กู้ไป๋อีไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด และตอบตกลงทันที “ตกลง!”
เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทุกคนต่างก็ตะลึงงันกันยกใหญ่
“มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นั้นพอได้รับความโปรดปรานความไว้วางใจก็จะเย่อหยิ่งเกินไปแล้วกระมัง! นึกไม่ถึงเลยว่าจะให้องครักษ์ฝ่ายซ้ายไปเป็นคู่ฝึกซ้อม ความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นของเขาเหมาะสมจะเป็นคู่ซ้อมของยอดฝีมืออย่างองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ยังไงกันเล่า”
“องครักษ์ฝ่ายซ้ายเป็นคนที่ยุติธรรมเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น หากไม่ใช่เพราะมีท่านหัวหน้าตำหนักคอยปกป้องมู่หรงเฉียนเยี่ยอยู่ คาดว่าองครักษ์ฝ่ายซ้ายคงจะตัดหัวเจ้าหนุ่มผู้ไม่รู้จักชั่วดีผู้นั้นไปแล้ว”
“……”
และเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดได้ยินข่าวนี้เข้าก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที
“นับตั้งแต่มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้เข้ามาในตำหนักเป่ยหาน ข้าก็คาดเดาความคิดความอ่านของท่านหัวหน้าตำหนักไม่ถูกแล้ว ปกติท่านหัวหน้าตำหนักชอบเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอย่างเดียว แต่ตอนนี้กลับไม่เข้าไปเก็บตัวฝึกบำเพ็ญเหมือนเดิมแล้ว” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงขรึม
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่ข้างเขากล่าวว่า “ที่ท่านหัวหน้าตำหนักไม่เคยสนใจในสตรี เกรงว่าจะเป็นเพราะ…”
“หุบปาก! เรื่องของท่านหัวหน้าตำหนัก พวกเราจะเอามาวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวตำหนิ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นั้นขอคนของข้า ข้าให้เขาก็ถูกต้องแล้ว อย่างไรเสียหลิงก็อยู่ในการควบคุมของข้า บางทีการใกล้ชิดกับเจ้าหนุ่มที่ท่านหัวหน้าตำหนักให้ความสนใจเพียงคนเดียว ก็อาจจะทำให้รู้รายละเอียดในเรื่องของเขาก็ได้”
“ไปตามหลิงมา!”
“ขอรับ!”
เรื่องที่ผู้อาวุโสสูงสุดมอบหมายให้ หลิงไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ดังนั้นจึงไปรายงานตัวที่ตำหนักของท่านหัวหน้าตำหนัก
หลิงรู้สึกได้ว่าตำหนักอันเย็นยะเยือกนี้ของท่านหัวหน้าตำหนักดูเป็นที่นิยมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ทันทีที่เขาเดินเข้ามาก็เห็นชายหนุ่มผู้เย็นยะเยือกราวกับภูเขาหิมะเหลือบมองมาที่เขา ท่านหัวหน้าตำหนักที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสนใจผู้ใด ตอนนี้กลับมองเขาอย่างพิจารณา
หลิงกล่าวเสียงขรึมว่า “คารวะท่านหัวหน้าตำหนัก!”
หลังจากที่กลับมาจากทำภารภารกิจครั้งนี้ เขาได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับนายน้อยของตำหนัก
เพื่อชายหนุ่มเพียงคนเดียว หัวหน้าตำหนักถึงกับส่งเด็กเวรสามคนนั่นไปขังที่ผาเฮยหาน ลงมือฆ่าผู้อาวุโสห้าด้วยตัวเอง ปลดตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ออก
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
ตอนนี้หลิงไม่เข้าใจถึงความคิดของท่านหัวหน้าตำหนักเลย แต่หากได้รู้จักแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นใคร คาดว่าเขาคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและทำรุนแรงกว่าที่กู้ไป๋อีทำแน่นอน
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นางรอเจ้าอยู่ข้างใน ตามข้ามาเถอะ!”
หลิงไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่ท่านหัวหน้าตำหนักโปรดปรานผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย เขามาก็เพื่อที่จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาก็เท่านั้น
เมื่อมู่เฉียนซีได้ยินเสียงก้าวเท้า นางก็หยุดการฝึกฝนทันที ร่างของนางเคลื่อนไหวมาตรงหน้าชายรูปงามในชุดคลุมยาวสีแดงเข้ม จับแขนเขาและกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “อารอง!”
ชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาที่เขาไม่คุ้นเคยเลย แต่ดวงตาคู่นั้น รอยยิ้มอันคุ้นเคยนี้ หลิงจะจำไม่ได้ได้อย่างไรกันเล่า
“ซีเอ๋อร์!” แววตาของหลิงเผยความตื่นเต้นออกมา
แต่หลังจากความตื่นเต้นหายแล้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ตอนนี้ยังมีคนนอกอยู่ตรงนี้อยู่ด้วย
คนนอกผู้นี้ก็คือหัวหน้าตำหนัก!
ร่างของหลิงแผ่ซ่านเจตนาแห่งการเข่นฆ่าสังหารออกมาอย่างน่ากลัว กระบี่ถูกชักออกมาจากฝัก เสียง วิ้ง วิ้ง! ดังขึ้น
หากเขาถูกเปิดโปงก็จะทำให้ซีเอ๋อร์เป็นอันตราย ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ เขาก็จำเป็นจะต้องฆ่าทิ้งโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
มู่เฉียนซีจับแขนหลิงและห้ามเขาเอาไว้ “อารอง ไป๋อีเป็นคนที่ข้าไว้ใจ ข้าบอกเรื่องทุกอย่างกับเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องระมัดระวัง!”
ไป๋อี นึกไม่ถึงเลยว่าจะเรียกได้อย่างสนิทชิดเชื้อเช่นนี้
ในตอนนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นของหลิงยิ่งทวีความน่ากลัวมากขึ้น
กู้ไป๋อี ในนามของหัวหน้าตำหนักแห่งตำหนักเป่ยหาน น้อยคนนักที่จะรู้จัก
เนื่องจากท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหานท่านนี้มักจะเก็บตัวฝึกบำเพ็ญมาเป็นเวลานานหลายปี ไม่ออกไปข้างนอก และต่อให้ออกไปก็จะหาผู้ที่มีพลังความแข็งแกร่งในระดับเดียวกันเพื่อท้าประลอง
ดังนั้นจึงมีเพียงแค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่จะรู้จักชื่อของเขา และทั้งตำหนักเป่ยหานก็มีเพียงแค่ผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นที่รู้
หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสสูงสุดหลุดปากพูดออกมาละก็ เขาเองก็ไม่มีทางรู้ชื่อของท่านหัวหน้าตำหนักเลย
มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของอารองของตนเองนั้นไม่ค่อยคงที่ นางจับข้อมือเขาและกล่าวว่า “อารอง ท่านได้รับบาดเจ็บ”
“ตาเฒ่านั่นมอบภารกิจอันตรายให้ท่านไปทำอีกแล้ว”
มู่เฉียนซีรีบดึงเขามาทำแผลด้วยความร้อนใจ ในที่สุดสองอาหลานก็สามารถนั่งคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้ว มู่เฉียนซีมีความสุขมาก
กู้ไป๋อีให้พื้นที่กับพวกเขา ซีเอ๋อร์มีความสุข ทุกอย่างก็ดี
อย่างไรเสียหลิงก็ถูกมู่เฉียนซีรั้งให้อยู่ด้วย นอกจากที่ต้องไปรายงานสถานการณ์ให้ผู้อาวุโสสูงสุดฟังในทุกวันแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่หลิงมีความสุขมากที่สุดในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
“ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นคนระมัดระวังตัวแน่นหนาเสมือนกำแพงเหล็กกล้า ไม่มีที่ขาดตกบกพร่องให้ถูกจับผิดและโจมตีได้เลย หาข้อบกพร่องของเขาไม่ได้เลย” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ
ยิ่งได้อยู่กับอารองมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งอยากให้อารองกลับมาเป็นอิสระเร็วมากขึ้นเท่านั้น และอยากให้ความทรงจำเก่า ๆ ของเขากลับคืนมา
เมื่อเห็นหลานสาวผู้เป็นที่รักครุ่นคิดหาวิธีเพื่อจะช่วยเขาเช่นนี้ หลิงก็รู้สึกสงสารนางอย่างสุดหัวใจ “ซีเอ๋อร์ไม่ต้องร้อนใจไป ขอเพียงแค่ซีเอ๋อร์อยู่ดีมีสุข อารองจะเป็นเช่นไรก็ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงกันล่ะ!” มู่เฉียนเขม็งตาใส่เขา
“หัวใจของท่าน ชีวิตของท่าน หากอยู่ในกำมือของตาเฒ่าจิ้งจอกนั่น ข้าไม่สบายใจแม้แต่วันเดียว”
