ตอนที่ 782 ฟู่ต้ากวนบ้าคลั่ง
หอเทียนจีแห่งราชวงศ์อู๋ ได้คอยติดตามสถานการณ์ของสงครามนี้อย่างใกล้ชิด
ฝูงมดที่อยู่ในแคว้นฮวงทั้งหมดกระจายตัวทำงาน พวกเขาส่งรายงานลับถึงฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งฉบับ ในขณะเดียวกันก็ส่งรายงานไปยังเมืองกวนหยุนด้วย
ทว่ารายงานที่ส่งไปยังเมืองกวนหยุนจะล่าช้ากว่าสองถึงสามวัน ดังนั้นจึงทำให้ฟู่ต้ากวนจิตใจมิสงบนิ่งสักเท่าใดนัก
ณ กวนหยุนถาย
ฟู่ต้ากวนได้นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นสนเก่าแก่ต้นหนึ่ง ในมือมีรายงานลับอยู่หนึ่งฉบับ
คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเพราะความกังวล
“ด่านภูเขาเยี่ยนแตก เมืองซินโจวย่อมมิรอด… เกิดอันใดขึ้นกับทหารกองทัพชายแดนเหนือเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าเผิงเฉิงอู่ทำสงครามเยี่ยงไร ถึงได้ทำให้ด่านภูเขาเยี่ยนแตกพ่าย ? ”
ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาคือโจวถงถง ซึ่งมิได้ตอบคำถามเมื่อครู่ของฟู่ต้ากวน แต่กลับเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ทูลฝ่าบาท…ครอบครัวของฝ่าบาทได้เดินทางมาถึงโม่โจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม…จัดการหาที่พักให้พวกนางเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“เรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่ต้ากวนวางรายงานในมือลง ดวงตาเรียวเล็กหันไปมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ว่าฮ่องเต้ตั้งใจทำเยี่ยงนี้ ? เขายอมสละด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจว… เพื่อให้เผิงเฉิงอู่พากองทัพโยกย้ายออกจากเมืองซินโจว เข้าต้องการให้เผิงเฉิงอู่โจมตีเสี่ยวกวนบุตรชายข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
โจวถงถงเบิกตากว้างราวกับไข่ห่าน “อ่า…ทูลฝ่าบาท มิน่าเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ การที่ด่านภูเขาเยี่ยนแตกและเสียเมืองซินโจวไปส่งผลให้ทางทิศใต้ไร้ด่านป้องกัน จากนิสัยอันโหดร้ายของชาวฮวงจะมิเป็นการทำลายราชวงศ์หยูไปกว่าครึ่งหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“อีกประการหนึ่ง องค์ชายทรงเป็นราชบุตรเขยของเขา แล้วเหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า ? ”
โจวถงถงยังมิทันเอ่ยจบก็มีนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งบินเข้ามา
เขารีบเข้าไปหยิบกระดาษที่มัดเอาไว้ตรงขานกมาเปิดอ่าน ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันซีดเผือด
“เป็นอันใดไป ? ” ฟู่ต้ากวนอกสั่นขวัญหาย ส่วนโจวถงถงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นก็ยื่นกระดาษไปด้านหน้า “ทูลฝ่าบาท…พระองค์ทรงคาดเดาได้มิผิดเพี้ยนเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่ต้ากวนรีบรับสารมาอ่าน เนื้อหาด้านในมีใจความว่า ‘เผิงเฉิงอู่นำทัพจำนวนมากกว่า 200,000 นายข้ามเป่ยเฟิงภูเขาผิงหลิงเพื่อติดตามองค์ชายไป ! ’
“เจ้าหยูไป๋ไป๋1 ! บัดซบสิ้นดี ! ” ฟู่ต้ากวนมีโทสะขึ้นมาทันที ร่างนั้นเต็มไปด้วยพลังจนทำให้อาภรณ์สีเขียวที่สวมใส่อยู่พองราวกับลูกบอลลูน
“จัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ ! รีบมาพบข้าที่กวนหยุนถายประเดี๋ยวนี้ ! ”
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง และน้ำเสียงนี้บ่งบอกถึงพลังระดับปรมาจารย์อย่างแท้จริง ซึ่งมันดังก้องไปทั่วพระราชวังอันกว้างขวาง
ขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นในพระราชวัง ต่างพากันหน้าซีดเผือดเพราะตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ !
จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ตื่นตกใจเสียจนถ้วยน้ำชาหล่นลงพื้น พวกเขารีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม จนมาถึงกวนหยุนถายในที่สุด
ต่อให้นางสนมทั้งหลายของพระองค์สิ้นชีวีลง เกรงว่าสำหรับฝ่าบาทคงจะเห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเรื่องที่ทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธได้ถึงเพียงนี้ย่อมเป็นเรื่องขององค์ชายอย่างแน่นอน !
