ตอนที่ 701 ค่ำคืนที่ยากหลับใหล
งานเลี้ยงต้อนรับดำเนินไปจนถึงยามซวีจึงจบสิ้นลงในที่สุด
หนิงหยู่ชุนนำคณะของฟู่เสี่ยวกวนไปยังจวนเต้าถาย…
มิได้แตกต่างอันใดกับผู้ตรวจการณ์ของเขตอื่น ซึ่งจะมีที่พำนักตั้งอยู่บริเวณสวนด้านหลังของที่ว่าการในเขตนั้น ๆ อีกที
แน่นอนว่าที่แห่งนี้มิอาจนำมาเปรียบเทียบกับจวนติ้งอันป๋อ ณ เมืองจินหลิงได้ แต่ทว่ายังดีที่เจ้าเมืองคนก่อนดูเหมือนเป็นคนรักความสุขสบายจึงประดับประดาลานด้านหลังไว้อย่างหรูหรา
สวนด้านหลังของที่ว่าการเขตแบ่งออกเป็น 5 ส่วน แน่นอนว่าแต่ละส่วนล้วนมีศาลากลางน้ำเช่นเดียวกัน ส่วนของห้องโถงจากทางเข้าอาคารและลานด้านหลังมีสวนดอกไม้อยู่ที่ละแห่ง และมีการจัดสวนอย่างพิถีพิถัน การตกแต่งล้วนมีเอกลักษณ์
ด้านสีฉวินเหมยและคนอื่น ๆ พักอยู่ถัดจากลานด้านหลังนี้ซึ่งเป็นที่พำนักของที่ว่าการเขต และขุนนางที่พักอยู่ทั้งหมดล้วนเป็นขุนนางของที่ว่าการเขตทั้งสิ้น
สีฉวินเหมยพาหยุนซีเหยียนไปพักอีกที่หนึ่ง ภายใต้การเสนอของฟู่เสี่ยวกวน ห้องเดิมทีที่เป็นของหนิงซือเหยียนให้ว่างเอาไว้ก่อน เนื่องจากที่อาศัยของเขาจะต้องเป็นบริเวณเรือนส่วนหน้าของจวน
ส่วนซุยเยว่หมิงมิได้ค้างแรมด้วย เนื่องจากเขามีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องรายงานการทำงานของฝูงมดทั้งหมดในว่อเฟิงเต้าแห่งนี้ ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในเขตของว่อเฟิงเต้า เขาก็กระจายเหล่าฝูงมดออกไปแล้วกว่าสองร้อยนายและอีก 100 นายที่เหลือก็ให้ประจำอยู่ที่เมืองว่อเฟิงแห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนนำบ่าวรับใช้มาด้วย 10 คน และบัดนี้พวกเขาทั้งหลายกำลังจัดห้องตามความต้องการของพวกหนานกงตงเซวี๋ยอยู่ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนและหนิงหยู่ชุนกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาตรงลานกลางจวน
“ฤดูร้อนของสถานที่แห่งนี้เย็นสบายกว่าเมืองจินหลิงอย่างเห็นได้ชัด เจ้ากำลังครุ่นคิดอยู่ใช่หรือไม่ว่าจะรับฮูหยินทั้งสามมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ดีหรือไม่ ? ”
หนิงหยู่ชุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เอาเป็นว่าจัดการภารกิจปีนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนก็แล้วกัน เพราะยังมีภารกิจให้ทำอีกตั้งมากมาย”
ใช่ ! ต่อไปว่อเฟิงเต้าแห่งนี้คงต้องส่งมอบให้หนิงหยู่ชุนเป็นคนจัดการโดยมิต้องสงสัย เพราะอีกฝ่ายยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแสนนาน
ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อคิดได้ดังนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เหล่าผู้อพยพนั้นจัดการได้เรียบร้อยแล้วหรือ ? ”
“ทำการกระจายไปยังแต่ละอำเภอเรียบร้อยหมดแล้ว ในสามจังหวัดนี้ที่ว่อโจวมีจำนวนประชากรมากที่สุด แต่ทว่าแผนการของเจ้านั้นมิได้วางแผนให้จังหวัดว่อโจวเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจแห่งว่อเฟิงเต้า… ข้าได้ส่งจดหมายไปถึงเหยียนซีไป๋แห่งจังหวัดชิงโจวและต่งเสียงฟางแห่งจังหวัดฉีโจวแล้ว ให้พวกเขาสรุปมาอย่างชัดเจนว่ายังขาดประชากรอีกจำนวนเท่าใดกันแน่ เพราะพวกเราอาจจะต้องย้ายคนออกไปอีกราว 6 แสนคน”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “จังหวัดว่อโจวนั้นอาศัยเมืองว่อเฟิงเป็นสำคัญ โดยหลัก ๆ แล้วใช้เพื่อวิจัยเทคโนโลยีใหม่ อีกทั้งอุตสาหกรรมหลักของว่อโจวก็ยึดเกษตรกรรมเป็นหลัก ระหว่างเดินทางมายังที่ราบว่อเฟิง ข้าได้ดูต้นข้าวในแปลงนาอย่างละเอียดแล้ว เห็นว่าเป็นพันธุ์ที่พบได้ทั่วไป แต่มีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าที่เมืองหลินเจียงเป็นอย่างมาก เช่นนั้นเมื่อยามเก็บเกี่ยวมาถึงเกรงว่าจะได้ผลผลิตสูงกว่าเดิมสองถึงสามเท่า
