ตอนที่ 793 สงครามเซียวเหอหยวน ( จบ )
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สายลมพัดกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เฮ้อซานเตารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันพลัน
เขารู้สึกว่าโลหิตในกายเดือดพล่านไปทั้งร่าง ! กล้ามเนื้อทุกส่วนกระตุกถี่
มือของเขาจับด้ามดาบที่เหน็บไว้ตรงเอว คลายมือออก จากนั้นก็กลับไปจับ จับแล้วค่อย ๆ คลายมือออกวนไปเยี่ยงนั้น
สายตาของเขาจับจ้องไปยังศัตรูฝั่งตรงข้ามที่ดำทะมึนเสียจนมองมิเห็นว่าไปสิ้นสุดตรงที่ใด
เงาดาบและปืนส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางแสงสุริยาที่สาดส่องลงมา พวกมันบุกเข้ามาโดยใช้แพและมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด เมื่อถึงฝั่งก็เหยียบทุ่งหิมะที่พื้นจนบังเกิดเสียงฟ้าร้องคำรามดังกัมปนาท
พวกมันเดินเหยียบย่ำซากศพที่มีเสื้อคลุมหลงเหลืออยู่ จากนั้นก็หมอบลงท่ามกลางลูกกระสุนที่ยิงสวนไป
ทว่าพวกมันมีจำนวนมากจนเกินไป ในที่สุดก็เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ จนเฮ้อซานเตาเห็นใบหน้าแสนป่าเถื่อนได้อย่างชัดเจน
“กองพลน้อยที่สาม…สังหารพวกมันเสียให้สิ้น… ! ”
ร่างกายของเฮ้อซานเตาผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว เสียงปืนดังขึ้น ‘ปัง ปัง’ เนื่องจากเขายิงศัตรูที่เข้ามาใกล้ 2 นาย จากนั้นก็เอาลูกระเบิดออกมา ถอดสลักแล้วโยนไปด้านหลังของกองทัพศัตรู เสร็จแล้วจึงดึงดาบคู่กายออกมาบุกเข้าหาศัตรูอย่างเร็ว
เมื่อลงดาบออกไป แน่นอนว่าดาบและใบหน้าของเขาย่อมถูกย้อมไปด้วยโลหิตของศัตรู
มีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์ของเหล่าทหารวุ่นวายขึ้น เมื่อมองจากท้องนภาลงมาก็มิต่างจากผ้าสีดำผืนใหญ่ที่มีรูตรงกลางหลายรู
รูเหล่านั้นดูเล็กเมื่อเทียบกับผ้าสีดำผืนใหญ่ ศัตรูที่อยู่ด้านหลังหยุดชะงักงัน มินานก็รีบวิ่งโร่เข้ามาเติมเต็มรูที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งชักดาบออกมาแล้วบุกโจมตีเข้าไปราวกับคลื่นยักษ์ซัดชายฝั่ง
ในมิช้าการโจมตีก็เข้าสู่การรบแบบประชิดตัว ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งเข้าเผชิญหน้ากับความดุร้ายของทหารชาวฮวงโดยมิรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเข้าจู่โจมโดยการล้อมเป็นวงกลม จากนั้นก็เคลื่อนเข้าไปบดศัตรูราวกับโม่หิน
ก่อกลุ่มเป็นจำนวนกลุ่มละ 8 นาย พลิกดาบในมือจากนั้นก็บินหมุนวนไปรอบ ๆ และด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงสังหารกองกำลังของศัตรูไปทีละกอง
เมื่อมีทหารฝ่ายศัตรูล้มลงพวกมันก็จะส่งกำลังเสริมเข้ามาอีก เมื่อฐานโม่หินเหลือจำนวน 4 นาย พวกเขาก็จะถอยกลับโดยทันที จากนั้นแต่ละนายก็จะมองหาเป้าหมายและเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นที่มิครบ 8 นายเพื่อการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบ
เฉินป๋อที่ยืนอยู่ ณ ที่สูง มองดูสถานการณ์ในขณะนี้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น…ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ฝ่ายตนยังมิสามารถขับเคลื่อนเข้าไปด้านหน้าได้ อีกทั้งยังถูกศัตรูบีบคั้นให้ถอยหลังกลับมาอีก !
