ตอนที่ 726 ข่าวดีมิขาดสาย ( 1 )
“ไหน…รีบส่งมาให้ข้าดูเร็วเข้า ! ”
ฮ่องเต้รีบแย่งรายงานฉบับนี้มาทันที จากนั้นก็เพ่งอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดถึง 3 รอบ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… ! ” เสียงพระสรวลดังลั่นจากนั้นก็ยื่นพระหัตถ์ขึ้นชูรายงานฉบับนี้ ทรงมีท่าทีกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันตาเห็น “นี่เป็นลายมือของฟู่เสี่ยวกวน ! อำเภอซิ่วสุ่ยได้ปลูกข้าวพันธุ์ฟู่ซานต้ายทั้งสิ้น 20,000 หมู่ สามารถเก็บเกี่ยวได้สูงถึง 820 หมู่และต่ำสุดยังมากถึง 720 หมู่…”
พระองค์ทรงดำเนินลงจากบัลลังก์สองเก้าจากนั้นก็โบกพระหัตถ์ไปมา “พวกเจ้าต้องมิปักใจเชื่ออย่างแน่นอน ! ”
เรื่องแบบนี้ผู้ใดจะกล้าเชื่อกันเล่า ?
แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีก็ยังรู้สึกใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ หรือว่าเจ้าหมอนั่นจะสร้างเรื่องโหหกหลอกลวงขึ้นมากัน ?
หากเขียนว่าเก็บเกี่ยวได้ 400 – 500 ชั่งต่อที่นาหนึ่งหมู่ นั่นก็ถือว่าวิเศษมากแล้ว แต่เขากลับบอกว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึง 800 ชั่ง…เจ้ามิน่าทำเช่นนี้เลย !
ทันใดนั้น โจวเยว่ รองเสนาบดีกรมเกษตรซึ่งสังกัดภายใต้กรมโยธาธิการก็ได้ยืนขึ้นมา
เขาโค้งกายลงคำนับแล้วเปล่งวาจาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นต่างต่อเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง “อ่า…รองเสนาบดีโจว จงเอ่ยออกมาเถิด”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรับหน้าที่ประจำกรมเกษตรมานานนับสิบปีและในระยะสิบปีที่ผ่านมานี้ กระหม่อมได้ปลูกข้าวที่ภูมิภาคเจียงหนานมากกว่าแปดปี กระหม่อมได้ดูแลแปลงนาอย่างพิถีพิถันและแปดปีที่ผ่านมาก็เก็บเกี่ยวได้สูงสุดมิเกิน 300 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ กระหม่อมใคร่ถามทุกท่านว่าเคยได้ยินแคว้นใดหรือภูมิภาคใดที่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้มากกว่า 400 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่บ้างหรือไม่ ? ”
เขาหันไปคารวะต่อเหล่าขุนนางทั้งหลายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ต่อให้ที่ดินของว่อเฟิงเต้าอุดมสมบูรณ์ก็เถิด แต่ทว่ามิเคยมีสถิติของช่วงใดในประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าที่ราบว่อเฟิงสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้เกิน 400 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่เลย…”
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางฝ่าบาท “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าแม้ติ้งอันป๋อจะเป็นบุรุษมากความสามารถ แต่ตัวเลขที่ระบุว่าเฉลี่ยแล้วเก็บเกี่ยวได้ 770 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่นั้น…เกรงว่าจะเป็นข้อมูลที่ติ้งอันป๋อถูกผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาตบตาเสียมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เขาเลือกสรรคำเอ่ยได้อย่างสละสลวย
เนื่องจากมิบังอาจจู่โจมฟู่เสี่ยวกวนโดยตรง เพราะกิตติศัพท์ในเรื่องความโหดร้ายของเจ้าหมอนั่นเป็นที่เลื่องลือ หากทำให้ขุ่นเคืองก็เกรงว่าตำแหน่งรองเสนาบดีกรมเล็ก ๆ ก็จะมิสามารถต้านทานได้แม้แต่แรงกดจากนิ้วก้อยของอีกฝ่าย
เช่นนั้นจึงทำได้เพียงแค่โยนความผิดใส่หัวลูกน้องของฟู่เสี่ยวกวน เพราะมิว่าติ้งอันป๋อจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็อาจจะโดนขุนนางภายใต้บังคับบัญชาหลอกอยู่ดี นี่จึงมิใช่ความผิดของติ้งอันป๋อและร้ายแรงที่สุดก็คงเป็นแค่การเพิกเฉยในหน้าที่ผู้ตรวจการณ์เท่านั้น
เมื่อฝ่าบาททรงได้ยินเช่นนั้น ความตื่นเต้นและฮึกเหิมก็พลันสงบลงในทันใด
จริงด้วย…ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ทายาทของสุดยอดเกษตรกรเสียหน่อย แล้วเขาจะสามารถทำให้จำนวนข้าวเปลือกมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าได้เยี่ยงไรกัน ?
