บทที่ 234 เช็ดขา
อีกอย่าง……
พอเขาคิดว่าคนอื่นก็อาจได้เห็นจางซิ่วเอ๋อในรูปแบบนี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ ขึ้นมาในใจ
ความรู้สึกหงุดหงิดนั้นผสมผสานเข้ากับความรู้สึกผิดและโทษตัวเองเข้าด้วยกัน ทำให้เนี่ยหย่วนเฉียวรู้สึกทุกอย่างในเวลาเดียวกัน
จางซิ่วเอ๋อได้ยินเช่นนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นยุคโบราณ แม้หญิงสาวในหมู่บ้านจะไม่ถือเรื่องยิ้มไม่เห็นฟันเดินไม่เห็นเท้า แต่ผู้หญิงที่เปิดเผยขาตัวเองให้ผู้ชายเห็นอย่างไม่คิดมากแบบตนนั้นคงไม่มีหรอก
เนี่ยหย่วนเฉียวคงไม่คิดว่านางเป็นผู้หญิงใจง่ายหรอกใช่ไหม?
จางซิ่วเอ๋อสะบัดน้ำที่เท้าออก ตัดสินใจว่าจะสวมรองเท้าไปทั้งแบบนี้แหละ เดี๋ยวขากลับค่อยเอารองเท้าไปตาก
เนี่ยหย่วนเฉียวคงสังเกตเห็นการกระทำของจางซิ่วเอ๋อ จึงมองมาอีกครั้งโดยพยายามไม่ให้สายตาของตัวเองไปมองเท้าของจางซิ่วเอ๋อ ถือว่ารักษามารยาทของสุภาพชนไว้ได้
จากนั้นเขาจึงหยิบผ้าผืนหนึ่งของตัวเองออกมาและยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ “เช็ดเท้าซะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างพิจารณา หน้าตาเขาเคร่งเครียดทว่าเจือความสุภาพไว้ด้วย กดความรู้สึกเคร่งเครียดนั้นลงไปได้เล็กน้อย จนคนทั้งคนดูเหมือนกระบี่ล้ำค่าที่ยังไม่ออกจากฝัก
นัยน์ตาของเขาลึกล้ำ ตอนที่มองนางกลับเหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไร้ซึ่งการสั่นกระเพื่อมของผิวน้ำ ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ธรรมดายิ่ง
จางซิ่วเอ๋อหัวเราะแห้ง “ไม่ต้องหรอก” ผ้าผืนนี้เนี่ยหย่วนเฉียวไว้ใช้เช็ดมือ จะให้นางเอามาเช็ดเท้าหรือ…..ถึงเนี่ยหย่วนเฉียวจะไม่รังเกียจ อีกหน่อยก็คงไม่ขอผ้าผืนนี้คืน แต่นางคิดอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกต้อง
นางไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับเนี่ยหย่วนเฉียวถึงขั้นนี้หรอกนะ ที่จะใช้ผ้าของเนี่ยหย่วนเฉียวเช็ดเท้าได้
เนี่ยหย่วนเฉียวกลับยัดผ้าผืนนั้นใส่มือจางซิ่วเอ๋อโดยไม่ฟังที่นางพูด “ข้ายังไม่เคยใช้ ขายให้เจ้าในราคาเหรียญเดียว”
จางซิ่วเอ๋ออึ้งไปอีกครั้ง……
นี่…….
บังคับขายบังคับซื้อกันเหรอ?
คนอย่างเนี่ยหย่วนเฉียวช่าง…..จะดีกับนางก็ดีไปสิ แต่ทุกครั้งเขามักจะอ้างเหตุผลฝืด ๆ แบบนี้อยู่เรื่อย เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินแม้แต่เหรียญเดียวเสียหน่อย เหยื่อที่เขาล่ามาและให้ตัวเองนั้นหากรวมแล้วต้องได้กี่เหรียญกัน?