ในปีหน้า…พื้นที่ส่วนใหญ่ในที่ราบว่อเฟิงคาดว่าน่าจะปลูกพันธุ์ข้าวฟู่ซื่อต้ายได้แล้ว เช่นนั้นคงผลิตได้มากกว่าเดิมอีกหน่อย
อย่าดูหมิ่นดูแคลนการเกษตรเชียว ที่แห่งนี้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบกว้างใหญ่ไพศาล ในความเห็นของข้ามิเพียงสามารถปลูกข้าวได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังปลูกผักหรือผลไม้อื่น ๆ ได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น เมื่อเมืองว่อเฟิงมีบรรดาพ่อค้ามากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็ย่อมเกิดขึ้นตามมา”
ฟู่เสี่ยวกวนยังรู้สึกเสียดาย เสียดายที่ถนนหนทางระหว่างเมืองว่อเฟิงจนถึงอำเภอหลานหลิงยังต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 10 วัน
และตอนนี้ยังมิมีเทคโนโลยีด้านการแช่แข็ง จึงทำให้ผลไม้และพืชผักต่าง ๆ มิอาจขนย้ายไปขายต่างเมืองได้
ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าว่อเฟิงเต้ามีทั้งสี่ฤดูที่เป็นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่อำนวยต่อการปลูกพืชผักผลไม้อย่างแท้จริง !
หนิงหยู่ชุนมิเคยคาดการณ์ไกลเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวน เขาเอ่ยว่า “ก่อนที่เจ้าจะมาถึง ข้าได้พำนักในอำเภอซิ่วสุ่ยค่อนข้างนาน หวางเอ้อ ชาวนาที่เจ้าส่งมาจากซีซานได้บอกข้าว่าฟู่ซานต้ายสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อพื้นที่ 1 หมู่ได้มากถึง 800 ชั่ง…”
เขาหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามอย่างตั้งใจว่า “สามารถเก็บเกี่ยวได้สูงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เพราะแปลงนาที่ซีซานนั้นพันธุ์ข้าวธรรมดาทั่วไปสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ที่ 240 ชั่งต่อ 1 หมู่ แต่ทว่าฟู่ซานต้ายกลับสามารถให้ผลผลิตสูงกว่าถึงสี่เท่าเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?
แม้ว่าชาติที่แล้วเขาจะสามารถทำให้แปลงนามีผลผลิตมากถึงพันชั่ง หรือปลูกมันเทศที่ให้ผลผลิตถึงหมื่นชั่งได้อย่างง่ายดาย แต่ทุกสิ่งล้วนเกิดจากการใส่ปุ๋ยและการรดน้ำอย่างเพียงพอ
ส่วนแปลงนาในตอนนี้มีความเป็นธรรมชาติเต็มร้อย และปราศจากสิ่งปนเปื้อนใด แต่ก็อาจจะมีการใช้ปุ๋ยที่ผลิตเองจากชาวบ้านบ้าง
“ข้าคาดว่าอยู่ที่ 500 ชั่งโดยประมาณ แต่หวางเอ้อมีความเชี่ยวชาญมากกว่าข้า แม้จะได้ผลผลิตน้อยกว่าแต่อย่างน้อยก็คงถึงหกหรือเจ็ดร้อยชั่งเป็นแน่”
หยิงหยู่ชุนยังคงรู้สึกประหลาดใจต่อตัวเลขนี้อยู่ดี เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วจมลงสู่ห้วงภวังค์แห่งความคิด จากนั้นก็พึมพำออกมาว่า “ข้าวจากแปลงนาของที่ราบว่อเฟิงแห่งนี้อร่อยกว่าข้าวที่ผลิตในแถบเจียงหนานและเจียงเป่ยมากโข หากสามารถผลิตได้สูงถึงเพียงนั้นแล้วล่ะก็…”
เขาจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยกวน จากนั้นแววตาก็ได้เจิดจรัสเป็นประกายขึ้นมา “พวกข้าสามารถนำเรื่องข้าวไปเผยแพร่ให้ราษฎร บังเกิดความนิยมในตัวข้าได้นี่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยรอยยิ้มเห็นฟัน “เจ้าเป็นผู้ว่าแล้ว จะทำสิ่งใดก็สุดจะแล้วแต่เจ้าเถิด”
“แล้วเจ้าจะทำสิ่งใด ? ”
“ข้าหรือ ? เจ้าอย่าคาดหวังให้ข้าทำสิ่งใดเลย เพราะข้ามาเพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น”
……
……
ส่วนพวกของจังเหวินฮุยได้กลับไปยังที่พำนักของพวกเขาทันที
