อินรั่วเฉินกล่าว “เช่นนั้นก็รบกวนประมุขน้อยเฉียนเยี่ยแล้ว”
“พูดดี ๆ!” มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มพลางตอบกลับราวกับหมาป่าที่กำลังจะลักพาตัวแกะน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เห็น ๆ กันอยู่ว่านางเผยสีหน้าเจตนาร้ายออกมาแล้ว แต่สีหน้าของอินรั่วเฉินกลับยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“ไปกันเถอะ!” มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าว จากนั้นนางก็พาอินรั่วเฉินออกจากตำหนักเป่ยหานเข้าไปในเมืองเป่ยหาน
ทันทีที่มู่เฉียนซีย่างเท้าออกจากตำหนักเป่ยหานก็มีคนไปรายงานข่าวนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดทันที
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นพาโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินออกไปจากตำหนักแล้วขอรับ แถมยังไม่มีองครักษ์ติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว”
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดดำคล้ำขึ้น “ชีวิตของเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนซีนั่นมันไม่มีค่าพอหรอก แต่หากมีอะไรขึ้นกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินแล้วละก็ นั่นนับเป็นเรื่องใหญ่แน่ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดท่านหัวหน้าตำหนักถึงได้ปกป้องเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นถึงเพียงนี้”
“แล้วจะทำเช่นไรดีขอรับ?”
“ส่งคนแอบไปคุ้มกันความปลอดภัยแบบลับ ๆ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้ปกป้องโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินทันที ไม่ต้องสนใจเจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยนั่น”
“ขอรับ!”
มู่เฉียนซีรู้ว่ามีคนกำลังตามนางอยู่ นางจึงพาอินรั่วเฉินผ่านทางถนนที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองเป่ยหาน
ชายหนุ่มรูปงามที่ดูสูงศักดิ์กับโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไร้มลทิน เนื่องจากการปรากฏตัวของพวกเขา ถนนสายนี้ที่ผู้คนคึกคักอยู่แล้วก็พลันคึกคักขึ้นไปอีก
ผู้คนต่างพากันมามุงดู ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะปลอมตัวเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แต่กลับเทียบกับอินรั่วเฉินไม่ได้ ดังนั้นคนจำนวนมากจึงพุ่งเข้ามาใกล้อินรั่วเฉิน
สายตามากมายนับไม่ถ้วนต่างก็มองมาที่อินรั่วเฉิน ลำแสงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกคนอยากจะก้มลงกราบไหว้เขาเสียให้ได้
มู่เฉียนซีเดินไปข้างหน้าและกล่าวว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน เจ้าอย่าได้พลัดหลงจากข้าไปล่ะ”
นางยิ้มอย่างมีเจตนาร้าย นางมีความรู้สึกอีกอย่างว่าเขาเป็นเหมือนสัตว์หายากตัวหนึ่งที่มาเดินอยู่เช่นนี้และถูกผู้คนรุมล้อมมุงดู
ถึงแม้ว่าจะถูกคนนับหมื่นห้อมล้อมมุงดูเช่นนี้ แต่สีหน้าของอินรั่วเฉินก็ยังคงดูศักดิ์สิทธิ์และยังยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่เฉกเช่นเดิม ไม่สนใจว่าจะถูกจ้องมองแต่อย่างใด
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดรู้เรื่องนี้เข้าก็โกรธจนช้ำใจ จากนั้นจึงรีบส่งคนไปแก้ไขสถานการณ์
โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน คนพวกนั้นต้องการมองก็จะมองได้อย่างนั้นเหรอ?
ภายในชั่วพริบตาเดียวผู้คนก็ลดน้อยลงแล้ว และดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวนี้จะไม่มีผลกระทบใดต่อคนที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต้น้อย
มู่เฉียนซีก้าวเท้าเดินมาข้างกายอินรั่วเฉินอย่างช้า ๆ ก่อนจะกล่าวถามว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน ตอนนี้อยู่ในแคว้นเทพฟ้านอินเจ้าก็มักจะเจอเรื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่ ถูกผู้คนรุมล้อมจ้องมองราวกับเป็นสัตว์หายากเช่นนี้ ใจเจ้าก็เลยแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้ สีหน้าก็เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย”
“สัตว์หายากเป็นสัตว์วิญญาณชนิดใดกัน?” น้ำเสียงอันไพเราะของอินรั่วเฉินดังก้องในหูของมู่เฉียนซี
“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ!”
