ตอนที่ 799 เหล่าขุนนางตื่นตกใจ ( 1 )
ณ ห้องอักษรของจวนฉิน มีเพียงโคมไฟดวงเดียวส่องสว่าง
สุราหนึ่งขวด ถั่วลิสงหนึ่งจาน ฉินฮุ่ยจือรินสุราแล้วดื่มมันเข้าไป
เรือล่มเมื่อจอด เผิงเฉิงอู่ยอมพลีชีพเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียไป ส่วนฮ่องเต้มิประสงค์จะแบกเรื่องนี้ไว้อีก
หากทำผิดก็ต้องชดใช้
ประโยคนี้ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว บัดนี้ดูเหมือนว่าจะสมเหตุสมผลอยู่มิน้อย
“เจ้าบอกว่าอยากเป็นเศรษฐีที่ดินตัวเล็ก ๆ ในหลินเจียง…” ฉินฮุ่ยจือกระตุกยิ้มที่มุมปาก “เจ้าอยากเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงจริงหรือ ? ”
“ในคราแรกข้าโต้แย้งเจ้า ทว่าตอนนี้เหมือนข้าคิดผิด ดังนั้นข้าขอดื่มให้กับเจ้า”
เขาพึมพำแล้วดื่มเข้าไปจนหมดจอกในคราเดียว อยู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยิบจอกสุรามาอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็รินสุราใส่ทั้งสองจอก
“ข้าอยู่ในคุกและได้คิดทบทวนหลากหลายเรื่องราวมาเกือบครึ่งปีแล้ว ขอมิปิดบังเจ้าว่าข้าปรารถนาอยากให้เจ้าตายมากจริง ๆ แต่หลังจากที่ได้รับอิสระภาพและได้ยินข่าวคราวมากมายเกี่ยวกับเจ้า…”
“เช่นเ รื่องกรมการค้าที่สามารถวางระบบได้ดี เยาวชนเหล่านั้นสามารถจัดการบทกฎหมายได้อย่างดีเยี่ยม ยังมีเรื่องของว่อเฟิงเต้าอีก สรุปแล้วเจ้าทำเพื่อราชวงศ์หยูทั้งสิ้น”
“ข้าดื่มให้เจ้าอีกหนึ่งจอก ! ”
ฉินฮุ่ยจือดื่มสุราเข้าไปอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “น่าเสียดายที่เจ้ามิสามารถเป็นเศรษฐีที่ดินเล็ก ๆ แห่งหลินเจียงได้แล้ว เพราะสุดท้ายเจ้าก็ต้องกลับไปยังราชวงศ์อู๋และกลายเป็นจักรพรรดิ”
“เมื่อเจ้าเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ผืนปฐพีแห่งราชวงศ์อู๋ก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เรื่องนี้ข้าแน่ใจว่าจะส่งผลกระทบต่อราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน ! ”
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าทั้งชื่นชมและกลัวเจ้ามากยิ่งนัก กลัวว่าเจ้าจะนำทหารของราชวงศ์อู๋บุกมาโจมตีราชวงศ์หยู และกลัวว่าอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าลูกหลานของเจ้าจะยกทัพบุกมาโจมตีราชอาณาจักรนี้อีก”
“ราชวงศ์หยูเป็นบ้านเกิดของข้า เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงของผืนปฐพีนี้ ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะตาย”
“ทว่าเจ้ากลับมิตาย”
“เจ้าเป็นสหายที่ดีของโม่เหวิน ตอนข้าอยู่ในคุกก็ได้เจ้าคอยปกป้องโม่เหวินเอาไว้ ดังนั้นเมื่อวานนี้ข้าได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงโม่เหวินโดยบอกเล่าเรื่องราวทุกข์ใจให้เขาได้รับทราบ ข้าหวังว่าการกระทำนี้จะมิส่งผลกระทบต่อมิตรภาพระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง”
“บทกวีเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวที่เจ้าประพันธ์ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนทุกคนในราชวงศ์หยู ยามที่ข้าอยู่ในสำนักศึกษาจี้เซี่ยก็ได้เห็นบุคลิกภาพของเยาวชนเหล่านั้นเปลี่ยนไป ส่วนในราชสำนักก็ได้เห็นเยาวชนราชวงศ์หยูขยันกว่าอดีตมากเสียทีเดียว”
“พวกเขาเอ่ยว่า…นั่นคือความหวังและพวกเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าราชวงศ์หยูในวันข้างหน้าจะดีกว่าเดิม”
“นี่คือความศรัทธาที่เจ้ามอบให้พวกเขา ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ! ”
“ทั้งหมดนี้คือความในใจของข้า เมื่อได้เอ่ยมันออกมาแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเสียเหลือเกิน”
เขารินสุราอีกหนึ่งจอก ทว่าครานี้กลับมิได้ยกขึ้นดื่ม แต่กลับเดินไปที่โต๊ะอักษรแทน เขาฝนหมึกอย่างประณีตภายใต้แสงไฟสลัวจากนั้นก็เริ่มจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ
ใช้เวลาในการเขียนร่วมครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็นำแท่นหมึกมาวางทับกระดาษเอาไว้บนโต๊ะ
เขานำผ้าไหมสีขาวที่มีความยาวสามฉื่อมาถือไว้ ยืนบนเก้าอี้เพื่อมัดผ้าขาวกับขื่อหลังคา หลังจากนั้นก็ลงมานั่งเก้าอี้อีกครา
“หากทำผิดก็ต้องชดใช้…เขาเป็นพ่อตาของเจ้า เรื่องนี้ข้าเป็นคนก่อก็จะรับผิดชอบเอง ขอคารวะจอกนี้ต่อเจ้าแล้วขอลา”
เขาดื่มสุราเข้าไปทั้งสองจอกแล้วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เพื่อทำการแขวนคอด้วยผ้าไหมสีขาวพลางพึมพำออกมาว่า “มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านลุงต้องย้ายออกจากจวนหลังนี้…เพราะฮวงจุ้ยมิดีนี่เอง ! ”
เขาเตะเก้าอี้ทิ้งเสียงดัง ‘พลั่ก’
จากนั้นก็ดิ้นพล่านเนื่องจากขาดอากาศหายใจ เพียงมินานก็สิ้นลมไปทั้งอย่างนั้น
……
……
วันรุ่งขึ้น นับเป็นวันแรกของเดือนสี่ ในราชสำนักจัดการการประชุมใหญ่ตามปกติ
บรรยากาศของการประชุมใหญ่ครานี้ค่อนข้างตึงเครียด
การสูญเสียด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวได้สร้างความผิดหวังให้แก่บรรดาขุนนางทั้งหลายมากยิ่งนัก เดิมทีแล้วแม่ทัพใหญ่เผิงได้รับความไว้วางใจจากพวกเขาอย่างท่วมท้น แต่เขากลับมิคอยคุ้มกันด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวเอาไว้ แม่ทัพเผิงผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?
แน่นอนว่ามีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่ทราบข่าวคราวว่าเผิงเฉิงอู่ออกจากเมืองซินโจวไปพร้อมกับทหารชายแดนเหนือจำนวน 200,000 นาย
บรรดาผู้ที่รู้ข่าวคราวก็พากันปิดปากเงียบ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ได้แต่โยนความผิดไปไว้บนศีรษะของเผิงเฉิงอู่แต่เพียงผู้เดียว
สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากกว่าเดิมก็คือเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน ทุกคนทราบดีว่าติ้งอันป๋อได้นำทหารดาบเทวะไปยังสนามรบทางเหนือ เดิมทีคาดว่าด้วยความอาจหาญของทหารดาบเทวะและกลยุทธ์ทางทหารของฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาย่อมนำชัยชนะกลับมาได้อย่างแน่นอน
น่าแปลกยิ่งที่ฝ่าบาทมิตรัสอันใดเกี่ยวกับติ้งอันป๋อเลยสักนิด
นี่คือสัญญาณเตือนบางอย่างใช่หรือไม่
ผู้ที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงเฉิงเทียนล้วนเป็นพวกจิ้งจอกเฒ่า พวกเขามีสัญชาตญาณเตือนภัยที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นในท้องพระโรงเฉิงเทียนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ จึงมิมีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องของเผิงเฉิงอู่ขึ้นมา
บัดนี้ควรรอไปก่อน !
เมื่อน้ำลด ตอย่อมผุดออกมา !
ขุนนางทุกคนจึงปิดปากให้สนิทแล้วรอการเสด็จมาถึงของฝ่าบาท และการมาถึงของอัครมหาเสนาบดีฉิน
ทว่าอัครมหาเสนาบดีฉินมิได้มา กลับกลายเป็นเยี่ยนเป่ยซีมาปรากฏตัวแทน
เยี่ยนเป่ยซีมิได้สวมใส่เครื่องแบบทางการ เขาแต่งกายด้วยผ้าลินินสีม่วงธรรมดา
ขุนนางทุกคนทำความเคารพ มีเหตุอันใดเกิดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมาที่ท้องพระโรงเยี่ยงนี้ หรือว่า…ฝ่าบาทจะมิพอพระทัยในตัวของอัครมหาเสนาบดีฉิน จึงเรียกอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกลับมาดำรงตำแหน่งดังเดิม
ใบหน้าชราภาพของเยี่ยนเป่ยซีฉายรอยยิ้มออกมาเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาทำความเคารพขุนนางทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเรียกข้ามาเข้าเฝ้า ทุกท่านอย่าได้ระแวงไปเลย”
เขามิได้ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ทว่ากลับถอยไปยืนอยู่แถวสุดท้ายซึ่งเป็นตำแหน่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยยืนมาก่อน
จากนั้นเขาก็นำมือทั้งสองข้างล้วงแขนเสื้อเอาไว้ เปลือกตาค่อย ๆ พับปิดลง มิได้ตอบคำถามของขุนนางทั้งหลายอีก ราวกับว่าเขากำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา
ฮ่องเต้เสด็จมาถึงท้องพระโรงเฉิงเทียนแล้ว จากนั้นก็ทอดพระเนตรขุนนางทุกคนในท้องพระโรง “เหตุใดอัครมหาเสนาบดีฉินยังมามิถึงอีก ? ”
มิมีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ พระองค์จึงขมวดพระขนงอยู่ชั่วครู่ แล้วหันไปตรัสกับขันทีเหนียนที่อยู่ข้างกายว่า “ส่งคนไปที่จวนฉินประเดี๋ยวนี้”
จากนั้นก็ดำเนินไปยังบัลลังก์มังกร เพียงประโยคแรกก็ทำให้เหล่าขุนนางตื่นตกใจขึ้นมาได้แล้ว แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีเองก็ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยิน
“กองทัพชายแดนเหนือเข้าสู้รบกับกองทัพดาบสวรรค์ของแคว้นฮวงและได้สังหารข้าศึกไปราว 240,000 นายจนสิ้น ส่วนแม่ทัพใหญ่เผิง…ถูกสังหารในสนามรบ ! ”
เหล่าขุนนางสูดหายใจเข้าลึก พลางหันไปมองหน้ากันแล้วเอ่ยพึมพำว่า แม่ทัพเผิงเสียด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวไปแล้ว ดังนั้นเขาไปสู้รบกับทหารชาวฮวงที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?
มินึกเลยว่าเขาจะมาตายเยี่ยงนี้ !
นี่… นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?
ฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ตรัสขึ้นมาว่า “แม่ทัพเผิงและเหล่าทหารใต้บัญชาของเขาได้สละชีพเพื่อกำจัดภัยร้ายของราชวงศ์หยูจนราบคาบ ส่งผลให้แคว้นฮวงมิสามารถกลับมารุกรานพวกเราได้อีก”
“ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจให้เผิงเฉิงอู่ดำรงยศกั๋วกง”
บรรดาขุนนางพากันฮือฮา เรื่องนี้มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย !
เผิงเฉิงอู่ทำเพื่อบ้านเมืองก็จริง ทว่าเขาก็มีความผิดเช่นกัน !
หากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็นับว่าความผิดของเขาใหญ่หลวงกว่าบิดาเสียอีก เพราะเขาทำให้ชาวเมืองซินโจวหลายแสนคนต้องตกตาย !
ถ้ามิใช่เพราะเขาละเลยหน้าที่ การสู้รบอันน่าสลดใจเยี่ยงนี้จะบังเกิดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหล่าขุนนางเริ่มสนทนากันเสียงดังเซ็งแซ่ ทว่าฮ่องเต้ขมวดพระขนงแล้วเหลือบพระเนตรไปทางตำแหน่งที่ฉินฮุ่ยจือควรจะยืนอยู่ ทันใดนั้นพระองค์ก็จำสิ่งที่ฉินฮุ่ยจือเอ่ยออกมาเมื่อวานนี้ได้ ‘ในการประชุมใหญ่ราชวงศ์วันพรุ่งนี้ กระหม่อมจะมีคำอธิบายให้แก่ขุนนางทุกท่านและราษฎรในใต้หล้าทุกคนพ่ะย่ะค่ะ ! ’
ลางสังหรณ์มิดีเริ่มผุดขึ้นมาในหทัย
ฉินฮุ่ยจือ…ข้าหวังว่าเจ้าจะยึดถือหลักปฏิบัติอันถูกทำนองคลองธรรม !
ผลลัพธ์ของมันจะเป็นเยี่ยงที่ข้าปรารถนาหรือไม่ ?
ในเวลานั้นก็มีขันทีผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานว่า “ทูลฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีฉิน…ปลิดชีพตนเองลงที่จวนฉินพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้วมุ่น สองมือกำเข้าหากันแน่นพลางคิดในใจว่า
‘สูญเสียวันนี้เพื่อวันข้างหน้า…ทำได้ดีนี่ ! ’