ที่เขาพูดแบบนี้ก็แค่ต้องการให้นางใช้ผ้าผืนนี้เช็ดเท้าได้อย่างสบายใจ
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าครั้งนี้ตัวเองคงปฏิเสธไม่ได้อีกนั่นแหละ จึงยอมหักดิบใช้มัน
อย่างไรเสียนางก็เป็นฝ่ายเอาเปรียบ เนี่ยหย่วนเฉียวอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ นางค้นพบแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่มือของเนี่ยหย่วนเฉียวเลย
หลังจากจางซิ่วเอ๋อสวมรองเท้าแล้ว ก็หันมองเนี่ยหย่วนเฉียวและบอก “ไปกันเถอะ”
เนี่ยหย่วนเฉียวพยักหน้า เดินตามจางซิ่วเอ๋อกลับไป
และในตอนนั้นเองมีลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง จางซิ่วเอ๋อตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนางเงยหน้ามองฟ้ากลับพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เมฆครึ้มปกคลุมอยู่เต็มท้องฟ้า
จางซิ่วเอ๋อยิ้มมุมปาก คำสอนที่บอกว่าเมฆสะท้อนแสงในยามเช้าไม่ควรออกเดินทาง เมฆสะท้อนแสงในยามค่ำคืนเดินทางได้ไกลพันลี้นั้นหลอมรวมภูมิปัญญาของชนชั้นแรงงานเข้าไว้ด้วยกันจริง ๆ
ตอนนางออกมายังพูดอยู่เลยว่าฝนไม่ตกหรือนี่ คิดไม่ถึงว่าฝนจะมาตอนนี้
จางซิ่วเอ๋อรีบบอก “พวกเรารีบเดินกันหน่อย เดี๋ยวเปียกฝนขึ้นมาจะยุ่ง”
สิ้นเสียงจางซิ่วเอ๋อ ฝนเม็ดเท่าถั่วก็สาดลงมาจากฟ้า…..
จางซิ่วเอ๋อมองฟ้าอย่างเหนื่อยใจ ทำไมถึงไม่ให้โอกาสได้ตั้งสติเลยล่ะ ดูท่าวันนี้ตนต้องเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ ๆ
และในตอนนั้นเอง จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกว่าร่างเบาหวิว เนี่ยหย่วนเฉียวโอบตัวนางเอาไว้ และก้าวเดินฉับไวราวกับมีลมพัดอยู่ใต้เท้า พาตัวนางไปทางบ้านผีสิงอย่างรวดเร็ว
จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างชื่นชม โลกของยอดฝีมือนี่มันสุดยอดจริง ๆ!
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อกลับถึงบ้าน ฝนได้ตกลงมาแล้ว แต่นางถูกเนี่ยหย่วนเฉียวโอบไว้ในอ้อมกอด จึงไม่ค่อยเปียกมาก เนี่ยหย่วนเฉียวต่างหากที่เปียกหนักหน่อย
จางชุนเถากำลังรอจางซิ่วเอ๋ออยู่ในบ้าน บัดนี้นางร้อนใจประหนึ่งถูกไฟแผดเผา วันฝนตกทางบนเขานั้นลื่น หวังว่าพี่สาวของนางจะไม่ลื่นล้ม
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อผลักประตูเข้ามา สีหน้าจางชุนเถาเต็มไปด้วยความดีใจ “พี่ ทำไมถึงกลับมาเร็วเช่นนี้ล่ะ”
ตามหลักแล้วต่อให้จางซิ่วเอ๋อวิ่งกลับมาก็ไม่น่าจะไวขนาดนี้ และเวลาฝนตกก็วิ่งไม่สะดวกเท่าไรนัก
จางซิ่วเอ๋อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองกลับมาอย่างไรสีหน้าก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะรีบบอก “เรื่องนั้น…..ตอนไปข้าเดินไวน่ะ”
“ก็จริง ครั้งนี้มีพี่หนิงอันถือลอบจับปลาให้ คงสบายขึ้นไม่น้อย” จางชุนเถาไม่เห็นความอึดอัดบนสีหน้าของจางซิ่วเอ๋อ กลับอุทานกับตัวเอง
“พี่ ข้าว่าพี่หนิงอันเป็นคนดีนะ” จางชุนเถาอุทานต่อไป
จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วสัญชาตญาณของนางอยากสอนจางชุนเถาให้จางชุนเถาจดจำไว้ว่าอย่าเชื่อใครง่าย ๆ และบอกนางว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ……
แต่พอจะพูด จางซิ่วเอ๋อกลับพบว่า…..ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ นางคิดเหมือนจางชุนเถาเลย! คิดว่าหนิงอันเป็นคนดี!