เขาสูดหายใจเข้าลึก นี่คือบททดสอบที่ยากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งขึ้นมา
ดูเหมือนทหารชาวฮวงจะรับรู้ว่ากองทัพนี้สามารถทำลายได้ง่ายกว่าทหารดาบเทวะกองทัพที่สอง ดังนั้นทหารชาวฮวงราว 200,000 นายที่ข้ามแม่น้ำมาแล้ว จึงแบ่งกำลังออกครึ่งหนึ่งแล้วบุกตรงเข้ามายังตำแหน่งของทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง
สถานการณ์นี้ทำให้เฉินป๋อรู้สึกหดหู่มากยิ่งนัก ข้ามิยอมให้พวกเจ้ารังแกข้าอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
“คำสั่ง ทหารทุกนายจงเคลื่อนตัวเข้าใกล้กองพลน้อยที่สาม แล้วใช้กองพลน้อยที่สามเป็นด่านหน้าเพื่อสังหารศัตรูให้สิ้นซาก ! ”
ทันทีที่มีการออกคำสั่ง ผู้รายงานจะต้องแจ้งคำสั่งไปยังผู้บังคับการกองพลน้อยทั้งหก เฮ้อซานเตาถึงกับหัวเราะร่าออกมา
“สหายทุกท่าน บัดนี้กองพลน้อยที่สามเป็นลูกศรด่านหน้า จงบุกเข้าไปสังหารพวกมันเสียให้สิ้น ! ”
ดาบของเฮ้อซานเตาหาที่เปรียบมิได้ เหมาะสำหรับเป็นด่านหน้าในการโจมตีอย่างแท้จริง
ดาบทั้งสองในมือของเขาได้แสดงความทะเยอทะยานออกมา ทุกจุดที่เขาผ่านไป มิมีศัตรูคนใดรอดชีวิตได้แม้แต่คนเดียว !
ทหารชาวฮวงชอบถือตนว่าโหดเหี้ยม ทว่าบัดนี้พวกมันเริ่มสงสัยในตนเองแล้ว เพราะต่อหน้าผู้ที่อาบโลหิตไปทั้งร่างนั้น ดูเหมือนว่าพวกตนจะมิได้ต่างอันใดกับแกะน้อยเชื่อง ๆ เลยสักนิด
เฮ้อซานเตามิได้เป็นเหมือนแต่ก่อน พลังที่ครอบงำในร่างกายถูกฉีดเข้าไปในอกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขามิเหนื่อยและทำให้เขาเหมือนเทพเจ้าแห่งความกล้าหาญ
ทว่านี่เป็นสงคราม ดังนั้นความสำเร็จจึงอยู่นอกเหนืออดีตและปัจจุบัน ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้มิสามารถกำหนดโดยคนผู้เดียวได้
หลังจากที่สหายส่วนที่เหลือได้รับคำสั่ง ก็รีบตรงเข้ามายังกองพลน้อยที่สามทันที หลังจากผ่านไป 1 ชั่วยาม กองพลน้อยทั้งหกของกองทัพที่หนึ่งก็ได้รวมตัวกันสำเร็จ
สนามรบนี้กลายเป็นรูปกางปลาแนวตั้ง กองพลน้อยที่สามคือด่านหน้า ในขณะนี้พวกเขาบุกล้ำเข้าไปในผืนผ้าสีดำกว้างสุดลูกหูลูกตาของกองทัพศัตรู
“เฮ้อซานเตาระวังหน่อย เจ้าช่วยสนใจผู้อื่นด้วย เจ้ามีจิตใจฟั่นเฟือนไปแล้วหรือเยี่ยงไร อย่าปล่อยให้เขาตาย ! ” กวนเสี่ยวซีพ่นโลหิตออกมา จากนั้นก็เอ่ยกับผู้บังคับการกลุ่มอื่น แล้วบุกเข้าไปพร้อมกับดาบในมือ
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสังเกตและให้ความสนใจกับสถานการณ์สงครามในขณะนี้ เขาเฝ้าดูอยู่เป็นเวลานานแล้วเอ่ยกับเป่ยหวังฉวนว่า “ท่านลองยิงใส่ท่าป๋าหยูจากอีกฝั่งของแม่น้ำดูสิ”
กองทัพทั้งสองอยู่ห่างกันหลายพันจ้าง เป่ยหวังฉวนถือคันธนูและลูกศรขึ้นมา จากนั้นก็เล็งไปที่ท่าป๋าหยูซึ่งยืนอยู่บนรถม้าและคอยบังคับบัญชาในการรบ
ท่าป๋าหยูรู้สึกจิตใจหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างบอกมิถูก สองชั่วยามหลังการสู้รบ ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ระยะประชิด เดิมทีเขาคิดว่าด้วยพลังอันห้าวหาญของชาวฮวงจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ภายใน 4 ชั่วยาม
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ต่ำกว่าความคาดหวังไปมากโข
กองทัพชาวฮวงที่ถูกส่งออกไปทางซ้ายก่อนหน้านี้สามารถรุกล้ำเข้าใกล้ได้แล้ว แต่พวกเขากลับถูกศัตรูขัดขวางอีกครา
ด้านสถานการณ์ฝั่งขวาก็มิดีขึ้นเลย เมื่อเผชิญหน้ากับทหาร 60,000 นายของกองทัพศัตรู มิเพียงพวกมันมิล่าถอยเท่านั้น ทว่ายังเข้ามาประชิดอีก 3 จั้ง
หากขวางไว้มิได้ก็ต้องถอยทัพไปที่แม่น้ำเซียว หากต้องถอยไปมากกว่านั้นอีก…ก็มิมีทางให้ถอยแล้ว !