วันนี้ได้รับข่าวสารมามากมาย ส่งผลให้พวกเขาทั้งสี่คนนอนมิหลับ เลยต้องมาหารือกันอย่างจริงจังอีกสักครา
“สิ่งที่ติ้งอันป๋อเอ่ยมานั้น…พวกเจ้าคิดว่าเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจหรือเพียงแค่ต้องการสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองเท่านั้น ? ”
จังเหวินฮุยต้มชาหนึ่งกาแล้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้…ข้ามิอาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้นัก แต่ทว่าช่างมีความสามารถมากยิ่งนัก ข้าเผลอเกิดมโนภาพอยู่เสมอว่าเขารับราชการมาเป็นเวลาช้านานแล้ว”
เฉียวลิ่วเยเข้าสู่ภวังค์ความคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “ตามความเห็นของข้านั้น สิ่งที่ติ้งอันป๋อได้เอ่ยล้วนเป็นถ้อยคำจากใจทั้งสิ้น ทุกท่านลองคิดดูเถิดว่าหากเขามิได้แตกต่างอันใดกับขุนนางคนก่อน เขาคงมิพร่ำเตือนเรื่องนั้นแก่พวกเรา เขาสามารถดื่มสุราแล้วสรวลเฮฮาแบบขอไปทีเสียก็ยังได้”
หวังเสี่ยวจงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้ารู้สึกว่าที่เฉียวลิ่วเยเอ่ยมาทั้งหมดมีเหตุผล มิรู้เป็นเพราะสาเหตุใด ข้ารู้สึกว่าติ้งอันป๋อผู้นี้มิได้เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย… อีกอย่างเขาเป็นผู้มีสถานะสูงส่งแล้วเหตุใดถึงต้องหลอกลวงเพื่อตบตาพวกเราด้วยเล่า ? ”
“ได้ยินมาว่าห้าตระกูลผู้นำการค้าประจำราชวงศ์หยูได้สำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ในว่อเฟิงเต้าทุก ๆ วัน ในเมื่อพวกเขากล้ายกโขยงมายังว่อเฟิงเต้าเช่นนี้ คาดว่าพวกเขาน่าจะคลุกคลีกับติ้งอันป๋อมาช้านานแล้ว จึงมิได้บังเกิดความขลาดกลัว แล้วพวกเรายังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีกกัน ? ” ฟ่านสือหลินเอ่ย
จังเหวินฮุยเงียบไปชั่วขณะแล้วพยักหน้า
“ใช่ ! พวกเรามิอาจลังเลได้อีกแล้ว ข้าเห็นว่าข้อเสนอของติ้งอันป๋อนั้นดีมากยิ่งนัก พวกเราสามารถรวมตัวเป็นสมาคมขึ้นมาได้ จากนั้นก็รวบรวมร้านรวงต่าง ๆ ที่พอมีกำลังและความสามารถเข้ามาอยู่ในสมาคมด้วย ประการที่หนึ่งเพื่อกระจายสิ่งที่ติ้งอันป๋อต้องการสื่อไปยังพวกเขา ประการที่สองนั้น…เหล่าพ่อค้าจากราชวงศ์หยูทำให้พวกเรากำลังตกอยู่ในความพ่ายแพ้อย่างน่าอดสู เมืองว่อเฟิงแห่งนี้เป็นเมืองที่พวกเราดำเนินกิจการมาช้านาน ดังนั้นพวกเรามิอาจพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขาได้ หากเป็นเช่นนั้นคงน่าอับอายมากยิ่งนัก ! ”
ทันใดนั้นเฉียวลิ่วเยก็เหมือนนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยออกมาด้วยความกังวลใจอย่างถึงที่สุด “ข้าได้ยินมาว่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นกำลังออกบางสิ่งที่เรียกว่าหุ้นส่วนอันใดนั่นอยู่ อีกทั้งยังมีการรวบรวมเงินทุน และได้ยินมาว่าแต่ละที่สามารถรวบรวมเงินทุนได้มากถึง 10 ล้านตำลึง พวกเรามีสมบัติประจำตระกูลอยู่เท่านี้…จะสู้พวกเขาได้เยี่ยงไร ? ”
จังเหวินฮุยรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาทันใด จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงนว่า “หุ้นส่วนเยี่ยงนั้นหรือ ? คือสิ่งใดกัน ? เหตุใดจึงสามารถรวบรวมเงินตำลึงได้มากถึงเพียงนั้น ? ”
ในเวลานั้นเองก็ได้ปรากฏเด็กสาววัย 16 ปีก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า
นางเป็นบุตรสาวของจังเหวินฮุย มีนามว่าจังชีเยวี่ย
นางเดินเข้ามายังศาลาพักร้อนแล้วย่อตัวทำความเคารพให้แก่ผู้อาวุโสทั้งสี่ จากนั้นก็เอ่ยพลางหัวเราะว่า “ท่านพ่อท่านอาทั้งสามเจ้าคะ เรื่องหุ้นนี้ได้โปรดฟังข้าอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน… ! ”