ตอนที่ 791 เล่าเรื่องราวของเขา
ในการต่อสู้ที่ดูเหมือนว่าท่าป๋าเฟิงจะได้รับชัยชนะ พลันจบลงอย่างเรียบง่าย
เพราะบัดนี้เขากลายเป็นนักโทษเสียแล้ว !
เขาถูกสตรีนางหนึ่งใช้กระบี่หยุดเขาเอาไว้
ตัวเขานี้คือยอดฝีมือขั้นหนึ่ง !
แต่นางกลับสามารถเข้ามาประชิดตัว อีกทั้งยังถือกระบี่จ่อที่ลำคอของเขาอย่างรวดเร็วโดยที่เขามิทันได้ตั้งตัว !
ดังนั้น…นางย่อมเป็นปรมาจารย์ !
ตอนนี้วรยุทธของเขาถูกนางสกัดเอาไว้จนสิ้น และเขายังโดนมัดด้วยฝีมือของทหารดาบเทวะที่มีวรยุทธ์เหล่านี้
เขาจะทำอันใดได้อีกเล่า ?
ผู้คนที่ล้อมรอบพระราชวังป๋ายจินฮ่านเอาไว้ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนกำแพงสูง และดูเหมือนว่าจะมิสามารถยอมรับได้ที่จักรพรรดิของตนตกไปอยู่ในมือของศัตรู
สถานการณ์ตอนนี้คือ…
สตรีนางนี้มิได้ชายตามามองเขาเลยด้วยซ้ำ
นางกำลังตั้งใจพันบาดแผลให้ซูม่ออยู่ ส่วนซูม่อได้จ้องมองไปที่ใบหน้าของนางด้วยความงุนงง แม้นางจะคลุมใบหน้าเอาไว้…
“…เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้าท่านมากยิ่งนัก ? ”
“อ่า… อาจจะมีคนหน้าตาเหมือนข้าก็เป็นได้”
ซูม่อตกตะลึงงันขึ้นมาทันพลัน “ท่าน ท่านคือ ท่านคือมารดาของฟู่เสี่ยวกวนใช่หรือไม่ ? ”
สวี่หยุนชิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าข้ากับเขาจะมีหน้าตาที่คล้ายกันมากยิ่งนัก”
“มิใช่…เขาเคยบอกว่ามารดาเสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้วนี่”
“อืม…เขามิได้โกหกเจ้าหรอก เพราะข้าทำให้เขาเชื่อแบบนั้นเอง”
อยู่ ๆ ท่าป๋าเฟิงก็รู้สึกเอ่ยอันใดมิออก แทนที่ข้าจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฟู่เสี่ยวกวน กลับต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือมารดาของเขา… นี่คือชะตากรรมอันใดกัน ?
เหตุใดทั้งมารดาและบุตรถึงได้กล้าหาญเยี่ยงนี้ ?
ส่วนบิดาของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นผู้กล้าหาญเช่นเดียวกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่สิ้นลมไปเสียก่อน
“ท่านป้า เขาอยู่ในการคุ้มครองของทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง หากเขารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน”
หลังจากที่สวี่หยุนชิงพันบาดแผลให้ซูม่อเสร็จแล้ว ก็ได้ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา จากนั้นก็เอ่ยว่า “บางทีเขาอาจจะตกใจมากกว่า แน่นอนว่าคงมิยินดีหรอก”
ซูม่อตกตะลึงงัน และมิเข้าใจความหมายของนางเอาเสียเลย
“เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไรหรือ ? ” อยู่ ๆ สวี่หยุนชิงก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าคิดว่าเขามิใช่คนธรรมดา ! ”
“ไอหยา…เช่นนี้เจ้าช่วยเล่าเรื่องราวของเขาให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“ได้ขอรับ ! ”
ซูม่อเริ่มเล่าเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนอย่างละเอียด นับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน ณ ภูเขาซีซานแห่งหลินเจียง
ซูม่อเอ่ยว่า… ฟู่เสี่ยวกวนลงพื้นที่เพาะปลูกต้นกล้าและได้คิดค้นเมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่อีต้ายขึ้นมา เขาช่วยหวางเอ้อดูแลเมล็ดข้าวในภูเขาซีซานท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ
ฟู่เสี่ยวกวนห่วงใยราษฎรที่ซีซานมากยิ่งนัก อีกทั้งยังลงมือทำสิ่งต่าง ๆ มากมายเพื่อชาวบ้านและเพื่อราชวงศ์หยู
ฟังจากที่ซูม่อเอ่ยมา นี่คือรุ่งอรุณของผืนปฐพี
สวี่หยุนชิงและซูฉางเซิงนิ่งฟังอย่างเงียบเชียบ แม้แต่ท่าป๋าเฟิงก็ฟังด้วยความสนใจ
ซูม่อเล่าเรื่องราวทุกอย่างของฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่เริ่มรู้จักจนถึงบัดนี้ ส่วนสวี่หยุนชิงตั้งใจฟังเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนโดยมิตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว
ซูฉางเซิงมองไปทางสวี่หยุนชิง จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “รู้สึกเยี่ยงไรบ้าง ? เขามิได้เป็นเยี่ยงที่เจ้ากังวลใช่หรือไม่ ? ”
ใบหน้าของสวี่หยุนชิงพลันสดใสขึ้นมา “ดูเหมือนว่าตอนนี้มิมีอันใดแล้ว ข้าเป็นผู้แพ้ในเดิมพันนั้นก็ได้ ทว่าเยี่ยงไรเสียก็ต้องรอดูอีกสัก 5 ปี”
“ข้าหวังว่าเขาจะสบายดี หวังว่าเขาจะเขียนบทความใหม่ให้กับใต้หล้านี้ และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้คนในผืนปฐพีให้มีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม”
“แต่ข้าก็คิดว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ครอบครองอำนาจแล้ว เขาพิเศษกว่าผู้ใดก็จริง แต่ข้าก็หวังว่าเขาจะเป็นเยี่ยงคนธรรมดา มิปล่อยให้อำนาจครอบงำจนทำให้ดวงตามืดบอด”
ซูม่อมิเข้าใจ ท่าป๋าเฟิงก็มิเข้าใจเช่นกัน
มีเพียงซูฉางเซิงเท่านั้นที่เข้าใจในความหมายของสวี่หยุนชิง
เขาลูบเครายาว จากนั้นก็จ้องมองไปยังสุริยาที่เพิ่งโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้า
สวี่หยุนชิงเองก็พิเศษเช่นกัน นางรู้เห็นทุกเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกระทำ แต่ก็ยังนั่งฟังเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนจากปากของซูม่อตลอดทั้งคืน
นี่คือความรักที่มารดามีต่อบุตร
นางอยากฟังความคิดที่ผู้อื่นเอ่ยถึงบุตรชายของตน มิใช่เพื่อพิสูจน์สิ่งที่นางคิด เพียงแค่ต้องการรับรู้เอาไว้ก็เท่านั้น
นางภูมิใจในตัวฟู่เสี่ยวกวน
ทว่าปากของนางมิยอมรับก็เท่านั้นเอง
นี่คือการเดิมพันระหว่างสตรีปากแข็งและบุรุษผู้ดื้อรั้น
น่าเสียดายที่บุรุษผู้ดื้อรั้นได้เสียชีวิต ณ ภูเขาหิมะไปแล้ว จึงมิสามารถเห็นด้วยตาของตนเอง
เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ปัจจุบัน บุรุษผู้ดื้อรั้นเป็นผู้ชนะ และฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่บุรุษผู้นั้นคาดการณ์เอาไว้ด้วย
บุรุษผู้ดื้อรั้นคาดการณ์เอาไว้ว่า ภายใต้การปกครองของฟู่เสี่ยวกวน ราชวงศ์อู๋จะถูกพัฒนาจนกลายเป็นโลกใบใหม่
และมีความเป็นไปได้สูงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะปกครองทั้งใต้หล้านี้ โดยเข้ายึดแต่ละแคว้น แล้วทำให้ผืนปฐพีเหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา
ดังนั้นสวี่หยุนชิงพ่ายแพ้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
จะว่าไปแล้วนางยินดีพ่ายแพ้เสียมากกว่า
“เซียวเหอหยวนกำลังมีสงคราม พวกเราควรไปดูสักหน่อยหรือไม่ ? ”
สวี่หยุนชิงเงี่ยหูฟังท่ามกลางแสงสุริยายามเช้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่า…พวกเราควรไปเมืองเปียนเฉิง”
