นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 881 ผืนปฐพีใหม่

ตอนที่ 881 ผืนปฐพีใหม่

สิ้นเสียงของหลิวจิ่นก็ได้ยินเสียงของจิ่งเปียนสงเอ้อตะโกนขึ้นมาว่า “นั่นชายฝั่ง… ผืนปฐพี… พวกเรารอดตายแล้ว ! ”

หลิวจิ่นหันไปทางทิศตะวันออก จากนั้นก็โขกศีรษะลงพื้นถึงสามครา

เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า “กระหม่อมทราบดีว่าฝ่าบาทจะคอยคุ้มครองพวกเรา ! ”

“เทียบฝั่ง เตรียมจอด ขอให้ท่านแม่ทัพซูม่อนำทัพสำรวจด้วย ! ”

นี่คือท่าเทียบเรือที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง !

หลิวจิ่นห้าวสามารถทิ้งสมอได้อย่างง่ายดาย ทว่าจุดสนใจของทุกคนในยามนี้มิได้อยู่ ณ จุดนี้ แต่พวกเขากำลังทอดสายตาจดจ้องไปยังผืนปฐพีผืนใหม่… นี่คือความหวังของชีวิต !

ซูม่อพาทหารของกองนาวิกโยธินพร้อมยุทโธปกรณ์หนึ่งพันนายขึ้นฝั่งและเร่งรุดไปข้างหน้าเพื่อทำการสำรวจ

เกาหยวนหยวนแบกศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยขึ้นหลัง รอจนหลิวจิ่นและคนอื่น ๆ ลงจากเรือจนหมดแล้วถึงได้เดินตามไป พวกเขาเดินเข้าไปยังส่วนลึกของผืนปฐพีแห่งนี้

คณะของซูม่อรุดหน้าไปแล้วราวสิบกว่าลี้ มองเห็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มหนึ่งผืน

ในทุ่งหญ้านี้มีม้าลายและวัวกระทิงอาศัยอยู่จำนวนมาก สองตาของซูม่อเป็นประกายขึ้นมาทันใดเพราะคิดว่าถ้ามีทุ่งหญ้าและมีสัตว์ก็ต้องมีน้ำจืดอย่างแน่นอน

“ทุกคนจงฟังคำสั่ง ให้ออกล่าสัตว์ป่า ตามหาแหล่งน้ำ และตั้งค่ายทหารใกล้ ๆ กับแหล่งน้ำ ! ”

ทันทีที่เอ่ยจบ เหล่าทหารที่หิวจนตาลายก็ได้พุ่งทะยานไปในทุ่งหญ้าด้วยกำลังเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ ความสงบที่มิทราบว่ามีนานเท่าใดของทุ่งหญ้าแห่งนี้ ถูกเสียงปืนทำลายลงทั้งอย่างนี้

เมื่อซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ มาถึง ก็ได้เห็นกลุ่มกองไฟและได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยโชยมา

พวกเขาดีใจขึ้นมาทันพลัน ต่างประคับประคองพากันเดินเข้าไป ในตอนที่กำลังจะดื่มน้ำในบึงก็ถูกทหารของกองนาวิกโยธินขวางทางเอาไว้เสียก่อน

“ท่านแม่ทัพซูมีคำสั่งว่าห้ามทุกท่านดื่มน้ำธรรมชาตินี้ บัดนี้กำลังต้มน้ำอยู่ ทุกท่านโปรดรออีกสักครู่เถิด ! ”

หลิวจิ่นและคนอื่น ๆ มิเข้าใจเหตุผล ส่วนซูม่อก็มิได้อธิบายเช่นกัน

ครึ่งชั่วยามให้หลัง ในที่สุดทุกคนก็ได้ดื่มน้ำต้มและพบว่ารสชาติของน้ำที่ต้มสุกแล้วเลิศรสอย่างคาดมิถึง

“วันนี้พักกันที่นี่ก็แล้วกัน วันรุ่งขึ้นข้าจะพาทหาร 600 นายออกสำรวจต่อ ส่วนคนที่เหลือให้คอยเฝ้าอยู่ที่เดิม”

เมื่อมาถึงผืนปฐพี อำนาจทางทหารจึงตกอยู่ในมือของซูม่อแต่เพียงผู้เดียว ฝ่ายหลิวจิ่นเข้าใจว่าท่านแม่ทัพซูผู้นี้คือศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันกับฝ่าบาท เขาย่อมมิกล้าขัดคำสั่งของซูม่ออยู่แล้ว

บัดนี้เป็นเวลายามเว่ย ทุกคนได้ดื่มน้ำและทานเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็พักผ่อนกันเต็มเปี่ยมราวสองชั่วยาม จนตกค่ำซูม่อก็พาทหาร 200 นายออกไปล่าสัตว์อีกครา ส่วนคนที่เหลือก็ให้ติดตั้งกระโจมที่นำติดตัวมาด้วย

