนรับ
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่เบื้องหน้าของหนิงหยู่ชุนและพรรคพวก
ส่วนพวกของจังเหวินฮุยได้จ้องมองไปยังชายหนุ่มที่มีอภิสิทธิ์เหนือผู้ใดทั้งปวงด้วยความตื่นเต้นสุดขีด เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะปรากฏภาพของชายหนุ่มสูงส่งสุดเยือกเย็นและยโสโอหัง…เพราะผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เยาว์วัยมักเป็นเช่นนั้น
พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับท่าทียโสโอหังแล้วด้วยซ้ำ
แต่ทว่าพวกเขาก็ต้องตกตะลึงงันในทันใด
ฟู่เสี่ยวกวนบิดขี้เกียจ หลังจากนั้นก็ประคองมือคารวะต่อหนิงหยู่ชุนด้วยสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาถึงก่อนจนได้สินะ ธรณีคงถูกเหยียบย่ำจนสุกแล้วเป็นแน่ ที่นี่มีอันใดอร่อยบ้าง ? ปากของข้าแทบจะอาเจียนออกมาเป็นนกอยู่แล้ว เจ้าเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้ออาหารต้อนรับข้าเลยก็แล้วกัน”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันไปคารวะสีฉวินเหมยอีกทั้งยังโบกมือทักทายชืออีหมิงและคนอื่น ๆ อีกด้วย
เป็นคนมิพิถีพิถันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
เขาเป็นถึงเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าเชียวนะ !
เหตุใดถึงทักทายปราศรัยกับลูกน้องอย่างเป็นมิตรเช่นนี้กัน ?
มิถือยศถือศักดิ์เลยหรือเยี่ยงไรกัน ?
ควรมีระยะห่างมากกว่านี้มิใช่หรือ ?
จังเหวินฮุยและพรรคพวกหันมาสื่อสารกันทางสายตาอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของทุกคนล้วนส่องประกายออกมา
หนิงหยู่ชุนหัวเราะร่าออกมา “เหยียบจนสุกกับผีอันใดกันเล่า หากเอ่ยไปเจ้าคงมิเชื่อว่าข้าเพิ่งกลับมาพำนักอยู่ในเมืองว่อเฟิงได้ 2 วันเท่านั้น ยังมิได้ออกจากที่ว่าการเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่า…”
หนิงหยู่ชุนหันมาทางพวกจังเหวินฮุยทั้งสี่คนแล้วเอ่ยว่า “ท่านทั้งสี่นี้ล้วนเป็นพ่อค้าดั้งเดิมของเมืองว่อเฟิง การที่พวกเขามาในวันนี้ก็เพื่อต้อนรับเจ้า และบอกว่าอยากเลี้ยงอาหารต้อนรับให้แก่เจ้าสักมื้อ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ายินยอมที่จะไปหรือไม่ ? ”
“ฟังแล้วน่าสนใจดีนี่…”
ในเมื่อหนิงหยู่ชุนบอกว่าเป็นพ่อค้าดั้งเดิมของเมืองว่อเฟิง เช่นนั้นต้องเป็นอดีตชาวอี๋อย่างแน่นอน
มื้อนี้จะพลาดมิได้เด็ดขาด !
ประการแรกเพื่อให้พ่อค้าเหล่านี้สบายใจ และประการที่สองก็เพื่อสืบเรื่องบางอย่างจากปากของคนพวกนี้
อาทิเช่น ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? พวกเขามีความคิดเห็นเยี่ยงไรต่อนโยบายใหม่ของราชอาณาจักรบ้าง ? จนกระทั่งถามว่าพวกตนสามารถลงทุนสร้างโรงงานที่ว่อเฟิงเต้าได้หรือไม่ ?
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงหันไปมองพวกของจังเหวินฮุยด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขามองมาเช่นนี้ทั้งสี่ก็หัวใจสั่นระรัวขึ้นมาในทันพลัน !
รอยยิ้มนี้ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน !
ช่างเป็นมิตรมากยิ่งนัก !