“เป็นเพราะอารองไม่ดีเอง!” หลิงกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซียังหาข้อบกพร่องไม่เจอ แต่ตอนนี้เหล่าบรรดาผู้อาวุโสของตำหนักเป่ยหานต่างพากันมาหากู้ไป๋อีและกล่าวรายงานว่ามีเรื่องจะมาปรึกษาหารือ
มู่เฉียนซีกล่าว “ตาเฒ่าพวกนั้นคิดจะทำสิ่งใดอีก เสี่ยวไป๋ ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า! เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนพวกนั้นรังแกเจ้า”
หลิงจนปัญญามาก หลานสาวตัวเองเข้าข้างพรรคพวกตัวเอง แค่ปกป้องเขาก็พอแล้วไม่ได้เหรอ เหตุใดต้องไปปกป้องชายอื่นด้วย
คนตรงหน้าผู้นี้เป็นถึงหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ผู้ใดจะกล้ารังแกเขาได้ล่ะ!
อย่างไรก็ตาม ท่านองครักษ์ฝ่ายซ้ายตอนนี้เกิดอาการหึงหวงเข้าแล้ว หึงหวงท่านหัวหน้าตำหนัก
คนทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศคาดว่าไม่มีผู้ใดคิดว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศจะถูกคนรังแก แต่มู่เฉียนซีกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
หากต่อสู้กันด้วยพลังความแข็งแกร่ง เสี่ยวไป๋ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดแน่นอน แต่หากเล่นอุบายคาดว่าจะไม่ได้
มู่เฉียนซีเป็นห่วงเขาเช่นนี้ทำให้กู้ไป๋อีรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ตกลง! เราไปด้วยกัน”
หลิงกล่าว “ท่านหัวหน้าตำหนัก ซีเอ๋อร์ของข้าเป็นหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลมู่ของพวกเรา ไม่ว่าใคร ก็ไม่อาจทำให้นางต้องกล้ำกลืนใจเป็นอันขาด”
กู้ไป๋อีมองหลิงและกล่าวว่า “นางเป็นคนเดียวที่ข้ากู้ไป๋อีห่วงใยมากที่สุด”
เห็น ๆ กันอยู่ว่าคำตอบของไป๋อีทำให้คนที่ฟังรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่หลิงกลับรู้สึกคันไม้คันมืออยากต่อยเขาสักหมัดจริง ๆ
ครานี้ บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายเชิญกู้ไป๋อีไปล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ
นอกจากผู้อาวุโสห้าแล้ว ผู้อาวุโสทุกท่านล้วนแต่อยู่กันครบ และผู้อาวุโสสูงสุดคนเก่าอีกสามท่านที่เก็บตัวบำเพ็ญตอนนี้ก็มาร่วมนั่งลงแล้ว ทุกคนระมัดระวังและดูจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
ร่างในชุดขาวอันคุ้นเคยนั้นปรากฏขึ้น ข้างกายยังมีชายหนุ่มสวมชุดขาวเหมือนกันกับเขามาด้วย
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสเห็นเช่นนี้ล้วนแต่เบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ ผู้อาวุโสสูงสุดคนเก่าผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนัก ครั้งนี้เราจะหารือเรื่องสำคัญกัน ถึงแม้เจ้าหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนในตำหนักเป่ยหาน แต่ด้วยตัวตนและคุณสมบัติของเขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการปรึกษาหารือในครั้งนี้นะขอรับ”
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากเขาไป ข้าก็ไป! เขาอยู่ ข้าก็จะอยู่!”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจนช้ำใจ!
พวกเขาต้องการไล่เจ้าหนุ่มผู้นี้ไป แต่นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะกล่าวเช่นนี้ออกมา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะทำให้พวกเขาลำบากใจถึงเพียงนี้ สีหน้าของผู้อาวุโสที่อยู่ ณ ที่นี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าจานสีเสียอีก
.
.