ตอนที่ 731 เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง
องค์หญิงใหญ่มิสามารถอธิบายอาการคลุ้มคลั่งของฟู่ต้ากวนได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่านางเข้าใจถึงสาเหตุของความบ้าระห่ำในที่นี้ได้เป็นอย่างดี
ฟู่เสี่ยวกวนคือองค์ชายเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์อู๋ อีกทั้งยังเป็นบุตรชายที่ฟู่ต้ากวนรักเสียยิ่งกว่าบุตรในไส้
ดังนั้นจึงมิคุ้มค่าเอาเสียเลยที่ราชวงศ์หยูจะเป็นปฏิปักษ์กับฟู่เสี่ยวกวน เพราะเยี่ยงไรเสียในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงทำงานเพื่อราชวงศ์หยูด้วยใจจริง
นางรินชาให้ฮองเฮาซั่ง “ทางที่ดีที่สุดคือต้องแจ้งให้พระอนุชาของหม่อมฉันทราบเรื่องนี้ มิเช่นนั้นในภายภาคหน้า…”
“อืม… ประเดี๋ยวถ้าฝ่าบาทเสด็จกลับมา ข้าจะทูลถวายแด่พระองค์เอง”
ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ก็เบาสุรเสียงลงพร้อมโน้มพระวรกายไปด้านหน้า “ฮองเฮามิทรงกังวลว่าในอนาคตราชวงศ์หยูจะต้องเผชิญหน้ากับราชวงศ์อู๋ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบบ้างเลยหรือ ? ”
ฮองเฮาซั่งถือถ้วยชาและหมุนไปมา “มีสิ่งใดต้องกังวลใจกัน เขาวางรากฐานทางเศรษฐกิจให้ราชวงศ์หยูแล้ว วางแผนทิศทางการพัฒนาในอนาคตไว้แล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ต่อให้เขากลับไปครองบัลลังก์ที่ราชวงศ์อู๋ แต่ข้าก็ยังเป็นแม่ยายของเขา หากลูกเขยได้สร้างสิ่งใดขึ้นที่ราชวงศ์อู๋ มีหรือที่แม่ยายเยี่ยงข้าจะส่งคนไปดูมิได้ ? ”
เมื่อตรัสจบก็ดื่มชาหนึ่งอึก วางจอกชาลงแล้วตรัสเสริมพร้อมแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย “เขาเคยกล่าวไว้ว่าต้องอยู่ในภาวะการแข่งขันเท่านั้นจึงจะก้าวหน้า… มิว่าจะทางเศรษฐกิจหรือทางการทหารก็เช่นเดียวกัน อีกทั้งเขายังเคยกล่าวเอาไว้อีกว่าจะเปิดการค้าระหว่างแคว้นและนี่คือการสร้างเวทีแข่งขันระหว่างแคว้นขึ้นมานั่นเอง”
“บางทีภายใต้การแข่งขันเยี่ยงนี้ ราชวงศ์หยูอาจจะมีผู้มากความสามารถอันโดดเด่นปรากฏออกมาอีกเป็นจำนวนมาก… จะสามารถมองเห็นรุ้งกินน้ำได้เยี่ยงไรถ้ามิผ่านพายุมาก่อน หากยังมิเคยปีนขึ้นที่สูงจนสุดกำลังแล้วจะขึ้นไปถึงยอดได้เยี่ยงไร ? ”
“ดังนั้นมิจำเป็นต้องกังวลอันใดมากเพราะสิ่งที่ราชวงศ์หยูควรทำในตอนนี้คือรวบรวมประสบการณ์ของว่อเฟิงเต้า รอปีหน้าอีกหนึ่งปีจนไปถึงในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบสองก็จะสามารถนำหนทางความสำเร็จของว่อเฟิงเต้าไปผลักดันทั้งสิบสามมณฑลที่เหลือได้”
ฝ่ายองค์หญิงใหญ่มิได้ตรัสอันใดอีก เพียงนั่งจิบชาอยู่เงียบ ๆ พลางคิดไปถึงเมล็ดข้าว มันเทศ และสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้สร้างขึ้นมา
คุณงามความดีที่เขาทำเพื่อราชวงศ์หยูเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน
ศักยภาพของเขานั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง !
หวังว่าพระอนุชาจะมีพระทัยกว้างมากพอที่จะปล่อยให้เขาจากไปโดยสวัสดิภาพ ในภายภาคหน้าทั้งสองแคว้นจะได้มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชวงศ์หยูอย่างยิ่ง
แต่พระอนุชาจะปล่อยเสือกลับเข้าป่าได้จริงหรือ ?
มิใช่ ! ฟู่เสี่ยวกวนมีไมตรีจิตที่ดีและเขามิใช่เสือ แต่ทว่าเขาเป็นราชบุตรเขยของฝ่าบาท !
……
……
ราชบุตรเขยที่ดีของฝ่าบาทเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนยังมิทราบว่าฉินเฉิงเย่ได้รับคำเตือนจากฉินปิ่งจงว่าให้ออกจากศูนย์วิจัยซีซานแล้วเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋เสีย เขายิ่งมิทราบเข้าไปใหญ่ว่าเรื่องเล็กน้อยนี้กำลังดังไปถึงเบื้องบน คาดมิถึงว่าจะทำให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋บังเกิดความตื่นตัวไปด้วย
บิดาอ้วนย่อมดีใจและยังคิดไปว่าเป็นหมากของฟู่เสี่ยวกวนที่เดินไว้ แต่ทว่าฮ่องเต้ค่อนข้างมีโทสะและคิดว่านี่เป็นหมากของฟู่เสี่ยวกวนเช่นเดียวกัน
สำหรับการกลับไปราชวงศ์อู๋ของฟู่เสี่ยวกวน พระองค์ได้เตรียมใจไว้เนิ่นนานแล้ว แต่ทว่าก็ยังสับสนอยู่มาก พระองค์มิทราบว่าควรจะแสดงท่าทีเยี่ยงไร เมื่อยามเผชิญหน้ากับการเดินทางเข้าเมืองหลวงครานี้ของฟู่เสี่ยวกวน
หากอีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาก็สิ้นเรื่อง แต่เขากลับมิธรรมดานี่สิ !
หากคนเยี่ยงนี้ได้ขึ้นครองบัลลังก์… ราชวงศ์อู๋ที่เติบโตอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาจะพัฒนาไปได้ไกลถึงเพียงใด ?
เขาสามารถเล่นกับผืนปฐพีนี้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาย่อมเล่นกับแคว้นอื่นได้อย่างง่ายดายเช่นกัน !
เมื่อแคว้นหนึ่งตกอยู่ในกำมือของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเยี่ยงไรบ้างกัน ?
ราตรีนี้ ฮ่องเต้รู้สึกยากที่จะข่มดวงพระเนตรลง
ค่ำคืนเดียวกันนี้ซือหม่าเช่อผู้พิพากษาประจำหนิงซาน ณ ว่อเฟิงเต้าก็ยากที่จะข่มตาหลับเช่นเดียวกัน
แต่มิใช่เพราะฟู่เสี่ยวกวนใกล้จะเดินทางมาถึงหนิงซานนี้แต่อย่างใด เป็นเพราะโรงงานที่หงเย่จี๋เกิดไฟไหม้ต่างหากเล่า !
เหตุการณ์เพลิงไหม้เพิ่งดับลงในช่วงดึกที่ผ่านมา โรงงานหงเย่หนึ่งของตระกูลซือหม่ามอดไหม้เป็นจุลส่งผลให้เกิดความเสียหายครายิ่งใหญ่
ซือหม่าเช่อกลับมาถึงสำนักงานเขตในช่วงเช้า ใบหน้าปรากฏความเย็นชาราวกับน้ำแข็งจนทำให้เหล่าขุนนางที่กลับมาพร้อมกันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ใต้เท้าหญิงท่านนี้รับมือได้มิง่ายเลย !
นางคือผู้พิพากษาเขตหนิงซานที่ติ้งอันป๋อแต่งตั้งขั้นมาเองกับมือ และเป็นขุนนางหญิงคนแรกในใต้หล้า !
แน่นอนว่าความสามารถของสตรีท่านนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้วเช่นกัน
หลังจากที่นางขึ้นรับตำแหน่งก็ได้ลงดาบจัดการเขตหนิงซานอย่างเด็ดขาด ทางชิงโจวจึงเป็นแห่งแรกในสามจวนโจวที่ได้ดำเนินการจดทะเบียนบ้านและมีการรังวัดที่ดินใหม่ อีกทั้งยังกำหนดเขตอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งเอาไว้แล้วด้วย !
กลยุทธ์ของนางเด็ดขาดและแข็งกร้าว ในเหตุการณ์รับสมัครคนงานคราแรกของโรงงานหงเย่หนึ่ง นางก็ปรี่ไปถึงหน้าประตูของตระกูลจางซึ่งใหญ่ที่สุดในหงเย่จี๋ ณ ลานกว้างของจวนตระกูลจางบังเกิดการสนทนาที่ไม่น่าพอใจระหว่างผู้อาวุโสจางผิงจวี่กับนาง
ท้ายที่สุดนางก็สามารถปราบปรามความกำเริบเสิบสานของจางผิงจวี่ได้สำเร็จ การรับสมัครคนงานของโรงงานหงเย่หนึ่งเป็นไปอย่างราบรื่น ชาวอี๋ดั้งเดิมและผู้อพยพชาวหยูมีการแบ่งรับสมัครเป็นครึ่งต่อครึ่ง
จากที่เห็นในวันนี้อาจจะพบว่าการสนทนาในวันนั้นกลายเป็นรากเหง้าของเหตุเพลิงไหม้คราใหญ่ที่โรงงานหงเย่หนึ่ง
แต่ทว่านี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นเพราะเจ้าหน้าที่สืบสวนรวมถึงเหล่ามือปราบยังคงตรวจสอบกันอยู่และยังมิทราบต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัด
ซือหม่าเช่อนั่งอยู่ในที่ว่าการด้วยใบหน้าที่นิ่วคิ้วขมวดและมิเอื้อนเอ่ยอันใดอยู่เนิ่นนาน เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ก็ยืนอยู่ในห้องโถงด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน พวกเขามิกล้าแม้แต่จะหายใจเลยทีเดียว
เวลาชาครึ่งถ้วย ซือหม่าเช่อเงยหน้าขึ้นมาและเริ่มเปิดปากเอ่ยว่า “นี่คือเรื่องเล็ก แต่ข้ากลับทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ อีกมินานก็จะสิ้นปีแล้ว ต่อจากนี้ยังมีเรื่องใหญ่อีกหลายเรื่องให้พวกเจ้าไล่ตามอย่างสุดกำลัง…”
“ประการแรกคือการสำรวจเส้นทางเชื่อมต่อหนิงซานไปยังตัวจังหวัด เรื่องนี้ต้องเห็นผลลัพธ์ภายในสิ้นปีนี้ จงสำรวจมาว่าต้องเลือกเส้นทางใด ? มีค่าใช้จ่ายเท่าใด ? ต้องใช้แรงงานประมาณเท่าใดเป็นต้น”
“ประการที่สองคือพื้นที่เขตอุตสาหกรรมเมืองป๋ายหวาจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ เนื่องจากเถ้าแก่ของร้านจิ่นซิ่วยังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ! ”
“ประการที่สาม ชาวอี๋ดั้งเดิมของหงเย่จี๋ยังมีมากเกินไปจึงสมควรย้ายออกไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ! เรื่องนี้ข้าจะเขียนรายงานถึงผู้ว่าเหยียนด้วยตนเอง เพื่อขอให้ใต้เท้าเหยียนหาที่เหมาะสมสำหรับการย้ายถิ่นฐานให้แก่พวกเขา”
“……”
ซือหม่าเช่อยังคงทำงานหนักแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและในวันนี้คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังจะออกเดินทางจากเขตเซียงถานไปยังเขตหนิงซาน
ส่วนเมื่อวานนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้รับการรายงานสามฉบับจากฝูงมด หนึ่งในสามเป็นรายงานเกี่ยวกับว่อเฟิงเต้า
จวบจนบัดนี้ว่อเฟิงเต้าเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นแล้ว 3 ครา โดยแบ่งเป็นที่ทุ่งป่าน 1,000 หมู่ในฉีโจว โรงงานสิ่งทอในเขตโม่และเขตช่างชวนของชิงโจว
ระยะห่างระหว่างเขตจู้และเขตโม่อย่างน้อยก็ 600 ลี้ ส่วนระยะห่างระหว่างเขตโม่และเขตช่างชวนคร่าว ๆ ก็ราว 200 ลี้ อุบัติเหตุนี้ดูเหมือนจะมิเกี่ยวข้องกัน แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอันตราย
“เดิมทีในฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถเกิดการติดไฟได้ง่ายอยู่แล้ว ท่านวิตกเกินไปหรือไม่ ? ”
เมื่อครู่ฟู่เสี่ยวกวนได้สั่งการให้ฝูงมดจับตามองแหล่งรวมตัวขนาดใหญ่ของชาวอี๋ แต่ในสายตาของจัวตงหลายค่อนข้างเห็นว่าเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียมากกว่า
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเล็กน้อยและส่ายหน้าไปมา “ก็หวังว่าข้าจะกังวลมากจนเกินไป…”
เขาตอบกลับจัวตงหลาย จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าเคยไปหกรัฐแห่งเป่ยเซียวหรือไม่ ? ”
จัวตงหลายชะงักงัน “เคยไปคราหนึ่งเมื่อสามปีก่อน”
“ที่นั่นเป็นสถานที่แบบใด กล่าวให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”
“เป่ยเซียวตั้งอยู่ทางทิศเหนือของราชวงศ์อู๋โดยแบ่งเป็นสามรัฐตอนบนและสามรัฐตอนล่าง สามรัฐตอนล่างคือแหล่งกำเนิดของแม่น้ำหนานชาง แต่ทว่าสภาพอากาศเลวร้ายมากยิ่งนัก ส่วนสามรัฐตอนบนแทบจะเป็นถิ่นทุรกันดาร ยิ่งไปทางเหนือมากเท่าใดก็ยิ่งรกร้างมากเท่านั้น และสุดท้ายก็จะถึงเขตทะเลทรายพันลี้”
“…สถานที่แห่งนั้นมีคำกล่าวขานอยู่แปดคำ คือ พื้นที่กว้างใหญ่แต่ผู้คนน้อยมาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังมิเข้าใจว่าสิ่งที่ฟู่ต้ากวนตอบกลับมาในจดหมายนั้น หมายความว่าเยี่ยงไร