แทบมิรู้สึกถึงความกดดันใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เปรียบดั่งสายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดมากระทบใบหน้า
“ข้ามีนามว่าฟู่เสี่ยวกวน เป็นเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยกับคนทั้งสี่อย่างเป็นทางการหนึ่งประโยค พวกเขาทั้งสี่คนจึงคุกเข่าลงไปกับพื้น น้ำเสียงของพวกเขายังมีความหวาดกลัวหลงเหลือให้เห็นอยู่ แต่ส่วนมากจะเป็นน้ำเสียงแห่งความเบิกบานใจเสียมากกว่า
“ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้ตรวจการณ์ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปอย่างเป็นกันเอง จากนั้นจึงพยุงทั้งสี่คนขึ้นมาทีละคน
“มิจำเป็นต้องห่างเหินถึงเพียงนี้ จะว่าไปแล้วข้าก็เป็นพ่อค้าเช่นกัน พ่อค้าในใต้หล้านี้ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปในวันข้างหน้ายังต้องการให้พวกท่านช่วยเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจอีกด้วย พวกท่านช่วยเสนอความคิดให้มากหน่อยก็แล้วกัน…จริงสิ ! พวกท่านเตรียมมื้ออาหารไว้ต้อนรับข้าใช่หรือไม่ ? ข้าหิวมากแล้ว เช่นนั้นกินไปพลางเสวนาไปพลางดีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน จนพวกจังเหวินฮุยมีปฏิกิริยาโต้ตอบช้าถึงห้าช่วงลมหายใจเลยทีเดียว
เขารีบร้อนประคองมือขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยปรารถนาจะเลี้ยงมื้ออาหารเพื่อต้อนรับท่านใต้เท้าด้วยใจบริสุทธิ์ขอรับ” คนที่ปากหวานอีกทั้งยังลื่นเป็นปลาไหลเยี่ยงเขาจึงหันไปประคองมือแล้วเอ่ยกับหนิงหยู่ชุนด้วยเช่นกันว่า “ข้าน้อยปรารถนาที่จะเชิญท่านผู้ว่ามาดื่มด้วยกันจอกใหญ่ ๆ แต่ทว่าในใจของท่านผู้ว่านั้นมีแต่ราษฎร พวกข้าน้อยมิอาจตามรอยเท้าของท่านได้เลย ต่อให้เลือกวันอื่นก็คงมิดีเท่าวันที่บังเอิญพร้อมหน้าเช่นนี้อีกแล้วขอรับ”
หนิงหยู่ชุนหัวเราะร่า “ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้เถิด”
“ขอบพระคุณท่านใต้เท้า ! ”
จังเหวินฮุยรีบหันไปคารวะต่อสีฉวินเหมยและคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ใบหน้าของเขาแจ่มใสราวกับมีดอกไม้กำลังเบ่งบาน “ใต้เท้าทุกท่าน ข้าน้อยได้จองหอสุ่ยหยุนเอาไว้แล้ว ขอทุกท่านได้โปรดเดินทางไปพร้อมกัน เช่นนั้นข้าน้อยคงรู้สึกตื้นตันเป็นที่สุด ! ”
สีฉวินเหมยต้องการปฏิเสธอยู่พอดี แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะแสดงความคิดเห็นออกมาว่า “ยอดเยี่ยมยิ่ง ! มิทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“อ่า…ข้าน้อยมีแซ่ว่าจัง นามเหวินฮุย ต่อหน้าท่านใต้เท้า ข้าน้อยมิสมควรถูกเรียกเช่นนั้นอย่างแท้จริง ! ”
“เถ้าแก่จังช่างรอบคอบมากยิ่งนัก ที่หอสุ่ยหยุนมีพื้นที่กว้างขวางใช่หรือไม่ ? เพราะคณะของข้ายังมีอีกร้อยกว่าคน”
จังเหวินฮุยยิ่งรู้สึกเบิกบานเข้าไปใหญ่ “พอขอรับ พอขอรับ… พอเหลือเฟือ ! หอสุ่ยหยุนเป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองว่อเฟิง พ่อครัวใหญ่ที่นั่นมาจากห้องเครื่องของพระราชวังแห่งแคว้นอี๋ วันนี้ทุกท่านจะได้ลิ้มรสชาติอาหารของแคว้นอี๋ขอรับ”
“ดี ! เถ้าแก่จังได้โปรดนำทางเถิด ! ”
“ขอบพระคุณท่านใต้เท้า ขอเชิญท่านขึ้นรถม้าขอรับ ! ”
จังเหวินฮุยและสี่คนที่เหลือขึ้นรถม้าคันเดียวกัน ส่วนอีกสามคันที่เหลือนั้นให้สีฉวินเหมยและคนอื่น ๆ โดยสาร
ฟู่เสี่ยวกวนเชิญหนิงหยู่ชุนขึ้นรถม้าของหยุนซีเหยียน จากนั้นขบวนรถก็ได้เคลื่อนเข้าไปในเมืองว่อเฟิงภายใต้การนำของจังเหวินฮุย
……
“ท่านติ้งอันป๋อผู้นี้…ข้ามิเข้าใจเลยจริง ๆ ” เฉียวลิ่วเยเอ่ยพลางขมวดคิ้วเป็นปม
