คนที่มาล้อมดูการประลองฝีมือมีไม่มากเพราะหลายคนต้องทำมาหากิน บางคนในมือยังถือเคียวสำหรับตัดหญ้าอยู่เลย ช่วยไม่ได้ เมื่อไม่มีอะไรทำในหมู่บ้าน พวกเขาก็ต้องสร้างผลผลิตจากไร่นา ไม่ก็ให้อาหารหมูและไก่ที่เลี้ยงไว้ทำการค้า ถึงอย่างไรทุกผู้คนก็ต้องดำรงชีวิต
เจียงป่าวชิงขยับเข้าไปดูสักครู่ ร่วมส่งเสียงโห่ร้องพร้อมคนอื่น ๆ ไปด้วย
เสียงโห่ร้องนี้รุนแรงระทึกใจมาก สีหน้าจิ้นเทียนหยู่ที่กำลังประลองฝีมือกับคู่มือพลันเปลี่ยนไป เขาเหลือบมองผู้คนที่ส่งเสียงโห่ร้องอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้พวกเขาสู้กันอยู่และแน่นอนดาบไม่มีตา จิ้นเทียนหยู่เบนความสนใจไปหาสิ่งอื่นเช่นนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามโดยตรง ตอนที่อีกฝ่ายฟันดาบเข้าใส่เขา เขายกดาบของตนขึ้นมาบังทว่ามันช้าเกินไปทำให้คมดาบฟันถูกแขนจนเกิดแผลใหญ่
ถึงอย่างไรทุกคนที่นี่ก็เป็นโจรภูเขา ทันทีที่พวกเขาเห็นจิ้นเทียนหยู่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่เกิดความประหลาดใจมากกว่า
“หัวหน้าสาม วันนี้ท่านไม่ได้กินข้าวมาก่อนหรือขอรับ ?”
ทักษะกังฟูของจิ้นเทียนหยู่นั้นเป็นที่รู้กันว่าโดดเด่นเป็นลำดับต้น ๆ ในหมู่บ้าน ลูกน้องคนที่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ด้วยดาบเผยความดีใจออกมาให้เห็นบนใบหน้า
จิ้นเทียนหยู่โบกมืออย่างหงุดหงิด “ไป ไป ไป!”
หลังจากดูการประลองฝีมือเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายสลายตัวไปอย่างลุกลี้ลุกลน ในหัวคิดกันพัลวันว่าจะรีบแพร่กระจายเรื่องที่หัวหน้าจิ้นประลองฝีมือพ่ายแพ้ในวันนี้
เจียงป่าวชิงพูดในใจว่านางเพิ่งกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะตอบแทนหัวหน้าจิ้นคนนี้อย่างไรดี แต่ตอนนี้โอกาสกลับเป็นฝ่ายมาหานางเองแล้ว
เจียงป่าวชิงถือกล่องยาเข้าไปหาจิ้นเทียนหยู่และเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “หัวหน้าสาม ข้าช่วยพันแผลให้ท่านเอาไหม ?”
หากว่าเป็นเมื่อก่อน จิ้นเทียนอยู่คงโบกมืออย่างรังเกียจเพื่อไล่ให้ไอ้หน้าขาวเจียงป่าวชิงไปให้พ้นทาง ทว่าหลังจากที่ได้รู้ว่าเจียงป่าวชิงไม่ใช่ไอ้หนุ่มหน้าขาว แต่เป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เขาก็รู้สึกอึดอัดใจมาก อยากพูดขึ้นเสียเหลือเกินว่า “ไสหัวไป” ทว่าด้วยจิตใต้สำนึกของตัวเอง เขายั้งปากไว้ได้ทันราวกับรั้งม้าทันก่อนตกริมหน้าผาอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าจิ้นเทียนหยู่เขียวแล้วเขียวอีก ตอนที่เขากำลังสับสนในตัวเอง เจียงป่าวชิงวางกล่องยาลงข้าง ๆ ยื่นมือจะไปเลิกเสื้อของจิ้นเทียนหยู่เพื่อดูแผลให้แต่เขาตอบสนองอย่างยิ่งใหญ่ ก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกพลันโพล่งถาม “เจ้าจะทำอะไร ?!”
