ตอนที่ 552 มักจะชอบมีพวกมือบอนมาขุดตัวตนของบอส
หลินชิงจยาตะลึงงัน ผ่านไปนานไม่ยอมก้าวเท้าออกไป
เวินทิงหลานรู้สึกตัว หันไปทางที่หลินชิงจยายืนอยู่
ทั้งคู่สบตากัน
สีหน้าของเวินทิงหลานชะงัก
สายเลือดเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก
ไม่ว่าจะกีดกันหรือใกล้ชิด ไม่มีเหตุผลใดๆ แต่สามารถสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคือพี่น้องของตัวเอง
เวินทิงหลานไอคิวสูงเป็นพิเศษ
กอปรกับเขารู้ว่าอันโหรวจิ่นแต่งเข้ามาอยู่ในโลกจอมยุทธ์ เขาย่อมวิเคราะห์ได้ว่านี่ก็คือลูกอีกคนของเวินเฟิงเหมียน
หรือก็คือพี่สาวแท้ๆ ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
เวินเฟิงเหมียนบอกเขาว่า เรื่องของผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวกับเด็ก
เด็กห้าขวบไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น รู้แค่ต้องเอาตัวรอด ย่อมติดตามคนที่ภายนอกดูสวยงาม ไม่อยากอยู่ในอำเภอแร้นแค้นที่แม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม
คนเราไม่เหมือนกัน บางคนสนใจเรื่องตัวตนและสถานะมากกว่า บางคนสนใจคนในครอบครัวมากกว่า
ขอแค่ตัวเองไม่รู้สึกผิดในใจก็พอแล้ว
เวินทิงหลานละสายตากลับมาอย่างใจเย็น เขาจับโทรศัพท์ ตอบข้อความของอะเดลต่อ
หลินชิงจยาเม้มริมฝีปาก
อาจารย์หลิวเห็นหลินชิงจยาไม่ตามมาสักทีก็อดหันมาด้วยความสงสัยไม่ได้ “มีอะไรเหรอครับคุณชิงจยา”
เขาอายุหกสิบปี แต่ในเรื่องปรุงยาห่างชั้นกับหลินชิงจยาอยู่มาก
วันนี้เชิญเธอมาดูว่าเขาผิดพลาดตรงไหน
“เปล่าค่ะ” หลินชิงจยาส่ายหน้า “เข้าไปเถอะค่ะ”
อาจารย์หลิวพาหลินชิงจยาเข้าไปในห้องปรุงยา เห็นหลินชิงจยาเอาแต่เหม่อจึงอดถามไม่ได้ “คุณชิงจยาไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ”
หลินชิงจยายังคงส่ายหน้า “นึกถึงเคสผู้ป่วยที่ยากมากเคสหนึ่งน่ะค่ะ”
เธอช่วยอาจารย์หลิวดู แต่ระหว่างนั้นความคิดก็เตลิดไปไกล
หลินจิ่นอวิ๋นพูดมาตลอดว่าให้เธอไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง ก็เพราะอยากลองดูว่าเธอจะได้เจอพ่อแท้ๆ ของตัวเองหรือเปล่า
โลกจอมยุทธ์ต่างฟันธงว่าพ่อแท้ๆ ของเธอเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นหลินชิงจยาไม่มีทางเป็นได้ทั้งจอมยุทธ์และแพทย์แผนโบราณ
แต่หลินชิงจยารู้ดีว่า คำพูดนี้เป็นเท็จ
เวินเฟิงเหมียนเป็นเพียงคนธรรมดา
ตอนนั้นที่อันโหรวจิ่นบอกว่าบังเอิญเจอเวินเฟิงเหมียน เธอถึงได้รู้สึกเครียด
วันนี้ได้เจอเวินทิงหลาน อยู่เหนือความคาดหมายของเธอ เพราะหลังจากที่อันโหรวจิ่นกลับจากอำเภอชิงสุ่ยได้บอกเธอว่า เวินทิงหลานเป็นออทิสติกขั้นรุนแรง ไม่ใช่คนปกติ