ในราตรีนี้ทุกคนได้ทานเนื้อกันอีกครา หลังจากนั้นแต่ละคนก็มุดตัวเข้าไปในกระโจม เสียงกรนดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดผู้รอดชีวิตก็ได้ยืนอยู่บนผืนปฐพี ในที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตกลับคืนมาได้ และบัดนี้ฝันร้ายทั้งหมดก็ได้ผ่านไปแล้ว จึงสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ

ทว่าหลิวจิ่น ซูม่อ ซูเจวี๋ย และเกาหยวนหยวนมิได้เข้านอน

ในยามนี้พวกเขานั่งล้อมรอบกองไฟ ซูม่อหยิบเข็มทิศออกมามองอย่างตั้งใจ “บัดนี้พวกเราอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่มิทราบว่านี่คือที่ใดกันแน่”

“พรรคพวกของใต้เท้าหลิวให้คอยประจำการอยู่ที่นี่เพื่อคอยคุ้มกันเรือ วันรุ่งขึ้นข้าจะพาทหารออกไปสำรวจ หากสิบวันผ่านไปยังมิกลับมา… พวกท่านจงรีบเดินทางกลับทันที ! ”

หลิวจิ่นจ้องมองไปทางซูม่อ จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นคำนับ “ขอขอบคุณท่านแม่ทัพซู”

ซูเจวี๋ยครุ่นคิด “พรุ่งนี้ข้าจะติดตามเจ้าไปด้วย ส่วนที่นี่ให้ศิษย์น้องรองและทหารอีก 400 นายคอยเฝ้าเอาไว้ ข้ามีอีกาอยู่ หากพบเจอเหตุการณ์อันใดจะได้รีบรายงานทันที”

ผืนปฐพีที่มิรู้จัก ย่อมมีอันตรายที่คาดมิถึง โดยเฉพาะสิ่งที่ศิษย์น้องเล็กเคยเอ่ยเอาไว้ว่าผืนปฐพีทางฝั่งนี้มี ‘เทคโนโลยี’ ที่พัฒนาไปไกลกว่าเทคโนโลยีของพวกเรา… ‘เทคโนโลยี’ ในความเข้าใจของซูเจวี๋ยโดยคร่าว ๆ ก็คือสิ่งของจำพวกปืน

มิทราบเช่นกันว่าศิษย์น้องเล็กทราบได้เยี่ยงไร แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อนเพราะคนที่เหลืออยู่ตอนนี้เหลือน้อยนิดมากยิ่งนัก

“ดี ! ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด”

“อืม” ซูเจวี๋ยมิได้ลังเลเพราะจนถึงบัดนี้สองขาของเขายังคงอ่อนแรงอยู่ ต้องเร่งฟื้นฟูกำลังภายในและภายนอกให้เร็วที่สุด

ทุกคนจึงแยกย้ายกันเข้าไปในกระโจมโดยมีเพียงซูม่อที่นั่งสมาธิอยู่ข้างกองไฟและเฝ้าระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ในคืนนี้มีหมาป่ามา 3 ตัวและสิงโตอีกหนึ่งฝูงมาเยือน พวกมันเฝ้ามองอยู่ไกล ๆ เฝ้ามองอยู่เนิ่นนานราวกับสัมผัสถึงแรงกดดันอันมหาศาลจากค่ายทหารที่แผ่มาถึงได้ สุดท้ายพวกมันก็หนีไป

ท้องนภาสว่างขึ้นมาเล็กน้อย ซูม่อเป่านกหวีดเรียกรวมพล สมาชิกของกองนาวิกโยธินได้มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ซูม่อถ่ายทอดคำสั่งเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ได้พาทหาร 600 นายออกไปจากค่ายทหาร

สิ่งที่พวกเขามิทราบก็คือที่นี่คือช่องแคบเบริงในชาติที่แล้ว ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้

พวกเขามาถึงสุดทางตะวันออกของทวีปเอเชียแล้ว สถานที่ที่พวกเขาอยู่คือฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือที่ในยุคหลังถูกเรียกว่าอะแลสกา

แน่นอนว่าบัดนี้ ชื่อเรียกเหล่านั้นยังมิได้บังเกิดขึ้น และมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในผืนปฐพีแห่งนี้คือชนพื้นเมืองที่ร่ำรวยและตามทฤษฎีพวกเขาคือบรรพบุรุษของอินเดียนแดง

……

……

“เพียงพริบตาเดียวเดือนห้าก็มาเยือน จนถึงวันนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวจากศิษย์พี่ใหญ่และมิทราบเช่นกันว่าหลิวจิ่นห้าวเดินทางไปถึงที่ใดแล้ว จะได้เผชิญกับอันตรายบ้างหรือไม่ ? ”

“โดยสรุปแล้วการเดินทางไกลในท้องทะเลครานี้เป็นข้าที่รีบร้อนจนเกินไป ควรรออีกสองสามปีเพื่อให้กองทหารเรือที่สร้างมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะถือกำเนิดขึ้นเสียก่อน แล้วค่อยออกเดินทาง จะได้ปลอดภัยมากกว่านี้”