นี่มันไปกันใหญ่แล้ว!
สมัยที่นางเห็นร่องรอยบาดแผลบนตัวหนิงอันยังคิดอยู่เลยว่าหนิงอันเป็นพวกโจรป่ารึเปล่า…..
“พี่ใหญ่?” จางชุนเถาเห็นจางซิ่วเอ๋อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงร้องเรียก
“หืม?” จางซิ่วเอ๋อตอบไปมั่ว ๆ
“พี่ว่าเป็นแบบนั้นไหม?” จางชุนเถาต้องการความมั่นใจ
จางซิ่วเอ๋อได้แต่พยักหน้าแล้วบอก “ใช่”
“ข้าว่าแล้วว่ากาลเวลาพิสูจน์คน ตอนแรกพี่ระแวงพี่หนิงอันขนาดนั้น…..ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าเขาเป็นคนดีจริง ๆ ……ถ้าข้ามีพี่เขยแบบนี้ก็ดีสิ……” จางชุนเถาพูดมาถึงตอนสุดท้าย เสียงค่อย ๆ แผ่วลง
แต่จางซิ่วเอ๋อผู้หูดีก็ยังได้ยิน นางถลึงตาใส่จางชุนเถา “ข้าว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้สั่งสอนเด็กน้อยอย่างเจ้า เจ้าเลยกล้าก่อวีรกรรมใช่ไหม พี่เขยอะไรกัน หนิงอันเป็นคนดีจริง แต่ข้าไม่ได้อยากแต่งงาน”
“พี่…..พี่ก็รู้นี่ว่ามีคนตั้งมากมายที่รังแกพี่ นินทาพี่เพราะพี่เป็น……แม่ม่าย ถ้ามีชีวิตที่มั่นคงได้อาจจะดีขึ้นกว่านี้เยอะ” จางชุนเถามองจางซิ่วเอ๋ออย่างเป็นห่วง
เด็กสาวคนอื่นที่อายุเท่าพี่ตัวเองบ้างยังไม่ออกเรือน บ้างเจอสามีที่ตรงใจและแต่งงาน
มีเพียงพี่สาวนี่แหละที่ต้องกลายเป็นแม่ม่ายแล้วยังต้องโดนคนอื่นว่าร้ายอีก แม้ว่าพี่จะไม่คิดมา แต่เวลานางได้ยินคำพูดว่าร้ายพี่สาวแล้วรู้สึกเสียใจมาก
และพี่สาวต้องเป็นทั้งสตรีและบุรุษเพื่อเป็นเสาหลักให้ครอบครัวนี้
หากแค่ชีวิตความเป็นอยู่ลำบากนิดหน่อยคงไม่เป็นไร แค่นางช่วยแบ่งเบาพี่สาวก็จบ
แต่หลังจากผ่านเรื่องตระกูลเนี่ยคราวก่อนมา นางจึงพบว่าเรื่องบางเรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขึ้นเรือเฉียวเอ๋อแล้วอย่าลืมรับชากันด้วยนะคะ กัปตันชุนเถาชงเข้มมาก
ไหหม่า(海馬)