ท่าทางตื่นตระหนกเกินไปนี้ คล้ายกับเจียงป่าวชิงจะลวนลามเขาอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงง นางยกผ้าพันแผลในมือขึ้น “อ้าว ถามได้ ข้าก็จะพันแผลให้ท่านไงเล่า”
ตอนนี้จิ้นเทียนหยู่ถึงตระหนักได้ว่าดูเหมือนตัวเขาเองมีปฏิกิริยามากเกินไปจึงหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวถอยหลังอย่างเก้อเขิน “เอ่อ… แผลเล็กนิดเดียว ไม่ต้องพันมันหรอก…”
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากมุมมองของมืออาชีพอย่างนาง บาดแผลของจิ้นเทียนหยู่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่เล็กน้อยเลย โดยเฉพาะช่วงนี้ ถึงแม้ว่าอากาศจะค่อย ๆ เย็นลงแต่ที่นี่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ และถ้าหากแผลติดเชื้อก็ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
คิดมาถึงตรงนี้ เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างแข็งกร้าว “หัวหน้าสามยื่นแขนออกมาเถอะ หมออย่างข้าจะเป็นคนบอกเองว่าแผลเล็กหรือไม่เล็ก”
“…” จิ้นเทียนหยู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายครั้ง จนแล้วจนรอดเขาก็ยื่นแขนออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เจียงป่าวชิงถอดเสื้อคลุมของจิ้นเทียนหยู่ออกและพบว่าเสื้อผ้าตรงใกล้ ๆ บาดแผลแนบติดกับแผลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ ถ้าเจ็บท่านก็บอกข้าสักคำสิ”
น้ำเสียงของจิ้นเทียนหยู่เจือความหงุดหงิดระคนสับสน “เหอะ! แผลเล็กแค่นี้จะเจ็บได้ยังไง”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจคำพูดของเขา นางก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาอย่างระมัดระวังจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าของเขาในขณะนี้ ทว่าก็ดีแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นนางก็จะพบว่าใบหน้าของจิ้นเทียนหยู่ในตอนนี้แดงเหมือนลูกพลับเลยทีเดียว
เจียงป่าวชิงทำแผลอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วค่อยโล่งใจขึ้นบ้างก่อนจะพูดกำชับเขาว่า “อย่าให้แผลโดนน้ำในสองสามวันนี้ พยายามอย่ากินอะไรเผ็ด ๆ และอย่าชกต่อยกับใคร ไม่อย่างนั้นถ้าแผลท่านฉีก คนที่เจ็บคือตัวท่านเอง”
จิ้นเทียนหยู่แค่นเสียงตอบรับออกมาจากในลำคอ
“อืม ในเมื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว งั้นข้าขอตัวไปตรวจร่างกายให้ไป๋เหล่าจิ่วต่อ” เจียงป่าวชิงโบกมือ หยิบกล่องยาขึ้นมาแล้วเดินจากไป
……
ช่วงเวลาหลังจากที่ไป๋เหล่าจิ่วได้รับบาดเจ็บนั้นค่อนข้างน่าเบื่ออยู่หน่อย ๆ เขาไม่ใช่คนที่สามารถอยู่ว่าง ๆ ได้ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้คงไม่ออกไปเดินเตร่ตอนฝนตกจนทำให้ตกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้นหรอก
ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงไปพลาง ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายไปพลาง
ไป๋เหล่าจิ่วหมดอาลัยตายอยาก ทว่าทันใดนั้นเอง หูพลันได้ยินเสียงเจียงป่าวชิงดังมาจากด้านนอก
“เหล่าจิ่ว ข้าเข้าไปนะ”
ไป๋เหล่าจิ่วขานรับทันที “ได้ หมอเจียงรีบเข้ามา รีบเข้ามาเลย” เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าอาการของตัวเขาเองในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แล้วเมื่อไหร่เขาจะสามารถออกไปเดินเตร่ได้อีกครั้ง
เจียงป่าวชิงถือกล่องยาเข้าไปในห้อง ไป๋เหล่าจิ่วกำลังจะเอ่ยถามนางแต่เขากลับเห็นหัวหน้าสามของพวกเขาเดินตามนางเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ที่พักของไป๋เหล่าจิ่วนี้เจียงป่าวชิงมาบ่อย จิ้นเทียนหยู่ก็มาบ่อย แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนมาด้วยกัน
แทบจะทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน เหตุไฉนใยวันนี้พวกเขาถึงมาด้วยกันได้ หรือว่าข้างนอกฝนตกเป็นสีแดงอย่างนั้นรึ
ไป๋เหล่าจิ่วคิดเพ้อเจ้อ
เจียงป่าวชิงจับชีพจรให้ไป๋เหล่าจิ่ว ต้องบอกว่าร่างกายของไอ้หนุ่มนี่ดีและแข็งแรงมากจริง ๆ คนธรรมดาไม่อาจทนกับอาการบาดเจ็บนี้และดีขึ้นภายในเวลาเพียงครึ่งปีได้ หากว่ายังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่เกินสามเดือนเขาก็ออกไปเดินไปใช้ชีวิตได้
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ นั่นทำให้หัวใจของไป๋เหล่าจิ่วกระโดดโลดขึ้นไปถึงคอหอย น้ำเสียงของเขาสั่นคลอนเล็กน้อย “ไม่ใช่สิหมอเจียง… ข้าทำไม ช่วยไม่ได้แล้วหรือว่าอะไรกันแน่ ?!”