ระหว่างเดินทางไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว มิใช่ว่าฟู่เสี่ยวกวนไร้กังวล หากหลิวจิ่นตกตายก็มิเป็นอันใดหรอก แต่จะเกิดอุบัติเหตุกับศิษย์พี่ทั้งสามมิได้เป็นอันขาด

“…ด้วยฝีมือของพวกศิษย์พี่ใหญ่ ต่อให้มีไม้เพียงแผ่นเดียวก็คาดว่าพวกเขาจะสามารถหนีออกจากมหาสมุทรได้อย่างแน่นอน”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกไป เพราะต่งชูหลานยังมิเคยเห็นมหาสมุทรมาก่อน

หากหลิวจิ่นห้าวอับปางกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อย่างแท้จริง พวกเขามิมีทางรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นโอกาสรอดชีวิตจึงริบหรี่เป็นอย่างมาก

“ปัญหาเรื่องการปิดผนึกลูกสูบเครื่องจักรไอน้ำได้รับการแก้ไขแล้ว คาดว่าอย่างช้าสุดเครื่องจักรไอน้ำรุ่นที่หนึ่งจะเผยโฉมได้ในปีหน้า หากบนเรือรบได้รับการติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำ มันจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมามิน้อยเลยล่ะ ! ”

“เหตุใดท่านจึงหมกมุ่นกับทะเลมากถึงเพียงนี้ ? ”

ต่งชูหลานมิเข้าใจ เพราะฟู่เสี่ยวกวนมีภูเขาทองอยู่แล้ว มันสามารถใช้สร้างอีกแคว้นหนึ่งขึ้นมาได้เลยด้วยซ้ำ ขอเพียงเขาใช้ภูเขาทองลูกนั้นให้เกิดประโยชน์ อำนาจของราชวงศ์อู๋ย่อมอยู่ใกล้แค่เอื้อม แท้จริงแล้วในตอนนี้ราชวงศ์อู๋ก็ไร้พ่ายอยู่แล้ว ทว่าเขาก็ยังจดจ้องไปยังมหาสมุทรอยู่อีก

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้ม “รอจนถึงเดือนแปดเถิด หลังจากมีเรือรบระดับอู่เว้ยจำนวน 5 ลำแล้ว หากเจ้ายินดี ข้าจะพาเจ้าไปดูทะเล”

“จริงหรือ ? ”

ดวงตาของต่งชูหลานเป็นประกายขึ้นมาทันใด นางได้ฟังเรื่องราวของมหาสมุทรมาจากฟู่เสี่ยวกวนมากมาย แต่นางมิสามารถจินตนาการถึงความเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่ได้เลย หากสามารถไปดูด้วยตาของตนเองได้ เยี่ยงนั้นก็คงจะดีมากยิ่งนัก

“ข้าจะหลอกเจ้าเนื่องด้วยเหตุอันใดเล่า ? เรือรบของพวกเราจะล่องไปตามแม่น้ำแยงซีจนถึงปากอ่าว จากนั้นก็เดินหน้าไปทางเหนือ ตรงนั้นมีสถานที่หนึ่งเรียกว่าเซี่ยเย๋ซึ่งมีท่าเทียบเรือที่เกิดตามธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าตรงนั้นยังมีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่อีกด้วย”

“ต้องโจมตีหรือไม่ ? ”

“ก็ต้องดูว่าชนพื้นเมืองพวกนั้นยอมจำนนหรือไม่ ข้าต้องได้ท่าเรือนั้นมาครอบครองเพราะเจ้าคงมิทราบว่าท่าเรือนั้นมีความสำคัญต่อแคว้นหนึ่งเยี่ยงไร ภายในสองสามปีนี้ข้าจำต้องสร้างท่าเรือบริเวณนั้นเพื่อให้หนวดของราชวงศ์อู๋สามารถยืดขยายออกสู่ท้องทะเลได้อย่างกว้างไกล และเพื่อความเป็นไปได้ในการขยายการค้าระหว่างแคว้นทางทะเลในอนาคตข้างหน้า”

“ใต้หล้านี้กว้างใหญ่มากยิ่งนัก ทว่าที่ตรงนี้ของพวกเรามีเพียงมิกี่แคว้นเท่านั้น ข้าคาดว่า…ที่พวกเราอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นทวีปเอเชีย และในใต้หล้านี้ก็น่าจะมีทั้งหมดเจ็ดทวีปกับอีกห้ามหาสมุทรด้วยกัน”

ดวงตาของต่งชูหลานเต็มไปด้วยความสงสัย ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปนอกหน้าต่าง บัดนี้พวกเขาได้เข้าสู่เขตหกรัฐแห่งเป่ยเซียวแล้ว

“ข้าก็เพียงแค่คาดเดาจึงต้องออกไปพิสูจน์สักหน่อย”

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset