นายน้อยใหญ่เหลือบมองมู่เฉียนซี ใบหน้าเผยรอยยิ้มราวกับพี่ชายข้างบ้านที่มองมาด้วยความมีน้ำใจพลางกล่าวว่า “ต้องบอกเลยว่าสายตาของท่านหัวหน้าตำหนักนี่เฉียบแหลมยิ่งนัก แต่อย่างไรเสียอายุของเจ้าก็ยังน้อย ระยะเวลาในการฝึกบำเพ็ญก็ค่อนข้างที่จะสั้น ต้องการเอาชนะข้า เจ้ามันยังอ่อนหัดนัก ประลองกระบี่ตาบอด เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสให้ท่านหัวหน้าตำหนักปวดใจ ศิษย์น้อง เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ!”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดว่า เพื่อไม่ให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดปวดใจ เจ้ารีบยอมแพ้เสียเถอะล่ะ!”
นายน้อยใหญ่แห่งตำหนักเป่ยหานผู้นี้ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดทุ่มเทกายใจฝึกฝนอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสสูงสุดทำกับอารองของตัวเอง และเมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ นางก็อดที่จะโกรธแค้นไม่ได้!
ตอนนี้ยังจัดการตาเฒ่านั่นไม่ได้ แต่ศิษย์ของเขาแสดงอำนาจข่มขู่นางอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ หากไม่ลงมือต้องรู้สึกผิดกับตนเองเป็นแน่
“ศิษย์น้องช่างเย่อหยิ่งอย่างที่คนเขาร่ำลือกันจริง ๆ เช่นนั้นข้าก็คงไม่ต้องยั้งมือไว้ไมตรีแล้ว!”
ทันทีที่แววตาคู่นั้นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา จู่ ๆ มือคู่หนึ่งก็ถูกปกคลุมด้วยอัสนีสีเงิน
ทั่วทั้งร่างกายแผ่ซ่านพลังอันน่าเกรงขามออกมาแล้ว ทุกคนตกตะลึงขึ้นทันใด
“มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด นายน้อยใหญ่ทะลวงระดับเจ็ดได้แล้ว”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุสายฟ้าขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด ครั้งนี้มู่หรงเฉียนเยี่ยเอาชนะไม่ได้แน่นอน”
“……”
ตอนนี้พลังวิญญาณของนายน้อยใหญ่เทียบเท่ากับพลังวิญญาณของเฟิงอวิ๋นซิว แต่เขากลับไม่สามารถทำลายสถิติของเฟิงอวิ๋นซิวได้
เนื่องจากอายุของเขานั้นใกล้จะสี่สิบปีแล้ว แต่อายุของเฟิงอวิ๋นซิวกลับยังไม่ถึงยี่สิบปี
ดวงตาของอวี้ปิงชิงเย็นยะเยือกขึ้น การที่นายน้อยใหญ่ทะลวงพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดนั้น เป็นเรื่องที่นางคิดไม่ถึงจริง ๆ
มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าต้องมาตายในน้ำมือของข้า จะพ่ายแพ้ในด่านนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
พลังธาตุสายฟ้าส่งเสียง ฉึก ฉึก! ออกมา ร่างของนายน้อยใหญ่ตอนนี้พุ่งเข้าไปหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาดก็มิปาน
ทันทีที่กระบี่ยาวของมู่เฉียนซีขยับขึ้น นางก็ตะโกนอย่างเย็นชาว่า “เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
นายน้อยใหญ่หลบหลีกกระบี่ของมู่เฉียนซีได้ และในขณะเดียวกันการโจมตีของเขา มู่เฉียนซีก็หลบหลีกได้เช่นกัน
“นี่มู่หรงเฉียนเยี่ยฝึกฝนทักษะร่างอันใดกัน นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถหลบหลีกการโจมตีพลังธาตุสายฟ้าของนายน้อยใหญ่ได้!”
หมัดของนายน้อยใหญ่กลายเป็นกรงเล็บอันแหลมคม ลำแสงสายฟ้าปรากฏขึ้นและพุ่งไปทางมู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วและดุดัน
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
เผชิญหน้ากับกรงเล็บสายฟ้าเช่นนี้ มู่เฉียนซีจึงใช้กำแพงน้ำแข็งเป็นโล่กำบัง
ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวไปมา วนรอบนายน้อยใหญ่อยู่กลางอากาศ!
“ทักษะโยวหลัว!”
ทักษะวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังการทำลายล้างโจมตีลงไปจากกลางอากาศ ตาข่ายสายฟ้าหนึ่งตีทักษะโยวหลัวของนางกลับไป
ทักษะโยวหลัวของตนเองนั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใดมู่เฉียนซีย่อมรู้อยู่แก่ใจดี คลื่นพลังพัดกระโชก เส้นผมของมู่เฉียนซีและชุดคลุมยาวพัดสยายด้วยแรงลมนั้น
นายน้อยใหญ่เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาที่มุมปาก “รสชาติของการพ่ายแพ้ให้แก่การโจมตีของตัวเอง หวังว่ามันจะไม่เลวนะ!”
มู่เฉียนซีโคจรพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งต้องการจะหลบการโจมตีนี้
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ กำแพงพลังวิญญาณระดับหกนั้นถูกมู่เฉียนซีพังทลายลงแล้ว
พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ ทักษะร่างกลับมารวดเร็วที่สุด เนื่องจากเข้าใจทักษะวิญญาณของตนเองดี มู่เฉียนซีจึงรีบหลบหลีกอย่างสุดชีวิต
เสียง ตูม! ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขึ้น การโจมตีนั้นแฉลบผ่านร่างมู่เฉียนซีไป
หลบได้อย่างปลอดภัย และได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ฉากเมื่อครู่ช่างน่าหวาดเสียวเสียจริง
กู้ไป๋อีที่กำลังจะชักกระบี่ออกมาในก่อนหน้านี้ ตอนนี้สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลงแล้ว
และในขณะที่นายน้อยใหญ่จะโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง กระบี่ยาวเล่มนั้นของมู่เฉียนซีก็ต้อนรับเขาแล้ว
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
“เงาจันทราคู่!”
สองกระบวนท่ากระบี่ สามเงาจันทราพุ่งเข้าไปที่เขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ไม่สิ! มันรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดเสียอีก
ลำแสงสายฟ้าออกมาป้องกันอย่างบ้าคลั่ง แต่นายน้อยใหญ่ก็ยังคงถูกสามเงากระบี่นั้นโจมตีอยู่ดี
ต่อก! ต่อก! เสียงเลือดหยดลงมากระทบพื้นลานประลองยุทธ์
แววตาของนายน้อยใหญ่พลันโหดร้ายขึ้นมาในทันที “ยอดเยี่ยมมาก! เจ้ามันยอดเยี่ยมจริง ๆ ข้าไม่ได้เห็นเลือดตัวเองมานานมากแล้ว”
เสียงฟ้าคำรามและลำแสงสายฟ้านั้นแพรวพราวจนคนไม่อาจละสายตาได้ นายน้อยใหญ่โจมตีอย่าดุเดือดอีกครั้ง
มู่เฉียนซีที่เลื่อนขั้นพลังวิญญาณระดับเจ็ดได้แล้ว ในตอนนี้ก็พยายามรับมืออย่างสุดชีวิต!
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง! กลางอากาศ ร่างของทั้งสองต่อสู้ไปมาอย่างบ้าคลั่งทำให้ทุกคนที่ชมการประลองอยู่ตื่นตาตื่นใจมาก
พลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว มู่เฉียนซีจึงต่อสู้ได้อย่างดุเดือดมาก
“บ้าไปแล้ว! สองคนนั่นบ้าไปแล้วจริง ๆ!”
“นี่ข้าเห็นไม่ชัดแล้วเนี่ย ตกลงใครได้เปรียบอยู่กันแน่!”
“ประเดี๋ยวก็ได้รู้ผลแล้ว สูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้คงยื้อได้ไม่นานหรอก!”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองที่ต่อสู้กันไปมาอย่างบ้าคลั่งนั้นก็ได้หยุดลงแล้ว
เส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นที่หน้าผากของนายน้อยใหญ่และกระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างรุนแรง
แต่มู่หรงเฉียนเยี่ย ถึงแม้ว่าผมเผ้าจะยุ่งเหยิง ชุดคลุมยาวจะขาดเป็นรูเสียหาย แต่ยังคงสงบนิ่งอยู่
“จะ เจ้า…”
นายน้อยใหญ่เบิกตากว้างจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความตกใจราวกับได้เห็นผีเข้าเสียแล้ว!
เขาสูญเสียพลังวิญญาณไปมากมายเช่นนี้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ ดูเหมือนยังมีพลังวิญญาณอยู่เต็มเปี่ยมอย่างไรอย่างนั้น
มู่เฉียนซีค่อย ๆ ง้างกระบี่ในมือขึ้น และกล่าวว่า “ทักษะการสู้รบของเจ้ามันผิดไปตั้งแต่แรกเริ่มแล้วล่ะ! สูญเสียพลังไปมากถึงเพียงนี้ เจ้าต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”
“เงาจันทราคู่!”
เคล็ดเทพต้านสวรรค์จะมอบพลังวิญญาณให้แล้วอยู่ในตัวอย่างนับไม่ถ้วน อีกทั้งนางยังเตรียมพร้อมยาวิญญาณมามากมายเช่นนี้อีก
คิดจะแข่งขันพลังวิญญาณกับนาง นั่นเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
ถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังวิญญาณไปมาก แต่นายน้อยใหญ่ก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ เด็ดขาด!
แต่การโจมตีของมู่เฉียนซีกลับพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “มังกรวารีพิฆาต!”
“นึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยที่มีพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกจะรวดเร็วกว่านายน้อยใหญ่ที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดได้ นี่มัน เป็นไปได้ยังไง?” เมื่อเห็นนายน้อยใหญ่ที่กำลังดิ้นรนรับมืออย่างสุดกำลังเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจขึ้น
“ทักษะร่างของมู่หรงเฉียนเยี่ยนั้นแข็งแกร่งมาก!”
“ท่านหัวหน้าตำหนักดีกับเขาถึงเพียงนั้น ยาลูกกลอนสำหรับฟื้นฟูพลังก็คงจะให้เขาไม่น้อย”
การโจมตีของพลังธาตุวารีอย่างคล่องแคล่วว่องไวแต่ละกระบวนท่านั้นทำร้ายนายน้อยใหญ่ทีละก้าว ๆ
ทันทีที่ร่างในชุดขาวนั้นกระพริบขึ้นสู่กลางอากาศ นางง้างมือขึ้นอย่างรุนแรง!
“คราวนี้ ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังมีพลังวิญญาณทำให้ทักษะโยวหลัวของข้าตีกลับมาอีกหรือไม่”
“ทักษะโยวหลัว!”
ทักษะวิญญาณกระแทกลงมาจากกลางอากาศ อย่าว่าแต่มีแรงตีกลับเลย แม้แต่จะหลบหลีกในตอนนี้นายน้อยใหญ่ก็เคลื่อนไหวได้ลำบากแล้ว
เสียง ตูม! ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขึ้น และร่างของนายน้อยใหญ่ก็กระเด็นลอยออกไปจากลานประลองยุทธ์!
พรวด! เขากระอักเลือดคำโตออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับจะกระอักอวัยวะภายในออกมาด้วยก็มิปาน
ร่างของเขานอนอ่อนปวกเปียกอยู่กับที่ กระดูกในร่างกายส่วนใหญ่ล้วนแต่แตกหักลงแล้ว
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดดำคล้ำขึ้น มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าบัดซบ!
ส่วนอวี้ปิงชิงในตอนนี้เผยสีหน้าเย้ยหยันออกมา มู่หรงเฉียนเยี่ย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะเอาชนะได้ ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ!
“มู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นฝ่ายชนะ!” ผู้ตัดสินประกาศชัยชนะให้นาง
การแข่งขันแปดคนสุดท้ายสิ้นสุดลง ต่อไปจะเป็นการแข่งขันสี่คนสุดท้ายเพื่อเลือกผู้เข้ารอบสองคนสุดท้าย
นายน้อยสามจับฉลากได้อวี้ปิงชิงเป็นคู่ต่อสู้ เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หรงเฉียนเยี่ย และไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้ปิงชิง ดังนั้นจึงเอ่ยขอยอมแพ้
คู่ต่อสู้ในรอบนี้ของมู่เฉียนซีเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง
ตลอดการประลองที่ผ่านมาโชคดีมากที่ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้อย่างศิษย์สายตรงของเหล่าผู้อาวุโส และมู่หรงเฉียนเยี่ย
ครั้นแล้วตอนนี้เขาจึงเอ่ยปากกล่าวว่า “ขะ ข้า ข้ายอมแพ้!”
เมื่อได้เห็นการต่อสู้ที่สุดยอดเมื่อครู่แล้ว เขารู้ตัวเองดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หรงเฉียนเยี่ยแน่นอน
การประลองในรอบนี้สิ้นสุดลงเร็วมาก ไม่นานนักการประลองรอบตัดสินในรอบสุดท้ายก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“การประลองรอบตัดสิน มู่หรงเฉียนเยี่ยกับอวี้ปิงชิง”
ทุกคนจ้องมองไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่บนลานประลองยุทธ์นั้น คนที่ถูกคัดเลือกให้เป็นประมุขน้อยแห่งตำหนัก จะถูกคัดเลือกมาจากสองคนนี้ อวี้ปิงชิงมองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย ในที่สุด ข้าก็ได้ต่อสู้กับเจ้าสักที”
.