“ไม่หรอก ตรงกันข้าม เจ้าฟื้นฟูได้ดีเกินไปต่างหาก” เจียงป่าวชิงถอนหายใจและส่ายหน้าไปด้วย “สภาพร่างกายเจ้านี่ช่างดีจริง ๆ ข้าไม่ได้พูดเล่น”
“สวรรค์ งั้นก็ดีสิ เฮ้อ… หมอเจียงนี่ก็นะ จะถอนหายใจทำไม ข้าตกใจหมด!” ไป๋เหล่าจิ่วดีใจแทบร้องไห้ เขาพูดเสร็จก็คิดจะปาหมอนใส่เจียงป่าวชิง
แต่จิ้นเทียนหยู่กลับชกหมอนที่ไป๋เหล่าจิ่วปามาออกไปจากด้านข้าง ทำให้ไป๋เหล่าจิ่วงงเป็นไก่ตาแตก “หัวหน้าสาม นี่ท่านทำอะไรขอรับ ?”
จิ้นเทียนหยู่ขมวดคิ้ว “เจ้านั่นแหละปาหมอนทำไม ?”
ไป๋เหล่าจิ่วคิดว่าหัวหน้าสามของพวกเขาคงจะเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะโกรธปาหมอนออกไปแรงเกินและทำให้อาการแย่ลง ช่างเป็นพี่ใหญ่ที่เอาใจใส่ดีจริง ๆ เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก
เจียงป่าวชิงโน้มตัวไปข้างหน้า เตรียมพร้อมปลดกระดุมเสื้อของไป๋เหล่าจิ่วเพื่อดูสภาพกระดูกซี่โครงของเขา แต่จิ้นเทียนหยู่ที่มองอยู่กลับรู้สึกชาหนังศีรษะ เขากดมือเจียงป่าวชิงและพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “นี่เจ้าจะทำอะไร ?! ชาย…” เขาเกือบพูดว่า ‘ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน’ ออกมาแล้ว โชคดีที่ยั้งไว้ทัน เขาไม่ได้พูดออกมา
ไป๋เหล่าจิ่วกับเจียงป่าวชิงต่างก็รู้สึกมึนงงกับการกระทำของจิ้นเทียนหยู่
เจียงป่าวชิงชักมือตัวเองออกจากมือจิ้นเทียนหยู่ แต่นางไม่ได้คิดอะไรมากมาย “อะไรของท่านหนิ ข้าแค่จะดูกระดูกซี่โครงให้เหล่าจิ่วเท่านั้น ท่านทำเหมือนกับว่าข้าจะลวนลามเขาอย่างนั้นแหละ”
ความคิดเดียวปรากฏขึ้นในหัวของไป๋เหล่าจิ่ว ที่หัวหน้าสามรู้สึกประหม่าเป็นห่วงเขาขนาดนี้… ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายชอบเขาหรอกนะ
เมื่อคิดไปถึงการที่หัวหน้าสามดีกับเขามากในตอนก่อนหน้านี้ ให้โสมที่อายุกว่าร้อยปีเป็นค่ารักษาอาการ ช่วงหลังมักจะมาดูเขาบ่อย ๆ และไหนจะก่อนหน้านี้ที่พวกพี่น้องในหมู่บ้านเคยพาหัวหน้าสามไปเปิดโลกที่ซ่องนางโลมล่างภูเขา แต่หัวหน้าสามของพวกเขาทิ้งนางโลมหนีกลับมา ทำเอาพวกเขาถูกแม้เล้าในซ่องนางโลมบ่นว่าเป็นเวลานานเลยทีเดียวนั่นอีกเล่า
สถานการณ์ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งหนึ่งคือ… หัวหน้าสามของพวกเขาไม่ได้ชอบหญิงสาว แต่ชอบชายชาตรีเช่นเขา!
ไป๋เหล่าจิ่วสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว เขามองจิ้นเทียนหยู่อย่างหวาด ๆ และรีบกระชับผ้าห่มคลุมตัว “หัวหน้าสาม ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ข้าไม่ได้ชอบผู้ชายนะขอรับ!”
.