ตอนที่ 985 การปฏิรูป
ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจปล่อยข่าวเรื่องการกลับมาของสวี่หยุนชิงออกไป
สำหรับประเทศต้าเซี่ยแล้ว นี่ถือเป็นข่าวดีมากเลยทีเดียว
ฝ่าบาทได้รับการปกป้องจากสวรรค์ แม้แต่องค์ไทเฮาก็มีบุญบารมีเทียมฟ้าและถือเป็นเรื่องดีที่ประเทศต้าเซี่ยได้กำเนิดขึ้น มิแน่นี่อาจจะเป็นราชโองการจากสรวงสวรรค์ด้วยเช่นกัน !
ประเทศต้าเซี่ยที่เพิ่งก่อตั้งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมได้ครึ่งปีแล้ว ราษฎรที่เคยอดอยากก็ได้ผ่านความทุกข์ทรมานและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
การดำเนินชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนมีทั้งผ่านพ้นไปด้วยเรื่องน่ายินดีและงานที่รัดตัว ในชั่วพริบตาเดียววันเวลาก็ได้ย่างเข้าสู่ปลายเดือนสิบเอ็ดของรัชศกเทียนเต๋อปีที่สาม หิมะแรกของเมืองกวนหยุนก็ได้ปรายปรายลงมาแล้ว
เรื่องที่จี้หยุนกุยได้ควบคุมดูแลหอเทียนจีนั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยเพียงสั้น ๆ ในที่ประชุมใหญ่ประจำราชสำนัก ในขณะที่ขุนนางหลายร้อยคนได้ยินสิ่งที่ตรัสออกมานั้น ก็มีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่ให้ความสำคัญว่าจี้หยุนกุยมีพื้นเพมาจากที่ใด
เหตุใดเขาถึงลึกลับเช่นนี้
มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าหลังจากที่จี้หยุนกุยเป็นหัวหน้าหอเทียนจีครบหนึ่งเดือนเพื่อจัดระบบสายลับใหม่ เขาก็ได้รับภารกิจแรก เขาได้ทูลขอคำชี้แนะจากฟู่เสี่ยวกวนเกี่ยวกับภารกิจสำคัญคราแรก ภารกิจที่ว่าก็คือ…ตามสืบเรื่องของซูฉางเซิง !
ภายใต้การระดมกำลังสายลับของจี้หยุนกุย พวกเขาก็ได้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศอย่างลับ ๆ มิเว้นแม้แต่แคว้นซีเซี่ย ราชวงศ์เหลียวและภูเขาต้าเซียนเปย
ส่วนฟู่เสี่ยนกวนได้ออกราชโองการให้ท่าป๋าเฟิงมาเข้าเฝ้ายังเมืองกวนหยุนทันที
นอกจากนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังได้ร่างพระราชโองการอีกหลายฉบับ…
เขาแต่งตั้งให้เฝิงซีบุตรชายของเฝิงหล่าวซื่อเป็นผู้บัญชาการทหารดาบเทวะกองทัพที่สอง จากนั้นก็ให้เดินทางออกจากชื่อเล่อชวนโดยมุ่งหน้าไปยังเมืองฉางจินเพื่อรับช่วงเข้าบัญชาการกองทัพที่สองทันที เสร็จแล้วให้เคลื่อนพลไปประจำการ ณ เขตฉางกานแห่งเยวี่ยซานเป่ยเต้า เพื่อปกป้องอาณาจักรถู่ปัว ส่วนเฮ้อซานเตาอดีตผู้บัญชาการทหารดาบเทวะกองทัพที่สองให้เดินทางกลับเมืองกวนหยุนทันที
แต่งตั้งให้หวางเสี่ยวจ้วงเป็นผู้บัญชาการทหารบกกองทัพที่ห้า แล้วให้ทหาร 100,000 นายที่ได้รับการคัดเลือกจากมณฑลจิงตงและเหอเป่ยทั้งสองฟาก และให้ตั้งฐานทัพใหม่เพื่อฝึกซ้อมที่เขตเจินติ้งของเหอเป่ยซีเต้า
เว่ยอู๋ปิ้งนำกองทัพที่สามตั้งมั่นและรักษาการณ์ที่ฉางอันในจิงซีเป่ยเต้า
สำหรับขุนนางหลายร้อยคนมิได้แปลกใจต่อเรื่องที่กองทัพมีการปรับเปลี่ยนโยกย้าย พวกเขาล้วนคิดว่าเพื่อปกป้องชายแดนของประเทศต้าเซี่ยที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ก็สมควรที่จะโยกย้ายแล้ว
ในเวลาเดียวกันก็มีการเพิ่มกองทัพเรือในประเทศต้าเซี่ย ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ… สามเหล่าทัพนี้ประกอบไปด้วยกองทัพบก กองทัพเรือและกองนาวิกโยธิน จากนั้นก็ได้แต่งตั้งกลุ่มผู้บัญชาการกองทัพเรือระดับสูงขึ้นมา
ไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้เสนอรายชื่อให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไว้วางใจในการคัดเลือกของไป๋ยู่เหลียนมิน้อย
จั่วมู่ เป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือที่หนึ่ง
จ่างเผิงหลาง เป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือที่สอง
และเฮ้อซานเตา เป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือที่สาม
เช่นเดียวกับกองทัพบก แต่ละกองทัพจะมี 10 กองพล แต่ละกองพลจะมีทหารอยู่ราว 10,000 นาย รวมเป็นกองทัพละ 100 ,000 นาย ส่วนรายชื่อผู้บัญชาการของแต่ละกองพลจะได้รับการแต่งตั้งจากไป๋ยู่เหลียนและจัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมกลาโหม
บัดนี้กรมกลาโหมของประเทศต้าเซี่ยจึงได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่และจัวเปี๋ยหลีก็ได้ก่อตั้งที่ว่าการอย่างเป็นทางการขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ในส่วนของกรมกลาโหมจะประกอบไปด้วย กรมเสนาธิการ กรมฝ่ายธุรการแนวหลังและกรมสรรพาวุธ
“ตั้งแต่บัดนี้สืบไป การทหารและการเมืองจะถูกแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ กรมกลาโหมต้องมีงบประมาณในด้านการป้องกันประเทศทุกช่วงต้นปี งบประมาณนี้…” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองจัวเปี๋ยหลีและไป๋ยู่เหลียน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกท่านต้องไปของบจากกรมคลัง และแน่นอนว่ากรมคลังมีสิทธิตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณการป้องกันประเทศและนี่เป็นหน้าที่ของกรมกลาโหมที่จะอธิบายข้อสงสัยเหล่านั้น”
“หากการอธิบายเหตุผลมิชัดเจน กรมคลังมีสิทธิปฏิเสธงบประมาณที่กรมกลาโหมเสนอ ส่งผลให้เรื่องนี้เกิดความล่าช้าออกไป ดังนั้นงบประมาณที่ยื่นเสนอไปนี้จะต้องเที่ยงตรง”
“หากมีการใช้จ่ายมากเกินไป กรมกลาโหมต้องมีหลักฐานเพียงพอ กรมคลังถึงจะสามารถเพิ่มงบประมาณให้ได้”
“ตั้งแต่บัดนี้สืบไป ทั้งสามสำนักมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปแทรกแซงเรื่องการทหาร ในทำนองเดียวกันกรมกลาโหมหรือหน่วยงานทหารท้องถิ่นจะต้องมิแทรกแซงเรื่องการเมืองเช่นกัน”
“พวกท่านจงจำเอาไว้ว่าผู้รับผิดชอบด้านกองทัพของประเทศต้าเซี่ยนั้น…มิใช่ข้า !มิใช่จักรพรรดิ ! ทว่าเป็นราษฎรของประเทศต้าเซี่ย ! ”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกตรัสออกมา ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นทั้งหลาย ต่างก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด แม้แต่หยุนซีเหยียนก็อยากเอ่ยปากห้ามไว้ ทว่าก็ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอีกว่า “รัฐธรรมนูญได้กำหนดขอบเขตหน้าที่สำคัญยิ่งของกองทัพในประเทศต้าเซี่ยเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว พวกท่านมิได้ไปศึกษารายละเอียดเลยหรือเยี่ยงไรกัน”
“เจิ้นขอย้ำอีกคราว่าหากจักรพรรดิโง่เขลาเบาปัญญา ผลประโยชน์ของราษฎรต้าเซี่ยก็จะได้รับความเสียหาย หรือแม้กระทั่งชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรในประเทศต้าเซี่ยก็จะตกอยู่ในอันตราย… ขอพวกท่านจงจำเอาไว้ว่าบทบัญญัติสูงสุดของรัฐธรรมนูญคือมีสิทธิกล่าวโทษจักรพรรดิผ่านทั้งสามสำนักและกรมกลาโหมมีสิทธิคัดค้านคำสั่งของจักรพรรดิที่จะให้พวกท่านเคลื่อนกำลังทหารไปกำราบปราบปรามราษฎร ! ”
นี่คือข้อคิดที่จะลบล้างแนวคิดของขุนนางจากทั้งสามสำนัก และในส่วนของรัฐธรรมนูญ ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้รวมเรื่องการเลือกตั้งลงไปเพราะมีข้อจำกัดด้านเวลา
เนื่องจากนี่คือยุคสมัยในประวัติศาสตร์ที่ยังมีการปกครองด้วยระบอบศักดินา ราษฎรไร้โอกาสเงยหน้ามองท้องนภา แล้วพวกเขาจะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้เยี่ยงไรเล่า ?
ก็เหมือนตอนนี้ แม้ว่าจะประกาศรัฐธรรมนูญออกไปและบังคับใช้ได้ครึ่งปีแล้ว แม้ว่าขุนนางระดับสูงในราชสำนักจะได้อ่านรัฐธรรมนูญแล้วก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายเข้าใจมาตราเหล่านี้แล้ว ทว่าพวกเขาก็มิได้เชื่ออย่างสนิทใจ !
จักรพรรดิเอ๋ย !
เว้นแต่ว่าราชวงศ์นั้นจะสิ้นสุดลง เว้นแต่ว่าราษฎรจะมีชีวิตยากจนเหมือนดั่งแคว้นฮวงในอดีต มิเช่นนั้นผู้ใดจะกล้าคัดค้านและก่อกบฏกับจักรพรรดิกันเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หวังในเรื่องนี้มากนัก แม้รัฐธรรมนูญจะก้าวหน้า ทว่ามันก็เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์หนึ่งเท่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อว่าถ้าตนยังอยู่ในอีกร้อยปีข้างหน้าและมีจักรพรรดิที่โง่เขลาเบาปัญญากำเนิดขึ้นมา ราษฎรก็จะมองมายังรัฐธรรมนูญอีกคราเพื่อหาหนทางโค่นล้มอำนาจการปกครองอันแสนโง่เขลาเบาปัญญาจนทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
เพียงเท่านั้นก็มากพอแล้ว ประกายไฟเพียงจุดเดียวก็สามารถทำให้เกิดไฟลามทุ่งได้เช่นกัน
“วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบห้า เดือนสิบเอ็ด เมื่อวานนี้องค์ไทเฮาตรัสกับข้าว่าขุนนางของประเทศต้าเซี่ยทำหน้าที่ได้ดีมากยิ่งนัก ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นตามพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา พระนางต้องการมอบกำลังใจให้แก่ข้าราชการทั้งหมดของประเทศต้าเซี่ยในช่วงปลายปีนี้เป็นสองเท่าตัว… ทุกคนจะได้รับเงินรางวัลเพิ่มจากเบี้ยหวัดไปอีกสองเดือนและเงินจำนวนนี้จะเบิกจากเงินในท้องพระคลังส่วนตัวของเจิ้นเอง”
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกยินดีมากยิ่งนัก ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาว่าองค์ไทเฮาทรงมีพระชนมายุพันปี พันพันปี !
มีเพียงโหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังเท่านั้น ที่จ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่เป็นกังวล… พลางครุ่นคิดในใจว่าเมื่อรวมขุนนางทั้งหมดในประเทศต้าเซี่ยแล้ว มีมากกว่าสามหมื่นคน !
เขาแอบดีดลูกคิดในใจ ช่างเถิด…แค่ฝ่าบาทต้องจ่ายเงินมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงก็เท่านั้นเอง
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนสรุปรวมกำไรและขาดทุนในปีที่สามของแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกในประเทศต้าเซี่ยอยู่ที่ท้องพระโรงซวนเต๋อ ในเวลาเดียวกันที่วังหลังก็พบว่าจักรพรรดินีและเหล่าพระสนมได้พากันไปยังตำหนักฉืออันขององค์ไทเฮาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันมีข่าวดีสองเรื่องจะมาทูลพระองค์ ! ”
หยูเวิ่นหวินเอ่ยพลางชงชาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“เรื่องอันใดกัน ? ”
หลายวันที่ผ่านมานี้สวี่หยุนชิงและลูกสะใภ้ทุกคนมีความใกล้ชิดสนิทสนมต่อกัน จนเกิดเป็นความรักใคร่ปรองดอง
หยูเวิ่นหวินไร้เสด็จพ่อและเสด็จแม่แล้ว ดังนั้นไทเฮาผู้นี้จึงเปรียบดั่งเสด็จแม่ที่รักและเมตตานาง
สีหน้าของหยูเวิ่นหวินแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หมอหลวงได้ตรวจอย่างละเอียดแล้วว่าหม่อมฉันตั้งครรภ์เพคะ”
เมื่อสวี่หยุนชิงได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกยินดีมากยิ่งนักพลางเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า “รู้หรือไม่ว่าอายุครรภ์กี่เดือนแล้ว ? ”
“เพิ่งจะสองเดือนเพคะ”
“ดี ๆ ๆ… เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแท้จริง” สวี่หยุนชิงหันไปมองลูกสะใภ้ทั้งเก้าคนที่เหลือพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าก็ต้องมีความพยายามให้มาก หากเขาลำเอียง พวกเจ้าจงมาบอกแก่ข้า ข้าจะไปจัดการเขาเอง ! ”
“แล้วอีกเรื่องก็คือคำว่าเสด็จแม่และคำว่าหม่อมฉัน ฟังดูแล้วมิค่อยรื่นหูเท่าใดนัก เอาเช่นนี้เถิด หากอยู่ที่วังหลังพวกเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านแม่เถิด ฟังดูแล้วสบายหูกว่ามากนัก”
“ท่านแม่… ! ”
สวี่หยุนชิงมีความสุขขึ้นมาทันใด “ดี… ! ”
คำนี้ทำให้จิตใจของสวี่หยุนชิงมีความสุขมากยิ่งนัก พลางนึกถึงผู้ที่มิน่าอายุสั้น จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา… หากท่านยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะดี
“อ้อ ! เวิ่นหวิน… ข่าวดีอีกเรื่องคือเรื่องอันใดกัน ? ”