ตอนที่ 924 การไถพรวนโดยไร้อุปกรณ์
ไป๋ยู่เหลียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนเพราะอีกฝ่ายเอ่ยว่าสนามรบหลักของสงครามครานี้อยู่ในที่ราบฮวาจ้ง
ที่ราบฮวาจ้งเป็นผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋ ทว่าแผนการครานี้พุ่งเป้าไปยังราชวงศ์หยู หมายความว่าหยูเวิ่นเต้าจะรุกรานราชวงศ์อู๋เยี่ยงนั้นหรือ ?
หยูเวิ่นเต้าเสียสติไปแล้วหรือเยี่ยงไร ?
เขาจะเอาอันใดมาสู้กับราชวงศ์อู๋กัน ?
เขาคิดว่าทั่วหล้าไร้ซึ่งผู้ใดต่อกรกับเขาได้ แค่เพียงเขามีปืนคาบศิลาและมีกองทัพสวรรค์ฆาต 300,000 นายเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขามิรู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธของกองกำลังทหารของราชวงศ์อู๋กว่าจะสามารถติดตั้งอาวุธได้ ต้องมีขั้นตอนที่ซับซ้อนมากเพียงใด !
ปืนคาบศิลาแต่เดิมสามารถยิงได้ 4 นัดต่อการนับช่วงลมหายใจเข้าออก 60 ครา ทว่าบัดนี้ราชวงศ์อู๋ได้ทำการพัฒนาปืนให้ยิงได้ 10 นัดต่อลมหายใจเข้าออก 60 ครั้ง !
หลังจากสงครามแคว้นฮวง ทหารดาบเทวะได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ฟู่เสี่ยวกวนจึงสั่งให้สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติศึกษาวิจัยเสื้อเกราะขึ้นมาใหม่ เขาบอกว่าเกราะนี้สามารถกันกระสุนปืนได้
เกราะแบบเดิมของกองทัพราชวงศ์อู๋ถูกแทนด้วยเกราะกันกระสุนแบบใหม่… สิ่งนี้ทำจากแผ่นเหล็กสองชั้นและผ้าฝ้ายหนา 5 ชั้น ส่วนข้อต่อทำจากโซ่ แม้ว่าจะหนักไปบ้างแต่ก็คล่องตัวอยู่ เกราะนี้มีน้ำหนักมากถึง 80 ชั่ง !
หากมิใช่เพราะทหารในกองทัพราชวงศ์อู๋มีฝีมืออยู่ในระดับสาม ย่อมเป็นไปมิได้ที่จะสวมใส่ชุดเกราะนี้ยามออกรบ
กอปรกับน้ำหนักของอาวุธและเกราะที่ป้องกันส่วนอื่น ๆ หมายความว่าทหารหนึ่งนายต้องแบบน้ำหนักมากถึง 120 ชั่งเพื่อสังหารศัตรู
เรื่องนี้เป็นไปมิได้ที่ทหารจากแคว้นอื่นจะสามารถแบกรับไหว แต่ทหารของราชวงศ์อู๋ปฏิบัติได้เพราะมีผู้เปี่ยมทักษะด้านวรยุทธมากมายอยู่ในกองทัพ !
ในอดีตฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยว่านี่คือกองทัพหนึ่งเดียวในใต้หล้า
จากการฝึกซ้อมระยะยาวส่งผลให้ทหารของราชวงศ์อู๋สามารถวิ่งได้เร็วราวกับบินแม้จะสวมใส่ชุดเกราะ ทั้งยังสามารถเปลี่ยนรูปแบบขบวนทัพและเล็งเป้าระหว่างการสู้รบได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
มีเพียงผู้โง่เขลาเท่านั้นที่คิดจะต่อกร !
หยูเวิ่นเต้าจะเอาอันใดมาสู้กับราชวงศ์อู๋กัน ?
ต่อให้ทหารอู๋ยืนอยู่ที่เดิมแล้วปล่อยให้เจ้ายิง ถึงเยี่ยงไรเจ้าก็ยิงมิเข้า !
ดังนั้นไป๋ยู่เหลียนจึงทูลถามด้วยความประหลาดใจว่า “หยูเวิ่นเต้า…โง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ไป๋ยู่เหลียนเป็นชายชาติทหารอย่างแท้จริง ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิอาจเอ่ยถึงเรื่องเลวทรามให้เขาฟังได้ เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบว่า “บางทีเขาอาจจะถูกผู้อื่นยุยงส่งเสริม แต่เรื่องเหล่านี้มิสำคัญเพราะในเมื่อเขาอยากแข่งว่าฝีมือผู้ใดเหนือกว่า ข้าจะทำให้เขาเห็นว่าข้าสามารถบดขยี้เขาให้แหลกได้”
ไป๋ยู่เหลียนเห็นด้วยกับคำเอ่ยนี้ กองทัพสวรรค์ฆาต 300,000 นายย่อมถูกบดขยี้โดยมิต้องสงสัย ยกเว้นว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้ปืนใหญ่หงอีโจมตี มิเช่นนั้นก็ไร้ความสามารถในการขวางความแข็งแกร่งของทหารชาวอู๋ได้
“แต่ก่อนข้ามักจะเอ่ยว่าราชวงศ์หยูเป็นผืนปฐพีที่ข้าเกิดและเติบใหญ่ ข้าชอบที่นั่นมากยิ่งนัก ดังนั้นสงครามจึงวางไว้ ณ ที่ราบฮวาจ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายระหว่างการสู้รบและเพื่อมิให้ราษฎรได้รับผลกระทบแม้แต่ผู้เดียว…”
เมื่อไป๋ยู่เหลียนได้ยินดังนั้นก็คลายความกังวลลงไปมาก ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “เสี่ยวไป๋ หลังจากการสู้รบครานี้… พวกเราก็จะสามารถกลับไปยังภูเขาซีซานได้อีกครา”
ไป๋ยู่เหลียนเพิ่งคลายกังวล ทว่าบัดนี้เขากังวลขึ้นมาอีกครา จากนั้นเขาก็เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
ความหมายชัดเจนยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจปล่อยหยูเวิ่นเต้าไว้ได้อีก อาศัยการสู้รบครานี้กำจัดกองกำลังหลักของหยูเวิ่นเต้าลง ณ ที่ราบฮวาจ้ง จากนั้นก็บัญชาทหารให้เคลื่อนพลบุกไปทางเหนือเพื่อบุกยึดราชวงศ์หยู !
“สงครามนี้ถึงเยี่ยงไรก็ต้องสู้ เป้าหมายมิได้อยู่ที่การสู้รบและยึดครองราชวงศ์หยูหรอก แต่คือการสร้างอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวและมั่นคง ส่วนเป้าหมายของข้าคือท้องทะเลที่ยิ่งใหญ่ไพศาลนั่นต่างหาก ผู้ที่อยู่อีกฝั่งของทะเลต่างหาก ถึงจะเป็นศัตรูที่แท้จริง ! ”
ตามแผนเดิมของฟู่เสี่ยวกวนคือเขามิได้คิดสู้รบกับหยูเวิ่นเต้าเลยด้วยซ้ำ
แผนของเขาคือปล่อยให้ราชวงศ์หยูล่มสลายด้วยตนเองจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและเรื่องนี้ต้องใช้เวลาราวห้าหรือสิบปี
ทว่าบัดนี้เขารอมิได้แล้ว เหตุผลแรกคือเมื่อเทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำแล้วเสร็จ เขาต้องออกทะเลเพื่อเปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ทันที เหตุผลที่สองคือหยูเวิ่นเต้ามิยอมนิ่งเฉย แม้ว่าเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูจะทรุดตัวลงก็เกรงว่าเขาจะสู้แบบสุนัขจนตรอก…
ในเมื่อจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมก็ควรรอให้อีกฝ่ายเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเสียก่อน
รูปแบบของแคว้นที่ยิ่งใหญ่ตามความต้องการ ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในความคิดของฟู่เสี่ยวกวน หากรวมราชวงศ์หยูและแคว้นอี๋เป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์อู๋ แผนที่แคว้นก็คงมีรูปร่างคล้ายกับไก่ในชาติก่อน
เขามีความสุขที่สามารถทำให้แคว้นนี้สมบูรณ์แบบ
สิ่งที่เขาต้องการมิใช่เพียงแค่สมบูรณ์แบบเท่านั้น เพราะเขาต้องการให้แคว้นนี้ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว !
……
……
เมื่อถึงยามเซิน หิมะก็ตกหนักอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนพาบรรดาภรรยาเดินทางออกจากจวนของเฮ้อซานเตา ทำให้จวนนี้กลับมาเงียบสงบดังเดิม
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ” โจ่งหยูจ้องมองเฮ้อซานเตาพลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
วันนี้นางมีความสุขมากยิ่งนัก ฝ่าบาททรงประทานบรรดาศักดิ์ให้แก่นาง ส่วนองค์จักรพรรดินีได้มอบอัญมณีมากมายให้แก่นาง นางรู้อย่างชัดแจ้งว่าเกียรติยศยิ่งใหญ่ที่ได้รับนั้นเป็นเพราะสามีล้วน ๆ เขาคือคนสำคัญในพระทัยของฝ่าบาท
ดังนั้น…คุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งจึงมีผิวแก้มสุกปลั่งและกำลังครุ่นคิดว่าจะให้รางวัลสามีในคืนนี้
ทว่าเจ้าจะทำอันใดกันแน่ ถึงได้สวมชุดเกราะไว้เยี่ยงนี้ ?
เฮ้อซานเตายกยิ้ม “มีเรื่องในกองทัพเล็กน้อย ข้าต้องไปจัดการก่อน”
โจ่งหยูตื่นตกใจขึ้นมาทันใด นางยู่ปากเล็กของนางแล้วเอ่ยว่า “ปีหน้าก็จะอายุสามสิบแล้วมิใช่หรือ ? ขอทานยังต้องมีวันหยุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มิเคยมีเรื่องใหญ่ในช่วงเทศกาลปีใหม่เลยนี่ ? ”
“มิใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องด่วน ฮูหยิน…ข้า ข้ามิเคยไปที่หอนางโลมอีกเลยตั้งแต่ได้เข้ามาเป็นทหารดาบเทวะ”
โจ่งหยูจ้องหน้าเขาเขม็ง “ข้ามิเคยเอ่ยเลยว่าเจ้าไปที่หอนางโลม หรือว่า…ข้าปรนนิบัติรับใช้เจ้ามิดี ? ”
“มิใช่เช่นนั้นหรอก เพราะตั้งแต่เราแต่งงานกัน จวนหลังนี้ถึงได้สมบูรณ์แบบขึ้นมา ฮูหยิน ข้าชอบเจ้าจากใจจริง ข้าชอบเจ้าตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่หลินจื๋อแล้วด้วยซ้ำ ทว่าครานี้ข้ามีเรื่องต้องจัดการจริง ๆ รอให้ข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จเสียก่อนเถิด ข้าจะพาเจ้าไปชมทะเลหมอกที่กวนหยุนถาย”
นาน ๆ จะได้ยินเขาเอ่ยด้วยแววตาจริงจัง โจ่งหยูมิรู้ว่าเหตุใดในใจของนางถึงเศร้าขึ้นมา นางสวมกอดเขาผ่านเสื้อเกราะเย็น ๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “เรื่องที่จะไปดูทะเลหมอกอันใดนั่นมิสำคัญหรอก เรื่องสำคัญคือเจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัย ! ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อข้ากลับมา…พวกเราต้องทำเยี่ยงนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงบ้างแล้วคือมีลูกเป็นสิบ ! ”
โจ่งหยูเงยหน้าขึ้นสบตากับเฮ้อซานเตา จากนั้นก็แผ่จิตสังหารออกมาทันที… “ว่าเยี่ยงไรนะ ? เจ้าอยากมีวังหลังเหมือนฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อ่า…มิใช่ ! เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามีเจ้าเพียงแค่คนเดียว และชั่วชีวิตนี้ข้าจะมีเจ้าเพียงผู้เดียว ทว่าข้าอยากมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองก็เท่านั้นเอง ! ”
โจ่งหยูหัวเราะคิกคัก นางเบิกตาโพลงจ้องมองเขา “เจ้ามิมีความสามารถเองนี่”
นางถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็สัมผัสไปที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง เมื่อใดท้องของนางจะโตขึ้นมาเสียที ?
นางเหลือบไปมองเฮ้อซานเตาพลางกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ถอดชุดเกราะนั้นออกประเดี๋ยวนี้ ! ”
“หา ? ”
“เจ้าโง่ ข้าบอกให้ถอดชุดเกราะออกเยี่ยงไรเล่า ! ”
เมื่อเอ่ยจบ โจ่งหยูก็หันหลังไปปิดประตูทันที จากนั้นนางก็เดินมาช่วยเฮ้อซานเตาปลดชุดเกราะ เสียง…แกร๊ง ! แสดงถึงการที่ชุดเกราะตกสู่พื้น
สีหน้าและดวงตาที่แดงก่ำของนางเปล่งประกาย “เรื่องสำคัญใดก็มิสำคัญเท่าเรื่องที่ข้าต้องมีบุตร ! ”
“โอ๊ย…ปล่อยข้านะ ! ”
ในขณะนั้นเฮ้ออีฟู่บิดาของเฮ้อซานเตาก็ได้เดินผ่านมาพอดี เนื่องจากมีเรื่องอยากสนทนากับบุตร…เจ้าลูกที่เคยมิได้เรื่อง บัดนี้กลับใช้ได้เลยทีเดียวเพราะฝ่าบาททรงเสด็จมาที่จวนเฮ้อด้วยพระองค์เอง นี่ช่างเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้
ทว่าเมื่อเขามาถึงหน้าห้องของเฮ้อซานเตาก็ได้แต่ชะงักงัน อืม…เจ้าลูกคนนี้ทำเรื่องจริงจังได้สักที !