“ฝ่ายขวาเข้าสู่สนามรบ ! อย่ามัวแต่หลบไปทางซ้าย ! ขัดขวางศัตรูฝั่งขวาเอาไว้!”
ด้วยคำสั่งของเขา กองทหารฝ่ายขวาราว 100,000 นายจึงเข้าสู่สนามรบ
ในขณะนี้ผู้บัญชาการทั้งห้าสิบนายที่อยู่ภายใต้บัญชาก็ได้ส่งกองกำลังเข้าไปกว่า 400,000 นายแล้ว ทว่าฝ่ายตรงข้ามนั้น…มีกองกำลังทหารเพียง 90,000 นายเท่านั้น !
จำนวนเท่านี้มิทำให้ท่าป๋าหยูคลายความกังวลลงได้เลย
เพราะนั่นคือทหารดาบเทวะ !
ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งอีกรอบว่า “ให้ฝ่ายซ้ายเข้าสู่สนามรบ จากนั้นก็ทำลายทัพแรกของศัตรูโดยเร็วที่สุด ! ”
ทหารฝ่ายซ้ายราว 100,000 นายบุกเข้าโจมตี ย่อมหมายความว่าบัดนี้กองกำลังทั้งห้าแสนนายถูกส่งเข้าไปในสนามรบทั้งหมดแล้ว
ทหาร 500,000 นายเผชิญหน้ากับทหาร 90,000 นาย หากรบมิชนะล่ะก็…
ในเวลานั้น เขาก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในทันใด ด้วยสัญชาตญาณในสนามรบตลอดหลายปีมานี้ เขาจึงย่อตัวลงต่ำ ดังนั้นเมื่อมีลูกศรพุ่งเข้ามาจึงมิโดนตัวเขา แต่กลับโดนท่าป๋าชิงหลานชายที่อยู่ด้านหลังเขาแทน
ลูกศรดอกนี้ปักลงช่องว่างระหว่างคิ้วของท่าป๋าชิง !
ท่าป๋าชิงถูกแรงของลูกศรทำให้ร่างลอยขึ้นไป และตกลงบนพื้นหิมะที่อยู่ไกลจากสนามรบราว 1 จั้ง
ท่าป๋าหยูตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็รีบเข้าไปอุ้มร่างของท่าป๋าชิงเอาไว้ในอ้อมแขน “หลานข้า หลานชายข้า…”
“อ๊าก…” ท่าป๋าหยูคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฟู่เสี่ยวกวน…ข้าจะฝังร่างของเจ้าพร้อมกับหลานชายของข้า ! ”
“สังหารพวกมันให้สิ้น ข้าจะข้ามแม่น้ำไปด้วย ! ”
เขายืนขึ้นด้วยโทสะ วางร่างไร้วิญญาณของท่าป๋าชิงเอาไว้ในรถม้าศึก จากนั้นก็หยิบดาบยาวออกมาแล้วบุกเข้าโจมตีไปทางแม่น้ำเซียวพร้อมกับทหารองครักษ์ 3,000 นายที่ยังหลงเหลืออยู่
“พลาดเป้า แต่ยิงโดนอีกคนหนึ่ง ตาเฒ่านั่นเสียสติไปแล้ว แสดงว่าผู้ที่รับลูกศรคงเป็นคนสำคัญมากเสียทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“ผู้อาวุโสเฝ้ามองเขาเอาไว้ หากสังหารได้ การสู้รบจะมิยุ่งยากอีกต่อไป”
เป่ยหวังฉวนพยักหน้า จากนั้นก็หรี่ตามองหาร่างของท่าป๋าหยูท่ามกลางกองทัพศัตรู
ในขณะนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เรียกหนิงซือเหยียนเข้ามา แล้วชี้ไปที่เฮ้อซานเตาที่บุกทะลวงเข้าไปในทัพของศัตรู “จงไปช่วยเขา อย่าปล่อยให้เขาตกตายเป็นอันขาด”
สวี่หยุนชิงจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็มองไปยังสนามรบที่นองไปด้วยโลหิตอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นนางก็พบว่าชีวิตแสนเปราะบางและไร้ความหมายมากยิ่งนัก