……
……
นางมิได้ไปเยือนเซียวเหอหยวน
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ภายในใจของนางที่อยากพบฟู่เสี่ยวกวนสักคราถึงได้บังเกิดความขลาดมากยิ่งนัก
นางกลัวว่าจะเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับที่นางเคยเอ่ยต่อซูม่อว่า ‘เขาอาจจะตกใจและแน่นอนว่าคงมิยินดี’
เนื่องจากนางมิได้ทำหน้าที่ของมารดาเลย
เมื่อยามที่ฟูเสี่ยวกวนอายุได้ 6 ปี นางก็ได้ทิ้งเขาไปแล้ว ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนอายุครบ 16 ปี…ในช่วงความเป็นความตายของชีวิตเขา นางก็มิได้กลับไปเยือนตระกูลฟู่แห่งหลิงเจียงเพื่อดูเขาสักครา
ในความทรงจำของบุตรชายคงเห็นมารดาเป็นคนแปลกหน้า หากได้พบกันอีกคราก็อาจจะมีเพียงความเย็นชาให้แก่กัน
หลังจากที่ไปพบเขาแล้ว ท่าทีที่เขามีต่อนาง…เกรงว่าจะเฉยชามากยิ่งนัก
การล่วงรู้อดีตนั้นมิดีเอาเสียเลย
นางรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นบุตรชายจริง ๆ กำลังจะตาย และนางก็รู้ว่าอาจจะมีดวงวิญญาณเร่ร่อนดวงหนึ่งเข้ามาอยู่ในร่างของบุตรชายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
นามของเขายังคงเป็นฟู่เสี่ยวกวน ทว่าเขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนางไปเสียแล้ว !
หลังจากสนทนากับบิดาตลอดทั้งคืนนั้น นางถึงได้รู้สึกว่าบิดาเอ่ยถูก ดังนั้นนางจึงทิ้งจดหมายหนึ่งฉบับไว้ให้ฟู่เสี่ยวกวน แล้วซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อเฝ้ามองเขาอย่างเงียบ ๆ
จากนั้นซูม่อจากสำนักเต๋าก็ได้เดินทางออกจากภูเขาแล้วได้พบกับไป๋ยู่เหลียนโดยบังเอิญ จึงพลอยได้ติดตามข้างกายฟู่เสี่ยวกวน
ต่อจากนั้นซูเจวี๋ยศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนัก ก็ได้ลงจากเขาแล้วมาติดตามอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนเพื่อคอยคุ้มกันให้กับเขา
ท้ายที่สุดนางก็มิต้องการให้บุตรชายต้องมาตกตายอีกครา
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เติบใหญ่แล้ว และกำลังวิ่งไปบนถนนที่นางมิได้คาดการณ์เอาไว้เลย
ท้ายที่สุดแล้วเขาจะวิ่งไปยังเส้นทางใดเยี่ยงนั้นหรือ ?
สวี่หยุนชิงก็มิรู้คำตอบเช่นกัน เนื่องจากในชีวิตของชาติที่แล้วนางได้รู้ได้เห็นมาเพียงเท่านี้
ดังนั้นบันทึกหนานเคอจึงมิใช่ทั้งหมด ทว่าเป็นเพียงสามในสิบของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
“ข้าส่งจดหมายให้ศิษย์น้องแล้วหนึ่งฉบับโดยแจ้งว่าฟู่เสี่ยวกวนสบายดี แต่เขาก็ยังส่งทหารออกไป ข้ารู้นิสัยของศิษย์น้องดี เกรงว่าครานี้เขาคงจะโกรธมากยิ่งนัก”
“ต้าหลางเลี้ยงดูเสี่ยวกวนจนเติบใหญ่ แท้ที่จริงเขารักเสี่ยวกวนมากกว่าข้าหรือฉางเฟิงเสียอีก ครานี้สิ่งที่หยูไป๋ไป๋กระทำมิถูกต้องเอาเสียเลย หากมิใช่เพราะเห็นแก่ซั่งรั่วซุ่ยแล้วล่ะก็…”
สวี่หยุนชิงมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ทว่าซูฉางเซิงกลับรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในทันใด
ในฐานะมารดาย่อมเป็นห่วงบุตรของตนอยู่แล้ว
พวกเขาจึงรีบออกเดินทาง แต่สวี่หยุนชิงมิได้เลือกตรงไปทางทิศใต้แต่กลับมุ่งหน้าไปทาง…
ทิศที่ตั้งของเซียวเหอหยวน
นางตัดสินใจแล้วว่าจะไปดูเขาสักครา