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
เวินทิงหลานดูปกติมาก แถมยังจำเธอได้ ก็แค่ดูไม่มีท่าทีจะทำอะไร
แน่นอนว่าหลินชิงจยาก็ไม่ได้มีความคิดจะเข้าไปแสดงตัวต่อเวินเฟิงเหมียนและเวินทิงหลาน
อันโหรวจิ่นสติฟั่นเฟือน ไม่มีใครรู้เรื่องครอบครัวก่อนหน้านี้ของเธอ
เธอยังคงเป็นคุณหนูตระกูลหลิน
แบบนี้ก็ดี
…
พออิ๋งจื่อจินออกมาจากสมาพันธ์โอสถก็เห็นเวินทิงหลานยืนอยู่ข้างทะเลสาบ มองนกที่บินเหนือน้ำเงียบๆ
เธอเดินเข้าไปหา “เป็นอะไรไป เหม่ออีกแล้วเหรอ”
“พี่” พอได้ยินเสียงคุ้นเคย ริมฝีปากของเวินทิงหลานก็ขยับ พูดเสียงเบา “ผมเจอเธอแล้ว”
“หืม?” สีหน้าของอิ๋งจื่อจินไม่เปลี่ยน พยักหน้า “หลินชิงจยาเหรอ”
เวินทิงหลานพยักหน้าเบาๆ “เธอต้องจำผมได้แน่นอน แต่พวกเราไม่ได้คุยอะไรกัน”
“อืม พี่ก็เคยเจอเธอ” อิ๋งจื่อจินพิงต้นไม้ “เธอมีพรสวรรค์มาก เหมือนนายเลย”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดชั่วครู่ “นายคิดยังไง”
“พ่อบอกว่า อดีตมันผ่านไปแล้ว ผู้หญิงที่น่าขยะแขยงคนนั้นได้รับการลงโทษไปแล้ว ชีวิตของพวกเราตอนนี้ก็ดี ไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่น” เวินทิงหลานใจเย็น “ผมเชื่อพ่อ ดังนั้นผมก็ไม่อยากข้องแวะกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับผมอีก”
นับตั้งแต่เขาจำความได้ เขาก็รู้จักแค่อิ๋งจื่อจิน
ไม่มีแม่ ครอบครัวพวกเขามีสามคน
อิ๋งจื่อจินพูด “พ่อทำถูกมาตลอด”
เวินเฟิงเหมียนมองได้ทะลุปรุโปร่ง มีไม่กี่คนที่จิตใจเข้มแข็งได้อย่างเขา
อย่างไรเสียหลินชิงจยาก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา
ความที่เป็นพ่อลูกกัน เดิมทีระหว่างหลินชิงจยากับเวินเฟิงเหมียนมีเวรกรรมต่อกัน อาจเชื่อมโยงกัน
แต่เธอเคยพยากรณ์ ตอนนี้มันอ่อนแรงมากจนแทบไม่มีแล้ว
อิ๋งจื่อจินคิดว่า
อาจเพราะหลินชิงจยาอาศัยพรสวรรค์ที่ได้จากเวินเฟิงเหมียนเข้าไปอยู่ตระกูลหลิน มีชีวิตที่ดีกว่า หักล้างกับเรื่องอื่นได้พอดี จึงตัดเวรกรรมนี้หมด
ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า
คนอื่นเป็นอย่างไรเธอเฉยๆ แต่ห้ามทำร้ายเวินเฟิงเหมียนกับเวินทิงหลานเป็นอันขาด
“ไปเถอะ” อิ๋งจื่อจินตบบ่าน้องชาย “พรุ่งนี้ยังต้องอัดรายการอีก ร้อยล้านของนาย”
เวินทิงหลานได้ยินคำพูดนี้ก็หน้าบาน “อื้อ”
…
วันต่อมา
วันนี้ไม่มีการแข่งขัน แต่เป็นการถ่ายชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
ช่วงแรกเป็นอิ๋งจื่อจินกับพวกหลีหานพานักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันไปตามจุดท่องเที่ยวโด่งดังภายมหาวิทยาลัย จากนั้นฉินหลิงอวี๋ที่เป็นพิธีกรก็เสนอว่าจะติดต่อไปที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันเพื่อถ่ายพวกอาคารในนั้นรวมถึงสิ่งอื่นๆ
[หย่อนตูดนั่งเรียบร้อย]
[อยากรู้จังว่าภายในมหาวิทยาลัยนอร์ตันเป็นยังไง]
[อยากเห็นพี่สาวที่น่ารักเหมือนอะเดล ช่วยหาคู่ให้ด้วยได้เปล่า]
[ฉันคือคนที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่มีทางได้ไป (ยิ้ม)]
แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ
“ตอนพวกเราเข้าเรียนได้เซ็นสัญญารักษาความลับ” เวินทิงหลานก็พูดขึ้น “มีเรื่องที่เกี่ยวกับภายในมหาวิทยาลัย ไม่สามารถให้คนนอกดูได้”
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว
เธอไม่สงสัยเลยสักนิดว่า หากไปถ่ายจริงๆ มีความเป็นไปได้ว่าจะถ่ายเจอตอนห้องทดลองระเบิด
ครั้งล่าสุดที่เธอไป ระหว่างเดินอยู่ตึกข้างๆ ก็ระเบิด
รองอธิการบดีมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“ดูมหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้อยู่แล้วครับ” ฮวนเหลือบมองอะเดลด้วยหางตา พูดด้วยความมั่นใจ “แต่ให้ทุกคนดูมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปได้ครับ”
คนตะวันตกอย่างพวกเขาให้ความสำคัญกับศิลปะ อะเดลก็ชอบ เขาย่อมต้องแสดงออกให้ดีต่อหน้าเธอ
เพื่อพิสูจน์ว่าเขาดีกว่าคนบ้าที่รู้จักแต่ประกอบปืนอย่างเวินทิงหลาน
ฉินหลิงอวี๋กดหูฟังไมโครโฟน “ค่ะ งั้นก็ติดต่อมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป”
ชาวเน็ตเสียดายมาก
[ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ บอกมานะ ในมหาวิทยาลัยนอร์ตันมีอะไรกันแน่ ทำไมให้คนนอกดูไม่ได้]
[ช่างเถอะ ดูมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็ได้ เอาจริงนะ นักศึกษาที่เข้าที่นี่ได้ล้วนเป็นอัญมณีล้ำค่าแห่งโลกศิลปะในอนาคต]
หน้าจอขนาดใหญ่ภายในห้องประชุมถูกเลื่อนลง ไม่นานก็มีภาพอาคารของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปปรากฏ
คนที่รับสายคืออาจารย์ท่านหนึ่งของฝ่ายรับนักศึกษา
อาจารย์คนนี้รู้จักกับฮวนพอดี ฮวนชิงพูดขึ้นก่อนฉินหลิงอวี๋ “อาจารย์ครับ ผมฮวน เฮอร์เชลครับ”
อาจารย์ตกใจนิดหน่อย “นายออกมาจากมหาวิทยาลัยนอร์ตันแล้วเหรอ”
“ครับ” ฮวนพูดด้วยความภูมิใจ “มาแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีนครับ ตอนนี้อยากให้อาจารย์ช่วยพาชมภายในมหาวิทยาลัยหน่อยครับ อาจารย์ช่วยพาไปที่ห้องจัดแสดงภาพของคนดังได้ไหมครับ”
ทางมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปย่อมได้ข่าวจากทีมงานแล้ว
อาจารย์พยักหน้า ถือคอมพิวเตอร์ไปที่ห้องจัดแสดงภาพของคนดัง