โจวเยว่เหลือบมองพระพักตร์แล้วกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “ทุกท่านคงทราบดีว่าติ้งอันป๋อได้คัดเลือกขุนนางบริหารว่อเฟิงเต้าเองกับมือของตนเอง และขุนนางทั้งหลายล้วนเป็นคนหนุ่ม เมื่อคนหนุ่มมารับตำแหน่งขุนนาง…ข้ามีความเห็นว่าพวกเขายังอ่อนประสบการณ์และอาจจะเป็นเพราะอยากสร้างความประทับใจต่อติ้งอันป๋อ จึงต้องสร้างเรื่องปริมาณข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ขึ้นมา”
เมื่อเหล่าเสนาบดีได้ยินดังนั้นก็เห็นว่าสมเหตุสมผล ขุนนางพวกนั้นล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่ขนหน้าแข้งเพิ่งขึ้น ดังนั้นการคุยโวโอ้อวดผลงานย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใด
นั่นยิ่งทำให้ฝ่าบาทเกิดความเคลือบแคลงใจ หรือว่าครานี้ลูกเขยจะโกหกข้าอย่างแท้จริง ?
แต่ถ้าสามารถเก็บเกี่ยวได้ 700 – 800 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่จริง ๆ เล่า !
หากขยายไปปลูกที่อื่นเมื่อใด แม้ว่าแปลงนาจะมิอุดมสมบูรณ์เท่าว่อเฟิงเต้า ก็คงสามารถเพิ่มผลผลิตขึ้นเป็นหนึ่งเท่าตัวได้เช่นกัน… ดังนั้นราชวงศ์หยูของข้าจะยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอาหารอยู่อีกหรือไม่ ?
ย่อมมิขาดแคลนอยู่แล้ว !
มิหนำซ้ำอาจจะมีมากพอสำหรับค้าขายอีกด้วย !
น่าเสียดายอย่างแท้จริง นี่ทำให้ข้าดีใจเก้อ คงต้องส่งจดหมายไปให้ฟู่เสี่ยวกวนตรวจสอบเสียหน่อย เพื่อมิให้เกิดเรื่องน่าอายจนสามารถตบหน้าข้าได้ในภายหลัง
ในขณะที่พระองค์กำลังจะตรัสบางอย่างออกมา ขันทีอีกคนก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนจากประตูด้านข้าง จากนั้นก็ยื่นรายงานอีกสามฉบับให้กับขันทีเหนียน
“ทูลฝ่าบาท มีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นรายงานด่วนจากเขตเหยา อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงแล้วหยิบรายงานด่วนจากเขตเหยามาทอดพระเนตร…ดวงเนตรเบิกกว้าง จากนั้นสีพระพักตร์ก็แสดงความปลื้มปีติอย่างถึงที่สุดออกมา !
‘กระหม่อมเยี่ยนซีเหวินทูลรายงานต่อฝ่าบาท
ปีนี้เขตเหยาได้ปลูกข้าวพันธุ์ฟู่ซานต้ายทั้งสิ้น 5,000 หมู่ อีกทั้งการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิได้สำเร็จลุล่วงลงแล้ว ปริมาณข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวได้ทำให้กระหม่อมเกิดความรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก !
ผลผลิตต่อ 1 หมู่ของนาข้าวอื่น ๆ นอกเหนือจาก 5,000 หมู่ในเขตเหยานี้ ยังคงอยู่ที่ 240 ชั่งต่อ 1 หมู่ แต่ทว่าผลผลิตของที่นา 5,000 หมู่นี้สูงถึง 650 ชั่งต่อหมู่อย่างที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ ! ’
เหล่าเสนาบดีจ้องมองฝ่าบาทด้วยความสงสัยเพราะมิรู้ว่าจะมีข่าวร้ายอันใดเกิดขึ้นอีก
แต่ทว่าเสียงพระสรวลก็ได้ดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า…พวกเจ้า พวกเจ้ามิต่างจากกบในกะลาเอาเสียเลย ! ”
เหล่าเสนาบดีตื่นตกใจ ฝ่าบาททรงเป็นโรควิกลจริตไปแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ?
มิเช่นนั้นเหตุใดสีพระพักตร์ถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเยี่ยงนี้ ?
ฮ่องเต้สามารถวางพระทัยได้ในทันใด เพราะเข้าใจแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทูลความเท็จต่อพระองค์
“ข้าพร่ำบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่าต้องตามให้ทันยุคสมัย ตามให้ทันโลก แล้วพวกเจ้ามัวทำอันใดอยู่กัน ? ยังคงมีแนวคิดคร่ำครึเช่นนี้ หรือเรียกว่าพวกหัวโบราณที่ฉุดรั้งความเจริญ ! ”
พระองค์ชูพระหัตถ์ข้างที่มีรายงานแล้วตรัสออกมาอย่างกระฉับกระเฉง “เรื่องปริมาณข้าวในอำเภอซิ่วสุ่ยที่เก็บเกี่ยวได้เฉลี่ย 770 ชั่งนั้นมิผิดอย่างแน่นอน ! ”
เหล่าเสนาบดีต่างก็ประหลาดใจ หากนั่นมิผิดแล้วสิ่งใดถึงจะเรียกว่าผิดกัน ?
