เจียงหยุนชานในชุดเสื้อกันฝนพร้อมด้วยหมวกหญ้าบนศีรษะเดินมุดเข้าประตูมา ตอนนี้ข้างนอกฝนตกโปรยปราย สภาพเขาจึงเปียกปอนไปทั้งตัวดูไม่จืดเลย เขาถอดหมวกออกและเอ่ยขึ้น “เฮ้อ… ฝนตกติดต่อกันมาสองวันแล้ว และมันยังตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ”
เจียงป่าวชิงส่งผ้าขนหนูให้จากด้านข้างพลางช่วยรับหมวกจากมือพี่ชาย “ก็นั่นน่ะสิ ว่าแต่พี่ ฝนตกหนักขนาดนี้ ถนนยังเดินได้อยู่อีกรึ ?”
“มันเต็มไปด้วยโคลนตมเลยล่ะ” เจียงหยุนชานตอบอย่างละเหี่ย เขาเลิกชายเสื้อกันฝนขึ้นมาเพื่อให้น้องสาวมองดูรองเท้าที่ตอนนี้เปื้อนโคลนไปมากกว่าครึ่ง “เดินยากมาก สองสามวันนี้เราอย่าเพิ่งออกไปไหนเลย ข้าว่าฝนมันตกหนักเกินไป”
เจียงป่าวชิงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะรีบไปหยิบรองเท้าคู่สะอาดมาให้พี่ชายเปลี่ยน
เจียงหยุนชานถอดเสื้อกันฝนออกและยังคงถอนหายใจ “ฟู่ววว จริง ๆ เลยนะ ฝนตกหนักขนาดนี้นี่แย่จริง ดีที่เจ้าไม่ได้ออกไปไหน ไม่งั้นเปื้อนแย่ แถมช่วงนี้มีแต่คนคิดไม่ดีกับพวกเราด้วย”
หลังจากเกิดเหตุการณ์เฉียนจินหวู่เริงรักกับเฉียนเซียงเซียงในวันนั้น เด็กหนุ่มจิตใจดีอย่างเจียงหยุนชานก็บอกกับตัวเองว่าเขากับน้องสาวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระมัดระวังทุกคนในบ้านตระกูลเจียง คนเหล่านั้นคิดร้ายกับพวกเขาสองพี่น้องประหนึ่งว่าไม่ใช่ญาติมิตรกัน หากให้พูดตามตรง เขายอมวิ่งสิบครั้งแปดครั้งยังดีกว่ายอมให้เจียงป่าวชิงต้องไปมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียงอีก
เวลาล่วงผ่านเลยมาห้าวันแล้วหลังจากที่เจียงเหลียนฮัวถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไป ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เฉียนเซียงเซียงกับเฉียนจินหวู่ก็ยังคงมาวุ่นวายกับพวกเขาแต่ก็ถูกหลีโผจื่อมาลากตัวกลับไป
ไม่ใช่ว่าหลีโผจื่อรู้สึกผิดต่อเจียงป่าวชิงอะไรเลย นางกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับหลานสองคนที่บ้านเจียงป่าวชิง และนั่นจะเป็นการหาเรื่องน่าปวดหัวมาให้กับตระกูลเจียง
ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลเจียงก็เป็นขี้ปากชาวบ้านมากแล้ว ทั้งเรื่องที่เจียงเหลียนฮัวพาชายหุ่นล่ำสองสามคนไปหาเรื่องเจียงป่าวชิงถึงบ้าน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ที่เจียงป่าวชิงเชิญมาก่อนหน้าควบคุมตัวไปยังที่ว่าการ และไหนจะข่าวลือเรื่องที่ว่าเฉียนจินหวู่กับเฉียนเซียงเซียงเป็นพี่น้องกันแต่กลับลักลอบได้เสียกันก็แพร่กระจายไปทั่วหมูบ้านใกล้เคียงอีก ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวมากเสียจนตอนนี้บอกไม่ได้ว่าเรื่องไหนโด่งดังมากกว่ากัน