“น้อยมากที่ข้าจะออกจากอาราม ดังนั้นเรื่องที่ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยกล่าวนั้น ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจนัก”
“เจ้าไม่มีความรู้สึกไม่พอใจหรือไม่สุขใจบ้างเลยเหรอ!”
“ความสุขของผู้คน ข้าจะไม่พอใจได้อย่างไรกันล่ะ ต้องขอบคุณถึงจะถูก”
มู่เฉียนซีกล่าว “อืม! ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล พาเจ้ามาถูกคนรุมล้อมนานแล้ว เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปหาของอร่อย ๆ กินดีกว่า”
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงพาอินรั่วเฉินไปที่หอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเป่ยหาน ทันทีที่เข้าไปเถ้าแก่ก็ออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสีย สองคนนี้ก็ทำให้เกิดความครึกครื้นมากถึงเพียงนี้ เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
“ทั้งสองท่าน เชิญด้านในขอรับ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เตรียมห้องพิเศษห้องใหญ่ที่สุดให้ข้าห้องหนึ่ง อย่าบอกข้าว่าไม่มีนะ หากเจ้าบอกว่าไม่มี หอสุรานี้ของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเปิดขายแล้ว”
ชายหนุ่มกำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เถ้าแก่ไม่มีห้องก็ต้องมีให้ได้!
“มีแน่นอนขอรับ เชิญด้านบนเลยขอรับ รับรองว่าคุณชายทั้งสองต้องถูกใจแน่นอน”
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีก็พาอินรั่วเฉินขึ้นไปด้านบน
ต่อมา มู่เฉียนซีก็เริ่มสั่งอาหาร นางกล่าว “เอาอาหารที่ไม่มีผักในร้านมาทั้งหมด ทั้งหมดทุกรายการเลยนะ”
เถ้าแก่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนสั่งอาหารเช่นนี้
“ร้านของเรามีรายการอาหารที่ไม่มีผักมากมายหลายรายการ เกรงว่าคุณชายทั้งสองจะ…”
“ยกมาทั้งหมดนั่นแหละ ข้ามีเงิน เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกน่า!”
ในเมืองเป่ยหานมีคุณชายมากมายที่ทำตัวอวดรวย แต่คุณชายที่อวดรวยและอวดดีเช่นนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เถ้าแก่กล่าว “ไม่ทราบว่าคุณชายอีกท่านต้องการสั่งอาหารใดขอรับ?”
หลังจากที่อินรั่วเฉินนั่งลง เขาก็ไม่ได้เปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใดเลย
เขาเอาแต่นั่งอยู่ข้าง ๆ อยู่ในโลกส่วนตัวของเขา นิ่งและสงบมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “อาหารที่ข้าสั่ง สหายข้าชื่นชอบอย่างแน่นอน ชักช้าอยู่ทำไมล่ะ รีบไปจัดการสิ!”
“ขอรับ ๆ ๆ!” เถ้าแก่ไม่กล้าพูดอะไรมาก เขาถูกมู่เฉียนซีไล่ออกไปแล้ว
มู่เฉียนซีมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังจะกลายเป็นพระพุทธรูปพูดไม่ได้ผู้นั้นและกล่าวถามว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”
อินรั่วเฉินเริ่มใช้น้ำเสียงจริงจัง “นายน้อยเฉียนเยี่ยใช้คำถามอายุอาตมาผิดนะ”
“แล้วตกลงเจ้าจะตอบหรือไม่ตอบ?”
“อาตมายังอายุไม่ถึงยี่สิบปี”
“อันที่จริงแล้วข้าก็สงสัยมากเหมือนกันนะ ว่าตกลงแล้วเจ้าแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่!”
“อ่อนแอกว่านายน้อยอวิ๋นซิวเล็กน้อย”
มู่เฉียนซีกรอกตามองบน ผีเท่านั้นถึงจะเชื่อ!
ดูจากภายนอกเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด แต่กลับต่อสู้ได้เสมอกันกับเสี่ยวไป๋
มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มพลางกล่าว “ไม่ทราบว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินมีคนที่ชอบหรือไม่?”
“ไม่มี!”
“ไม่มีเหรอ! แล้วท่านชอบผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ?”
“พระธรรมสอนให้ฝึกจิต อาตมายังไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้”
ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะถามคำถามที่เจ้าเล่ห์เพียงใด อินรั่วเฉินก็ยังคงรักษาท่าทางอันนิ่งสงบนั้นเอาไว้ได้
พลังของเขาต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน!
มู่เฉียนซีเอนหลิงพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้านแล้วค่อย ๆ หลับตาลง ถามไปมากมายถึงเพียงนี้แล้วแต่ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี
นางกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เฮ้อ พูดคุยกับภิกษุอย่างเจ้ามันช่างไม่สนุกเอาซะเลยจริง ๆ”
มู่เฉียนซีกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่ เถ้าแก่ก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านยกอาหารขึ้นมาให้พวกเขา
ห้องพิเศษนี้กว้างใหญ่ และมีที่ว่างมากมาย แต่เมื่อยกอาหารมาวางแล้วกลับเยอะจนเต็มโต๊ะไปหมด
มู่เฉียนซีกล่าว “พระภิกษุ เริ่มฉันกันเถอะ! ดูท่าแล้วรสชาติไม่เลวเลย”
อินรั่วเฉินยกชารินใส่จอกพลางกล่าวว่า “อาตมาดื่มชาก็เพียงพอแล้ว”
“จะได้ยังไงกันเล่า! นี่ข้าพาเจ้าออกมาแต่กลับทำให้เจ้าหิว ทำเช่นนี้ ข้าก็เสียความตั้งใจหมดน่ะสิ”
กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็เริ่มคีบเนื้อใส่จานตรงหน้าอินรั่วเฉิน
นางกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะทนเห็นข้าเสียใจได้อย่างนั้นเหรอ!”
ดวงตาคู่นั้นของคนตรงหน้าราวกับหยดน้ำที่ใสสะอาด ดูท่าทางน่าสงสารมากแต่ก็ดูเจ้าเล่ห์และขี้เล่นมากกว่า
“อาตมาเป็นพุทธมามกะ”
“พระภิกษุ นี่เจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้เหรอ ธรรมะอยู่ในใจ ดื่มเหล้ากินเนื้อก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เรามีธรรมะอยู่ในใจ กินสิ่งใดมันก็เป็นเพียงแค่รูปธรรมเท่านั้น ไม่มีปัญหา ในเมื่อท่านเลือกที่จะศึกษาทางโลก ฝึกฝนประสบการณ์แล้ว ท่านก็ต้องสัมผัสเรื่องพวกนี้กับตัวเองสิถึงจะถูก”
ดวงตาที่สงบของอินรั่วเฉินเคลื่อนไหวเล็กน้อย คำกล่าวประโยคนั้นที่มู่เฉียนซีกล่าวมา เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
“กินเถอะ กิน ๆ ๆ! ไม่ต้องเกรงใจ!” เนื้อในจานตรงหน้าอินรั่วเฉินพูนขึ้นมาจนแทบจะกลายเป็นภูเขาเล็ก ๆ แล้ว
นางสืบข่าวมาแล้ว และรู้ว่าแคว้นเทพฟ้านอินไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมายถึงเพียงนั้น แต่นางรู้มาว่าท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เข้มงวดกับตัวเองมากเป็นพิเศษก็เท่านั้น
ตอนนี้นางก็แค่อยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขายืนหยัดตั้งมั่นมานาน นงอยากดูว่าเขาจะเสแสร้งไปได้ถึงไหน
มู่เฉียนซีเองก็หิวแล้ว นางจึงเริ่มกินอย่างรวดเร็วและท่าทางการกินของนางนั้นไม่มีความสง่างามเลยแม้แต่น้อย
อินรั่วเฉินมองดูชายหนุ่มตรงหน้า และกล่าวว่า “ที่ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยกล่าวมาก็มีเหตุผล อาตมาไม่ควรจะเคร่งครัดกับสิ่งภายนอกมากเกินไป”
.
.