หรือว่าจะเกิดเรื่องกับองค์ชายในสนามรบของชาวฮวง ?
ฟู่ต้ากวนยืนขึ้นอย่างสง่างาม ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะ เขามิได้ชายตามองอัครมหาเสนาบดีทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็ออกคำสั่งมาโดยตรงว่า
“จงรีบโยกย้ายทหารจากเขตป้องกันทิศเหนือทั้งสองแสนนายออกจากภูเขาฉีซาน จากนั้นให้บุกโจมตีราชวงศ์หยู ! ”
“ให้รีบโยกย้ายทหารจากเขตป้องกันตะวันตกเฉียงใต้จำนวน 300,000 นายออกจากภูเขาฉีซานด้วยเช่นกัน จากนั้นให้บุกโจมตีเข้าไปในราชวงศ์หยู ! ”
“ไปโยกย้ายทหารจากเขตป้องกันตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 300,000 นายเข้าไปในราชวงศ์อี๋แล้วมุ่งหน้าไปยังแคว้นฮวง ! ”
“จงรีบโยกย้ายองครักษ์ชุดแดงจำนวน 50,000 นาย… ให้ใช้เส้นทางผ่านแคว้นฝานเพื่อเดินหน้าเข้าไปในแคว้นฮวง เพื่อมุ่งไปหาเสี่ยวกวนบุตรชายของข้า ! ”
“สมาชิกของหอเทียนจีทุกคนจงเข้าร่วมกับหน่วยสอดแนมและมอบหมายให้โจวถงถงนำทุกคนเข้าไปในราชวงศ์หยูเพื่อรับตัวสะใภ้และหลานของข้ากลับมา ! ”
“ส่วนทหารจากเขตป้องกันทิศเหนือและตะวันตกเฉียงใต้จำนวน 600,000 นายจงเข้าโจมตีเมืองจินหลิง ! ข้าต้องการจับเป็นเจ้าหยูไป๋ไป๋ จงนำตัวของมันมาถลกหนังเสียให้สิ้น ! ”
……
……
ในวันนี้ฟู่ต้ากวนมิได้ต่างไปจากผู้บ้าคลั่ง
ราชวงศ์อู๋อันกว้างใหญ่ เริ่มมีการเคลื่อนไหวตามพระบัญชา !
ผู้มีอำนาจสูงสุดในใต้หล้านี้กำลังแยกเขี้ยวออกมาแล้ว ทุกคนจึงได้ประจักษ์ว่าชายอ้วนที่ปกติดูไร้พิษสง เมื่อโมโหขึ้นมาน่ากลัวเพียงใด !
……
……
ณ เป่ยเฟิง ภูเขาผิงหลิง
บัดนี้มีสองบุคคลกำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่
คนหนึ่งคือปรมาจารย์สำนักเต๋า อีกคนหนึ่งคือหญิงวัยกลางคนและเป็นคนเดียวกันกับที่นั่งอ่านหนังสือในกระท่อมเมื่อวันนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนและเป่ยหวังฉวนหายลับไปจากสายตาของทั้งสองแล้ว ทว่าพวกเขายังเฝ้ามองไปยังทุ่งหิมะขาวโพลนนั้นโดยมิละสายตา
“ในที่สุดหยูไป๋ไป๋ก็ลงมือจัดการเขาแล้วจริง ๆ ”
“หรือจะให้ข้า…ไปสังหารเขาเสีย ? ” ซูฉางเซิงเอ่ยถาม
สตรีนางนั้นยิ้มออกมา “เยี่ยงไรเขาก็เป็นพ่อตาของเสี่ยวกวน จงรอดูก่อนเถิด ว่าเสี่ยวกวนจะจัดการเยี่ยงไร”
ซูฉางเซิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้ามิต้องการพบเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“รอดูไปก่อนดีกว่า”
“ดูอันใดเล่า ? ”
“จิตใจของมนุษย์ล้วนมีปิศาจแฝงอยู่ ทว่าบางคนก็สามารถกักขังปิศาจในใจเอาไว้ได้โดยมิถูกครอบงำ ส่วนบางคนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะต่อต้านปิศาจนี้ก็จริง แต่สุดท้ายก็ยอมถูกมันครอบงำเข้าจนได้…”
“ข้ามิรู้หรอกว่าต่อจากนี้จะเป็นเยี่ยงไร เพราะข้ารู้เพียงแค่ว่าอำนาจนั้นจะทำให้ผู้คนขาดสติ”
“คนเยี่ยงฟู่ต้ากวนนั้นมีมิมาก เมื่อเสี่ยวกวนได้กุมอำนาจราชวงศ์อู๋ไว้อย่างแท้จริงแล้ว เขาย่อมมีคุณสมบัติมากพอในการปลดปล่อยปิศาจในใจออกมา ทว่ามันจะทำให้ทั่วหล้าเดือดร้อนเยี่ยงไรก็ยังมิอาจรับรู้ได้ ดังนั้นรอดูไปก่อนเถิด”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด”
ซูฉางเซิงชะงัก จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ไปดูเขาสักหน่อย จะให้เขาตายอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร…หากเขาตายไป ปิศาจร้ายในใจของฟู่ต้ากวนต้องถูกปลดปล่อยออกมาเป็นแน่ ! ”
สตรีนางนี้คือสวี่หยุนชิง !
นางสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ จากนั้นก็กระโดดลงมาพร้อมซูฉางเซิงแล้วทั้งสองก็พากันลอยตัวจากไป
นางมิรู้ว่าแท้จริงแล้วชายอ้วนได้รับรายงานเพียงเรื่องเดียวนี้ เขาก็ได้ปลดปล่อยปิศาจในใจออกมาแล้ว !
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด เดือนสาม วันที่ห้า สุริยากำลังจะตกดิน บนทุ่งหิมะนั้นยังคงมีควันลอยฟุ้ง
ฟู่เสี่ยวกวนและเป่ยหวังฉวนกำลังตามติดทหารกองทัพชายแดนเหนือไป
“อย่ายิงจนตายล่ะ จงจับเป็นกลับมาเพราะข้าอยากจะเห็นหน้ามันจริง ๆ ”
เป่ยหวังฉวนพยักหน้ารับ เขาสะพายธนูสุริยะพินาศมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ทหารกองทัพชายเหนือเดินทางไปอย่างเงียบเชียบ
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่เริ่มมืดสนิท มีดวงดาราปรากฏขึ้นมาหลายดวงเลยทีเดียว
สงครามก่อนหน้านี้นับว่าประสบความสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ราชวงศ์อู๋ได้ครอบครองหกอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นอี๋
และบัดนี้สงครามได้ดำเนินมาถึงจุดสำคัญแล้ว หลังจากสงครามครานี้จบลง แคว้นฮวง…ต่อให้ยังดำรงอยู่ก็คงเหลือแค่กองกำลังที่ไร้ซึ่งความสามารถ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังคือท่าทีของฮ่องเต้ และนี่คือสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปในสงครามนี้
ถ้าหากทหารกองทัพชายแดนเหนือรวบรวมกำลังสกัดกั้นกองทัพดาบสวรรค์ทั้งสี่แสนนายเอาไว้ที่ด่านภูเขาเยี่ยน จากความสามารถของทหารดาบเทวะทั้งหนึ่งแสนสามหมื่นนายของตนย่อมสามารถเข้าโจมตีฮวงถิงได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็จัดการกับกองทัพดาบสวรรค์ทั้งสี่แสนนายให้สิ้นซาก ณ ด่านภูเขาเยี่ยน เช่นนี้แคว้นฮวงก็จะกลายเป็นของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง
ทว่าฮ่องเต้กลับเลือกอีกทางหนึ่ง !
บัดนี้กองทัพดาบสวรรค์จำนวนสองแสนกว่านายได้ถอยทัพกลับไปแล้ว หากมิรีบเข้าไปหว่านล้อมเผิงเฉิงอู่ก็เกรงว่าสงครามนี้จะได้สู้กันอย่างน่าสลดใจ เป้าหมายในการโจมตีอาจจะเปลี่ยนจากการเข้ายึดครองแคว้นฮวง กลายมาเป็นการตัดกำลังแคว้นฮวงเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ สงครามครานี้ก็จะมิบรรลุเป้าหมายและเท่ากับว่าพ่ายแพ้ !
ความพ่ายแพ้นี้จะต้องมีผู้รับผิดชอบ
ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตาลง สายตาของเขาจ้องมองไปยังนกอินทรีที่บินผ่านมาตัวหนึ่ง… ท่านแม่ยาย ท่านเป็นคนดี แต่เกรงว่าข้าต้องจัดการกับสามีของท่านเสียแล้ว !
ท้องฟ้ายามราตรีเต็มไปด้วยดวงดาราสว่างไสว
ในสถานที่ที่ไกลออกไป ซูฉางเซิงและสวี่หยุนชิงได้ยืนอย่างนิ่งสงบและมองดูอยู่ห่าง ๆ
จวบจนฟู่เสี่ยวกวนถูกความมืดมิดปกคลุมจนหายไป
1หยูไป๋ไป๋ คือ ฉายาของฮ่องเต้หยู