โจเยว่คารวะแล้วทูลอย่างร้อนรน “ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้จะถูกต้องได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“ได้สิ…เพราะพันธุ์ข้าวฟู่ซานต้ายมีการปลูกที่เขตเหยาจำนวน 5,000 หมู่ด้วยเช่นกัน และนี่เป็นรายงานจากที่นั่น ข้าจะอ่านให้พวกเจ้าฟัง”
พระองค์หยุดไปครู่หนึ่งแล้วทอดพระเนตรเหล่าเสนาบดีอย่างภาคภูมิ บนพระพักตร์มิอาจปิดบังความปลื้มปีตินี้ได้ “ที่นาทั้งห้าพันหมู่ของเขตเหยาสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้เฉลี่ยอยู่ที่ 650 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ ! ”
“ไอหยา…” เสียงของความตกตะลึงดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งท้องพระโรง ส่วนโจวเยว่ก็ได้อ้าปากค้างด้วยอารามตกตะลึงงัน
“ทูลฝ่าบาท เป็นไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ นี่มันเป็นไปมิได้อย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ พื้นที่เจียงเป่ยมิสามารถเก็บเกี่ยวได้เกิน 300 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ นี่… นี่… นี่มันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี ! ”
เมื่อฝ่าบาทได้ยินดังนั้นก็รู้สึกมิพอพระทัย “โจวเยว่ ในฐานะที่เจ้าเป็นรองเสนาบดีกรมเกษตร ตัวเจ้ามิอาจทำให้ข้าวมีผลผลิตสูงถึงเพียงนี้ได้ จึงคิดว่าผู้อื่นก็มิสามารถทำได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะบอกให้ว่าข้าวพันธุ์นี้มีชื่อว่าฟู่ซานต้าย ! เป็นพันธุ์ข้าวที่ฟู่เสี่ยวกวนราชบุตรเขยของข้าบ่มเพาะมาเองกับมือ ! ”
“ข้ารู้ดีว่าความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกเจ้านั้นยากจะแก้ไข โจวเยว่ ข้าขอส่งเจ้าไปประจำการที่เขตเหยา ! ให้เจ้าไปสังเกตการณ์ที่นั่นแทนข้า เจ้าจงไปถามไถ่ราษฎรท้องถิ่นที่นั่นเอาเถิด และอีกอย่าง…ในปีหน้าข้าจะให้เจ้าไปประจำการที่อำเภอเหยาเป็นเวลา 1 ปี จงศึกษาว่าเขาทำเยี่ยงไรข้าวถึงได้ให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นถึงหนึ่งเท่า ! ”
“อ่า…กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
โจวเยว่มิได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเมื่อได้ยินพระบัญชาเช่นนี้ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น
เพราะเหตุอันใดน่ะหรือ ?
เพราะข้าจะเปิดโปงคำโกหกหลอกลวงของพวกนั้นด้วยตัวของข้าเอง !
ทั่วหล้านี้มิมีข้าวพันธุ์ใดสามารถให้ผลผลิตสูงถึงเพียงนั้นได้อย่างแน่นอน !
ปีหน้าข้าจะลองไปปลูกข้าวพันธุ์ฟู่ ๆ นั่นเองกับมือ แล้วจะใช้ตัวเลขตามจริงมาลบล้างความมิเป็นธรรมนี้ !
พวกขุนนางทรยศจะนำความพินาศมาสู่บ้านเมือง !
หากว่าฝ่าบาททรงปักพระทัยเชื่อเรื่องนี้แล้วก็มิรู้ว่าจะเกิดการออกนโยบายที่ผิดพลาดมากน้อยเพียงใด อย่างเลวร้ายที่สุดก็อาจจะนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของแคว้น และอย่างดีสุดคืออาจจะทำให้ผู้คนต้องอดตาย !
ราษฎรถือเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า หากของที่ทานเข้าไปเป็นของปลอมย่อมเป็นเรื่องร้ายแรงที่มิอาจให้อภัยได้ !
ดังนั้นโจวเยว่จึงรู้สึกว่าได้รับหน้าที่อันชอบธรรมแล้ว เขาถึงกับยืนยืดอกยืดเอวแม้แต่ความหวาดกลัวที่มีต่อติ้งอันป๋อก็ได้อันตรธานหายไป…
ด้วยภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ ต่อให้ข้าต้องสละดวงวิญญาณก็จะต้องเปิดโปงหน้ากากสกปรกโสมมของติ้งอันป๋อและเยี่ยนซีเหวินให้จงได้ !
ในจังหวะที่ความคิดนี้แล่นอยู่ในหัว ด้านฝ่าบาทก็ทรงหยิบรายงานอีกหนึ่งฉบับจากอำเภอผิงหลิงขึ้นมาทอดพระเนตร