นอกจากนี้ ก่อนเกิดเรื่องอื้อฉาว มีสองสามครอบครัวที่เคยพูด ๆ กับบ้านตระกูลเฉียนไว้ว่าจะให้ลูกชายลูกสาวมาดูตัวเผื่อให้แต่งงานกับลูก ๆ บ้านตระกูลเฉียน แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็หนีหายกันไปเพราะไม่อยากให้แต่งแล้ว แต่บังเอิญว่าตระกูลเฉียนใฝ่สูง พวกเขาจึงจิกกัด เที่ยวพูดไปว่าลูก ๆ บ้านตระกูลเฉียนไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับคนจน ๆ มาวันหนึ่งอาจได้ตบแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยก็ได้ใครจะรู้ ตระกูลเฉียนไม่ง้อ
สำหรับสองพี่น้องเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง พวกเขารู้สึกเอือมระอามาก เพราะหลังจากเกิดเรื่องผู้คนก็เริ่มพูดกันว่าสองพี่น้องเจียงเป็น “ปีศาจ” ที่ยุแหย่ไม่ได้ ถ้าใครเผลอไปยุแหย่เข้าละก็ มีซวยแน่ ๆ
วันนี้เป็นวันที่พวกเจียงเหลียนฮัวถูกปล่อยตัวออกมา เมื่อเช้าโจซื่อมาบอกข่าวว่าให้เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานไปที่บ้านตระกูลเจียงด้วย จะได้รวมตัวกันทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็เป็นญาติกันหมด หากว่ามีความเข้าใจผิดอะไรกันอยู่ก็ให้พูดให้ตกลงกันตรงนั้นเลย ความสนิทสนมกลมเกลียวของครอบครัวจะได้ไม่ถูกทำลาย
เจียงหยุนชานเห็นฝนยังตกไม่หยุด เขาก็ไม่อยากให้เจียงป่าวชิงเดินบนเส้นทางโคลนตมในภูเขา จึงใส่เสื้อกันฝนกับหมวกหญ้าไปที่บ้านตระกูลเจียงด้วยตัวเองเพียงคนเดียว
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องปรับความเข้าใจกัน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือผลลัพธ์ ใครไปก็เหมือนกันนั่นแหละ
เจียงป่าวชิงตอบรับ นางหยิบร่มมาจากมุมห้อง “พี่ ข้าอุ่นน้ำขิงไว้อยู่บนเตา พี่เช็ดหัวเช็ดตัวให้แห้งก่อน ข้าจะไปยกมาให้พี่สักหนึ่งถ้วยนะ ดื่มเถอะร่างกายจะได้อุ่น” พูดเสร็จ นางก็เดินกางร่มออกไป
ตอนนี้ข้างนอกฝนตกแรงจริง ๆ มันเหมือนคนบนฟ้าเทน้ำลงมาจากฟ้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละหนา ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าฝนเทลงมาได้อย่างไร ฝนเม็ดใหญ่ตกลงบนร่มของเจียงป่าวชิง นางต้องยอมรับเลยว่ามันตกหนักมาก