ห้องจัดแสดงนี้นอกจากจะมีภาพวาดของจิตรกรชื่อดังระดับโลกแล้ว ยังมีโซนจัดแสดงสำหรับนักศึกษาโดยเฉพาะด้วย
ฮวนชี้ภาพสีน้ำมันภาพหนึ่งในจอ ยิ่งภูมิใจเข้าไปใหญ่ “นี่ผลงานผมครับ”
เขาหันไปมอง เห็นอะเดลกำลังเขย่งเท้าจับผมของเวินทิงหลาน ท่าทางสนิทสนม เขาโมโหจนเกือบระเบิดออกมา
ฮวนทำได้เพียงโยนบทไปที่อิ๋งจื่อจิน “คุณอิ๋งคิดว่าเป็นไงครับ”
อิ๋งจื่อจินเหลือบมอง “แย่มาก”
สีหน้าของฮวนชะงัก พูดกึ่งยิ้ม “งั้นแสดงว่าคุณอิ๋งต้องวาดได้ดีกว่านี้แน่ใช่ไหมครับ”
นักศึกษาชายอีกคนที่อยู่ข้างฮวนมาตลอดพูดพึมพำ “จะโม้ก็ช่วยร่างบทก่อนนะ”
ภาพวาดที่จัดแสดงในห้องนี้ได้ล้วนล้ำค่ามากในมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป
เวลานี้อาจารย์ที่รับหน้าที่ถ่ายภาพอยู่ๆ ก็หยุดลง โค้งตัวให้อีกฝ่ายหนึ่งที “คุณเบิร์ก”
มองจากบนหน้าจอก็เห็นว่าเป็นผู้ชายวัยสามสิบกว่า มัดผม ภายนอกดูเหมือนคนบ้าหน่อยๆ
ฉินหลิงอวี๋กับคนอื่นๆ ในทีมงานก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่เธอรีบแนะนำทันที “เบิร์ก ไบรอัน จิตรกรอันดับหนึ่งแห่งวงการภาพสีน้ำมัน ถนัดวาดสไตล์ชิโน ฟอน เป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ภาพสีน้ำมันของเขาเพิ่งถูกประมูลออกไปในราคาสามร้อยล้านดอลลาร์”
[อื้อหือ ฉันนึกออกแล้ว ฉันเคยดูนิทรรศการภาพวาดที่ยุโรป จิตรกรภาพสีน้ำมันขั้นเทพ!]
[สุดยอด ได้ยินว่าต่อให้เป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็ใช่ว่าจะได้เจอเบิร์ก ฮวนเรียกเบิร์กมาได้นี่ สมแล้วที่เป็นนักศึกษาสองมหา’ลัย]
ฮวนเองก็ไม่อยากเชื่อ
ถึงแม้เขาจะเคยเจอเบิร์ก แต่ก็ในคลาสเรียนรวม
เบิร์กมีนิสัยพิลึก อยู่ด้วยยาก เขาสนิทแค่กับบาร์ตที่เป็นนักเปียโน คนอื่นๆ มาเชิญเขาก็เชิญไม่ได้
ปรมาจารย์ระดับนี้ค่อนข้างบ้าพอสมควร
จากนั้นฮวนก็เห็นเบิร์กมองกล้องแล้วเดินเข้ามา
เขายิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ พอกำลังจะพูดเบิร์กก็พูดขึ้นมาก่อน “นายหลบหน่อย”
ฮวนอึ้ง ชี้ตัวเอง “ผมเหรอ”
“ใช่ๆๆ เร็วเข้า” เบิร์กร้อนใจ ถึงขั้นกระทืบเท้าแล้ว เร่งไม่หยุด “หลบไปสิ”
เมื่อครู่เขาเห็นคนหน้าคุ้นในคอมพิวเตอร์ ต้องดูหน่อยว่าเขาสายตาฝ้าฟางหรือเปล่า ดูให้แน่ใจ
ฮวนไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็หลบ
กล้องจับภาพไปที่หน้าเบิร์กแล้วขยาย เขาแทบจะเอาหน้าแนบจอ
ชาวเน็ตกับพวกนักศึกษาเห็นอย่างชัดเจน
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า
“ปรมาจารย์อิ๋ง!” ในที่สุดตอนนี้เบิร์กก็เห็นอิ๋งจื่อจินแล้ว ดวงตาเป็นประกาย เขาจับคอมพิวเตอร์ “ปรมาจารย์อิ๋ง บังเอิญจริง ได้เจอกันอีกแล้ว เมื่อไรจะว่างมาสอนผมวาดภาพสีน้ำมันล่ะครับ”