ตอนที่ 742 เยือนภูเขาเฟิ่งหลินอีกครา
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบสอง เดือนสิบสอง
คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนได้มาถึงภูเขาเฟิ่งหลินโดยสวัสดิภาพ
เขามิได้เดินทางกลับไปยังจวนติ้งอันป๋อในจินหลิง แต่ทว่ากลับตรงมายังที่แห่งนี้ทันที
เนื่องจากปรารถนาที่จะมาเห็นด้วยตาว่ากองทัพทหารดาบเทวะฝึกฝนเป็นเยี่ยงไรบ้าง อีกทั้งตั้งใจจะวางกลยุทธ์สำหรับการต่อสู้กับชาวฮวงในภายภาคหน้า
เขาพำนักอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลินเป็นเวลา 3 วันแล้ว แน่นอนว่าทำให้ชาวซีซานในภูเขาเฟิ่งหลินรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก และเขายังสามารถสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งซึ่งกำลังทำการทดสอบประจำปีอยู่ได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อการทดสอบของทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งเสร็จสิ้นลง ผลคะแนนของหนึ่งร้อยอันดับแรกก็ได้ปรากฏสู่สายตาของสาธารณชน ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก
ภายในกระโจมของผู้บัญชาการทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดผลคะแนนในมือแล้วมองไปทางเฉินป๋อ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “อ่า… เจ้าเฮ้อซานเตา…ได้ที่หนึ่งเยี่ยงนั้นหรือ ? มิได้เข้าใจอันใดผิดไปใช่หรือไม่ ? ”
เฉินป๋อรีบยกมือขึ้นคารวะ “เรียนใต้เท้าฟู่ หามีส่วนใดผิดพลาดไม่ เนื่องจากการทดสอบต่าง ๆ ล้วนนำมาจากหนังสือฝึกหัดภาคพิเศษจึงมิสามารถกระทำการคดโกงได้แต่อย่างใด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ลอบคิดในใจว่า ‘อืม… เจ้าหมอนี่มิเลวเลยทีเดียว เขาสามารถใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการผ่านด่านฝึกของทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้อันดับหนึ่งอีกด้วย… พ่อค้าที่ดินผู้นี้ เหตุใดในอดีตจึงมิเห็นมีศักยภาพเช่นนี้เลยนะ ? ’
อันดับที่สองได้แก่กวนเสี่ยวซี ฟู่เสี่ยวกวนจำคนผู้นี้ได้ขึ้นใจ และจากความสามารถของเขาย่อมสามารถอยู่ในอันดับนี้โดยมิต้องสงสัย
อันดับที่สามคือเว่ยอู๋ปิ้ง… เจ้าหมอนี่เก่งกาจยิ่ง เดิมทีเขาเป็นนายพรานแห่งฉินหลิงอีกทั้งยังมีวรยุทธ์อยู่ในขั้นที่สอง นับว่ามิห่างจากการคาดเดามากนัก
อันดับสี่คือหวังเสี่ยวจ้วง เจ้านี่คือบุตรคนรองของหวางเอ้อ นับว่าเป็นทหารผ่านศึก เพราะเมื่อปีที่แล้วเขาได้เข้าร่วมการปราบปรามโจรป่าที่ผิงหลิงด้วย
ส่วนอันดับที่ห้า เฝิงซี… อืม… เฝิงซีน่าจะเป็นบุตรชายคนรองของเฝิงหล่าวซื่อ เขาได้เข้าร่วมกับทหารดาบเทวะด้วยเยี่ยงนั้นหรือ อีกทั้งยังติดอันดับห้า มิเลวเลยทีเดียว !
ฟู่เสี่ยวกวนอ่านรายชื่อลงไปเรื่อย ๆ บ้างก็คุ้นตาบ้างแปลกตาออกไป แน่นอนว่ารายชื่อที่มิคุ้นเคยย่อมมีมากกว่า
หลังจากที่เขาอ่านรายชื่อเหล่านี้จบก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็แต่งตั้งให้กวนเสี่ยวซีเป็นผู้บังคับการกองพลน้อยที่หนึ่ง เว่ยอู๋ปิ้งเป็นผู้บังคับการกองพลน้อยที่สอง เฮ้อซานเตาเป็นผู้บังคับการกองพลน้อยที่สามก็แล้วกัน ส่วนตำแหน่งผู้บังคับการคนอื่น ๆ ก็ให้จัดไปตามลำดับที่สอบได้ นอกจากผู้บัญชาการกองพลแล้ว เจ้าต้องจัดการกับรายชื่อของทั้งหกกองพลน้อยและสามสิบกองพันนี้ให้เสร็จภายในหนึ่งวัน…
ในวันพรุ่งนี้ ให้ผู้มีตำแหน่งหัวหน้ากองพันขึ้นไปมาร่วมประชุมที่กองบัญชาการ”
เฉินป๋อแสดงท่าทางดีอกดีใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน “ใต้เท้า มีงานให้ทำแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้ม “งานใหญ่เลยล่ะ ! ”
“ดี ! เจ้าพวกนี้มักบ่นอยู่เรื่อยว่ามิมีอันใดให้พวกเขาทำ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการประเดี๋ยวนี้เลย ! ”
เฉินป๋อกล่าวจบก็เดินออกจากกระโจมไป ด้านในจึงเหลือเพียงฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นเต้า
“จากกำหนดการที่วางเอาไว้ เจ้าควรกลับไปเมืองจินหลิงไปได้แล้ว”
“แต่ข้าคือผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง !
หยูเวิ่นเต้าเพิ่งได้ยินมากับหูว่าฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถึงงานใหญ่ ก่อนหน้านี้เขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกันเล่า ? ก็เพื่อรอทำการใหญ่มิใช่หรือ ?
แต่ทว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะให้เขากลับไปยังเมืองจินหลิง…หยูเวิ่นเต้าย่อมมิยินยอมเป็นอันขาด !
ฟู่เสี่ยวกวนเผยอยิ้มขึ้นมา “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าขอยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งของเจ้า ! ”
หยูเวิ่นเต้าตกตะลึงงัน บังเกิดอาการสะดุ้งโหยงราวกับแมวถูกเหยียบหาง “ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ากล้าเยี่ยงนั้นหรือ ! ข้าจะไปออกรบ ! ”
“ออกรบบ้าบออันใดกัน ! ใต้หล้าสงบเรียบร้อยดี เช่นนั้นเจ้าจะไปรบกับผู้ใด ? ”
หยูเวิ่นเต้ารู้สึกงงงวย “เมื่อครู่เจ้ามิได้กล่าวว่ามีเรื่องใหญ่ให้ทำหรอกหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปจากนั้นก็ตบลงที่ไหล่ของหยูเวิ่นเต้าเบา ๆ “ข้าจะย้ายเจ้าพวกนี้ไปสร้างถนนที่ว่อเฟิงเต้า…นี่ ! เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้ ทว่านี่คือคนตั้ง 30,000 คนเชียว ! ทุกคนต้องกินต้องดื่มแต่บัดนี้มิได้มีสงครามให้ออกรบ ดังนั้นเจ้าจะให้ข้าเลี้ยงดูพวกเขาไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ ? ”
“…เจ้ายกให้ข้าเลี้ยงดูก็ได้นี่ ดีหรือไม่ ? ”
“เลี้ยงบ้าบออันใดเล่า อย่าได้คิดไปเชียว อ่า…จริงสิ ! บิดาของเจ้ากล่าวว่าเขาจะทำการฝึกฝนกองทัพทหารพิเศษจำนวน 100,000 นายขึ้นมา เดิมทีบิดาเจ้าจะให้ไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้ฝึกซ้อม แต่ข้าได้มอบหมายหน้าที่อื่นให้แก่เขาไปแล้ว บัดนี้เขายังมิกลับมา หากเจ้ากลับไปยังเมืองจินหลิงพร้อมข้า คาดว่าเรื่องนี้ต้องตกเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแน่นอน”
“100,000 คนเชียวหรือ ? นี่เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ ? ”
“ข้าจะหลอกเจ้าให้ได้อันใดขึ้นมากัน ? ”
หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถามด้วยท่าทางยินดีปรีดา “พวกเราจะเดินทางกลับเมืองจินหลิงเมื่อใด ? ”
“จะออกเดินทางวันที่สิบเเปดเดือนสิบสองนี้”
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
“อีกแค่ 4 วันเองมิใช่หรือ เจ้าจะรีบร้อนไปที่ใดนักหนา ! ”
การที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมายังภูเขาเฟิ่งหลินในครานี้มีวัตถุประสงค์อยู่ 2 ประการ ประการแรกคือจะเดินทางไปที่เขตเหยาเสียหน่อยเพื่อดูว่าอู่ต่อเรือสร้างไปถึงไหนแล้ว ประการที่สองคือต้องการเดินทางไปภูเขาซีซานเนื่องจากต้องการพบท่านอาจารย์ฉิน
แน่นอนว่าเขามิได้ต้องการให้ทหาร 30,000 นายนี้ไปสร้างถนนจริง ๆ หรอก เพียงแค่มิปรารถนาให้หยูเวิ่นเต้าเดินทางไปยังสนามรบนี้ด้วยก็เท่านั้น ฮ่องเต้ทรงคาดหวังให้โอรสผู้นี้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ หากหยูเวิ่นเต้าสิ้นชีพในสนามรบแล้วล่ะก็… เกรงว่าฮ่องเต้จะทรงหาวิธีสังหารเขาเสียจนได้ !
ดังนั้นการประชุมในวันที่สิบห้านี้ จะให้เจ้าหมอนี่เข้าร่วมมิได้เป็นอันขาดและต้องหลอกล่อเขาออกไปโดยเร็ว…
“เจ้าจะกลับไปก่อนหรือไม่ ? ”
“ไม่ ! ข้าจะไปพร้อมกันกับเจ้า”
“…”
……
……
ณ สนามฝึกทหารดาบเทวะ
เฮ้อซานเตากำลังอวดอ้างความเก่งกาจของตนต่อหน้ากวนเสี่ยวซี
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวซีซี ข้าได้เป็นอันดับที่หนึ่ง ! ส่วนคนโง่เยี่ยงเจ้าได้อันดับที่สอง”
ในตอนนี้กวนเสี่ยวซีรู้สึกแย่มากยิ่งนัก ให้ตายเถิด… ข้าเป็นถึงทหารผ่านศึก แต่กลับแพ้ให้เจ้าทหารใหม่นี่ “ไสหัวไป… ! ”
เว่ยอู๋ปิ้งยิ่งทำหน้าขมขื่นเข้าไปใหญ่ “พวกเจ้ายังได้แย่งที่หนึ่งที่สองกัน แต่ดูข้าสิ ถูกเบียดมาที่สาม เฮ้อ… ! ”
หวังเสี่ยวจ้วงผู้เป็นทหารผ่านศึก จ้องมองเฮ้อซานเตาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าทานสิ่งใดเข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? เหตุใดถึงมีพลังมากมายถึงเพียงนี้กัน ? ”
เฮ้อซานเตาเดินเข้ามาแล้วตบลงบนบ่าของหวังเสี่ยวจ้วง “ข้าได้กล่าวกับพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ข้าเป็นเศรษฐีที่ดินในหลินจื๋อ ! นับว่าเป็นประเภทเดียวกันกับติ้งอันป๋อ แล้วพวกเจ้าจะสู้ข้าได้เยี่ยงไร ? พวกเจ้ากล้าสู้กับติ้งอันป๋อเยี่ยงนั้นหรือ ? ดังนั้นทางที่ดีนับจากนี้พวกเจ้าจงไปแข่งขันกับเสี่ยวซีซีแทนจะดีกว่า !”
กวนเสี่ยวซีกัดฟันกรอด “เฮ้อซานเตา เจ้ากล่าวว่าหากเจ้าได้อันดับที่หนึ่ง เจ้าจะเลี้ยงสุราที่หมู่บ้านเสี้ยชุนมิใช่หรือ ! ”
“ย่อมได้ ! พวกเราไปกันพรุ่งนี้เลยดีหรือไม่ ? ”
เฉินป๋อเดินเข้ามาพอดิบพอดี จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า “ทุกคน…เข้าแถว ปฏิบัติ ! ”
“หัวหน้า ยังมิเสร็จอีกหรือ ? ” เฮ้อซานเตาเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์ เฉินป๋อจึงฉีกยิ้มขึ้นมา “เรื่องเลื่อนตำแหน่งเยี่ยงไรเล่า ติ้งอันป๋อเดินทางมาถึงแล้ว”
“ว่าเยี่ยงไรนะ… ? ” เฮ้อซานเตาและคนอื่น ๆ ที่ได้ยินดังนั้นต่างก็ตกตะลึงงัน “ติ้งอันป๋อเดินทางมาที่นี่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะโกหกพวกเจ้าเพื่ออันใดกันเล่า ในวันพรุ่งนี้ติ้งอันป๋อจะเรียกประชุมทหารทุกนายที่มียศตั้งแต่หัวหน้ากองพันขึ้นไปที่กองบัญชาการ”
“…” เมื่อเฮ้อซานเตาได้ยินดังนั้นก็ตั้งท่าจะวิ่งออกไปทันที แต่ทว่ากลับถูกเฉินป๋อหยุดเอาไว้เสียก่อน “ซานเตา เจ้าหยุดประเดี๋ยวนี้ ! ตำแหน่งผู้บังคับการกองพลน้อยที่สามของเจ้าจะเอาหรือไม่ ? ”
เฮ้อซานเตาหันกลับมาดังเดิม “เอาสิ ! ท่านหัวหน้าเหลือไว้ให้ข้าด้วย ข้าจะไปหาติ้งอันป๋อแล้วจะกลับมาใหม่ ! ”
เฉินป๋อเบ้ปาก จากนั้นพอหันไปมองจึงพบว่ากวนเสี่ยวซีและเว่ยอู๋ปิ้งก็จากไปแล้วเช่นกัน
เขาส่ายศีรษะไปมา จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง พวกเขาทั้งสามคนนี้ช่างเป็นต้นกล้าที่แข็งแกร่งเสียจริง เเละล้วนเป็นผู้ที่ติ้งอันป๋อเก็บมาจากสนามรบทั้งสิ้น ให้พวกเขาไปพบก็คงจะดีมิน้อย
“พวกเจ้ามองอันใดกัน ? เข้าแถว ปฏิบัติ… ! ”
เฉินป๋อเรียกรวมตัวทหารทั้งสามหมื่นนาย จากนั้นก็ประกาศรายชื่อหนึ่งร้อยอันดับแรกในการทดสอบครานี้ อีกทั้งยังแจ้งถึงตำแหน่งที่มีการปรับปรุงใหม่ เช่นนี้แล้วโครงสร้างของทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งก็นับว่าเสร็จสมบูรณ์
และบัดนี้เฮ้อซานเตาก็ได้วิ่งเข้ามาในกระโจมของผู้บัญชาการเป็นคนแรก