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าพลางมองดูสวนผักในลานบ้าน และก็ต้องส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ น่าเสียดาย… ต้นกล้าที่เพิ่งเติมลงไป เจอกับฝนกระหน่ำครั้งนี้ มันคงถูกแช่จนเน่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อมานางก็ตรงไปดูที่กรงเจ้าสุนัขเลี้ยงทั้งสอง ก็เห็นสองตัวนอนขดอยู่ในกรงอย่างไม่มีชีวิตชีวา คล้ายกับพวกมันหงุดหงิดเล็กน้อยที่อากาศไม่แจ่มใสทำให้อดออกไปวิ่งเล่นทำนองนั้น
เห็นทีว่าฝนไม่ได้ทำให้คนว้าวุ่นใจเพียงอย่างเดียว แม้แต่เจ้าสุนัขทั้งสองเองก็ยังยากจะทนไหวด้วยเช่นกัน
เจียงป่าวชิงส่ายศีรษะเอือมระอาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องครัว บนเตามีน้ำขิงที่อุ่นไฟอ่อน ๆ อยู่ตลอดเวลา นางใช้ผ้ารองมือ ยกมาเทใส่ถ้วยแล้วค่อยถือออกไป
ในตอนที่นางกลับมายื่นน้ำขิงอุ่น ๆ ให้พี่ชายและกำลังจ้องมองเขาดื่ม เสียงแว่ว ๆ เหมือนเสียงเคาะประตูปนกับเสียงฝนก็ดังมาเข้าหู
เจียงหยุนชานวางถ้วยลงและเตรียมลงจากเตียง “เหมือนมีเสียงเคาะประตูนะ ข้าจะออกไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
เจียงป่าวชิงห้ามเจียงหยุนชานไว้ก่อน “ไม่ต้องหรอก พี่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ถ้าออกไปอีกข้าก็เสียแรงเตรียมชุดไปเปล่า ๆ น่ะสิ ข้าออกไปดูเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงคว้าร่มและเดินออกไป
เจียงหยุนชานยังคงรู้สึกไม่วางใจ เขาใส่รองเท้า เดินไปยืนมองน้องสาวอยู่ตรงประตู
มือเล็กเอื้อมไปเปิดประตูก็พบว่าร่างที่อยู่หลังประตูคือเจียงเอ้อยา
เป็นภาพที่น่าแปลกใจพอสมควรเพราะเจียงเอ้อยากางร่มมาแต่นางกลับเปียกชื้น คงเป็นเพราะวิ่งมาหรือไม่ก็เหยียบน้ำโคลนกระเด็นใส่ตัวเองในตอนที่มาที่นี่ บนตัวนางจึงเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน ฟันและร่างของนางสั่นเหมือนไก่ตกน้ำที่หมดสภาพอย่างไรอย่างนั้น
นางเห็นเจียงป่าวชิงดวงตาก็พลันเป็นประกาย และเตรียมเข้าไปจับแขนเจียงป่าวชิงแต่เจียงป่าวชิงก้าวถอยหลังเล็กน้อยพลางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “มีอะไรก็พูดมา แต่ถ้าจะมาลงไม้ลงมือหรือมาคิดร้ายอะไรกับข้าอีก ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”
ความลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของเจียงเอ้อยา นางรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาปฏิบัติตัวเป็นศัตรูกับเจียงป่าวชิง อีกอย่าง นางก็กำลังยืนตัวสั่นเทาท่ามกลางสายฝน มันไม่ดีเลยถ้าจะมัวลีลา
“เจียงป่าวชิง เจ้าช่วยแม่ข้าด้วยเถอะนะขอร้อง… นะ…”
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วพลางคิดในใจ ‘โจซื่ออย่างนั้นรึ มีเรื่องอะไรอีกล่ะ ?’