“เขาเป็นถึงคนใหญ่คนโต ! ” จังเหวินฮุยเอ่ยด้วยสีหน้าที่มิอาจปิดซ่อนความดีใจเอาไว้ได้ “พวกท่านจงคิดดูเถิด ข้าเอ่ยเพียงแค่สองสามประโยคก็สามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันได้แล้ว หากพวกเรามองจากจุดนี้ ย่อมแสดงว่าเขาแตกต่างจากเจ้าเมืองคนก่อนอย่างสิ้นเชิง
เขามิได้อวดเบ่งในสถานะอันสูงส่ง อย่างน้อยข้าก็มิได้รับรู้ถึงการดูแคลนจากแววตาและท่าทีของเขาเลย หมายความว่าเขาเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการค้าขายเป็นที่สุด ! ”
ฟ่านสือหลินจากเพียวเซียงหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดปากออกมาว่า “จะว่าไปแล้วก็แปลกเหลือเกิน พบกันคราแรกข้ารู้สึกกดดันเสียเต็มประดา แต่เมื่อเขาเปิดปากเอ่ยออกมา ความกดดันก็หนีหายไปในทันพลัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเขามิใช่ผู้ตรวจการแต่อย่างใด ข้ารู้จักผู้คนมากหน้าหลายตาแต่ทว่าคนเช่นนี้…” เขาส่ายศีรษะ “ข้ามิเคยพบเห็นมาก่อน ! ”
หวังเสี่ยวจงจากร้านจิ่นซิ่วยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ติดต่อค้าขายกับราชวงศ์หยูอยู่หลายคราและได้ฟังเรื่องราวของบุรุษผู้นี้มาก็มิน้อย มีเรื่องมากมายเกี่ยวกับเขาและพวกท่านคงทราบดี แต่มีเรื่องหนึ่งที่เกรงว่าพวกท่านทั้งหลายยังมิเคยทราบมาก่อน”
“เรื่องใดหรือ ? ”
“การคัดเลือกขุนนางเพื่อมารับราชการยังว่อเฟิงเต้าในครานี้ ติ้งอันป๋อยืนหยัดต้านกระแสสังคมแล้วรับสตรีนางหนึ่งเข้ามาเป็นขุนนาง ! ”
“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ… นี่ นี่ นี่ นี่ก็ได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
พัดในมือของหวังเสี่ยวจงถูกพับมาบรรจบกัน “สตรีนางนั้นคือคุณหนูใหญ่ซือหม่าเช่อจากตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิว ! นางสอบเอินเคอได้ลำดับที่สี่ และทุกวันนี้ได้ไปรับหน้าที่ที่เขตหนิงซานเมืองชิงโจว
หัวหน้าตระกูลคนต่อไปของตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวก็คือซือหม่าฮุ่ยผู้เป็นบิดาของนาง และบัดนี้เขาอยู่ที่เมืองหนิงซาน ได้ยินมาว่าตระกูลซือหม่าจะครอบครองพื้นที่หนิงซานจนสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่เรียกว่าเขตหงเย่ โรงงานแห่งแรกคาดว่าจะผลิตสินค้าได้ในเร็ววันนี้แล้ว ว่ากันว่าเงินที่ใช้ในการลงทุนนั้นเป็นเงินจำนวนมหาศาล มากถึง 8 ล้านตำลึง ! ”
“อ่า… ! ” จังเหวินฮุยและคนอื่น ๆ สูดลมหายใจเข้าด้วยความเหลือเชื่อ
“ร้านจิ่นซิ่วของข้าได้ค้าขายกับตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวมาช้านานแล้ว ข่าวนี้มาจากบุตรชายคนที่สองของซือหม่าฮุ่ยจึงมั่นใจได้ว่ามิผิดเป็นแน่ ! ”
ทั้งสามคนตกอยู่ในอารามเงียบกริบในทันใด ต่างคนต่างก็อยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง
แต่ทว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าติ้งอันป๋อผู้นี้มิมีพิธีรีตองใด ๆ อีกทั้งยังกระทำสิ่งที่ขัดต่อกฎจารีตซึ่งก็คือการรับสตรีเข้ามาเป็นผู้พิพากษา !
ว่อเฟิงเต้าแห่งนี้…เห็นทีจะเป็นไปได้เสียหมดทุกอย่าง !
“ดูเหมือนว่าพวกเรามิอาจครองเมืองว่อเฟิงไว้ได้แล้ว เนื่องจากตอนนี้พวกเราเป็นคนของราชวงศ์หยูจึงมิสามารถแพร่อิทธิพลไปทั่วทั้งราชอาณาจักรได้ ! จะต้องเริ่มที่ว่อเฟิงเต้าเสียก่อน ! ”
“สิ่งที่ท่านจังคิดช่างพ้องกับสิ่งที่ข้าคิดเสียเหลือเกิน เนื่องจากลิ้วฝูจี้ก็ต้องการแพร่อิทธิพลเช่นเดียวกัน หากปล่อยให้ช้าไปกว่านี้…เกรงว่าจะถูกห้าตระกูลผู้นำการค้าแห่งราชวงศ์หยูครองพื้นที่ตลาดเสียหมด”
จังเหวินฮุยและคนอื่น ๆ จึงตัดสินใจคราใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนกำลังสนทนาอยู่กับหนิงหยู่ชุน
“เมืองว่อเฟิงแห่งนี้มีบ้านเรือนว่างเปล่ากี่หลัง ? ”
“มากกว่าครึ่งเลยทีเดียว จะให้คนกลุ่มใดย้ายเข้ามาดี ? ”
“ย้ายเข้ามากับผีสิ ! ต้องขาย ! เพราะตอนนี้ข้ายากจนข้นแค้นแบบสุด ๆ ไปเลยล่ะ ! ”