เจียงเอ้อยายังโชคดีที่ตรงประตูใหญ่มีหลังคากันสาดเป็นแนวซึ่งสามารถบังฝนได้บ้าง นางหนาวจนตัวสั่น แต่ก็พยายามเค้นเสียงพูดย้ำออกมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เสียงดังฟังชัดกว่าเมื่อสักครู่ “เจียงป่าวชิง ข้าขอร้องล่ะ เจ้าช่วยแม่ข้าด้วยเถอะนะ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่พอจะมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านขุนนางอำเภอ นะ… ข้าขอร้อง”
เจียงป่าวชิงได้ยินอย่างชัดเจน แต่คงเป็นเพราะเจียงเอ้อยาตื่นเต้นเกินไป คำพูดของนางจึงไม่มีใจความอะไรเลยนอกจากเอาแต่ขอร้องให้ช่วยแม่ตัวเอง นางแทบไม่ได้อธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงเจียงป่าวชิงไม่อยากสนใจเรื่องของตระกูลเจียง นางยืนฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ และตอบกลับเจียงเอ้อยาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าช่วยไม่ได้ เจ้ากลับไปเถอะ”
ตระกูลเจียงร้ายกาจเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ๆ ก็ตาม ที่นางไม่ได้ไปคิดบัญชีเรื่องเก่า ๆ กับตระกูลเจียงก็เพราะขี้เกียจเกินกว่าจะทำลายการดำเนินชีวิตอันปกติสุขของตัวเอง ถ้าหากว่าตระกูลเจียงไม่ได้เป็นฝ่ายมารนหาที่ตายเอง โดยปกตินางไม่สนใจอีกฝ่ายอยู่แล้ว
แล้วดูสิ ตอนนี้ยังอยากให้นางช่วยอีก
ถ่อมาถึงบ้านคนอื่นที่ตัวเองก็คิดทำร้ายสารพัดเพื่อมาขอให้ช่วย แล้วยังพูดว่ามีแค่เจ้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับท่านขุนนางอำเภอ ฟังแล้วประโยคนี้ก็คือต้องการให้เจียงป่าวชิงไปยักยอกเงินของขุนนางอำเภออย่างลับ ๆ นั่นแหละ
แต่เจียงเอ้อยาคิดผิด ความสัมพันธ์ระหว่างเจียงป่าวชิงกับขุนนางอำเภอจู้ยังไม่ถือว่าสนิทอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้นางจะสนิท นางก็จะไม่ช่วยอะไรคนในตระกูลเจียงเด็ดขาด
แหม ตระกูลเจียงหลายคนทำแย่กับนางมามาก วันนี้ยังจะมีหน้ามาขอให้ช่วย
หาคนเห็นแก่ตัวกว่าพวกนี้ไม่มีอีกแล้ว!
เจียงเอ้อยาตกตะลึงกับสีหน้าไร้ความเมตตาของเจียงป่าวชิง “อะไร… ทำไมเจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้ ถึงยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยอะไรเลย ?!”
เจียงป่าวชิงหัวเราะเบา ๆ ครอบครัวนี้ก็เป็นแบบนี้ตลอด ตอนที่ใช้ประโยชน์จากนางได้ พวกเขาก็จะมาทำตัวเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ตอนที่ใช้อะไรไม่ได้ พวกเขาก็จะด่าว่านางเป็นไอ้เท้าเล็กบ้าง ไอ้ขอทานบ้าง ไม่ก็นังเด็กสารเลวบ้าง
เจียงป่าวชิงมองเจียงเอ้อยาด้วยสายตาดูแคลน คนอย่างเจียงเอ้อยา นางไม่นับเป็นครอบครัวเดียวกันอีกต่อไป
“นี่เอ้อยา ข้าขอถามหน่อยเถอะ อะไรทำให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้าจะทำเหมือนว่าพวกเจ้าเป็นครอบครัวอย่างนั้นรึ ?”
เจียงเอ้อยากัดริมฝีปากล่างที่ขาวซีด นางคุกเข่าลงตรงหน้าเจียงป่าวชิง “ข้า… เอาล่ะข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอยากให้ข้าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเจ้าล่ะสิ ได้ ข้าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเจ้า ข้าขอร้องล่ะป่าวชิง เจ้าช่วยแม่ข้าด้วย ไม่อย่างนั้นนางจะต้องถูกจับตัวไป!”
เสียงของเจียงเอ้อยาฟังไม่ชัดเจนนักท่ามกลางสายฝนเสียงดังเช่นนี้ แต่เจียงป่าวชิงเห็นชัดเจนว่าเจียงเอ้อยากัดฟันพูด จึงเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็น “โทษที เจียงเอ้อยา อะไรทำให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้าจะสนใจการขอความเมตตาของเจ้า ? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครในสายตาข้า ?”
น้ำเสียงของเจียงป่าวชิงไพเราะมาก นางยิ้มแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม เพียงเท่านี้ เจียงเอ้อยาก็รู้สึกอับอายและเจ็บปวดใจราวกับถูกตบหน้าสิบครั้งต่อหน้าฝูงชน